นางสนมแพทย์อัจฉริยะ - บทที่ 850 หมดทางแก้ไข เสด็จอาเก้าลงมือ
นางสนมแพทย์อัจฉริยะ บทที่ 850 หมดทางแก้ไข เสด็จอาเก้าลงมือ
เฟิ่งชิงเฉินไม่ใช่คนโง่ เสด็จอาเก้าทำให้ถึงขนาดนี้แล้ว นางจะไม่เข้าใจได้อย่างไร แต่ยิ่งนางเข้าใจมากเท่าไหร่มันก็ยิ่งทำให้นางโกรธมากเท่านั้น
“จิ่นหลิงบ้าไปแล้วหรือไง เขาไม่สนใจชีวิตของตนเองแล้วงั้นหรือ ต่อให้ต้องการกวาดล้างผู้มีใจแปลกแยกในตระกูลหวัง แต่ก็ไม่ควรเอาชีวิตของตนเองมาเล่นเช่นนี้ คนเรามีเพียงหนึ่งชีวิต หากชีวิตนี้หมดไป ต่อให้กวาดล้างผู้มีใจแปลกแยกในตระกูลหวังสำเร็จก็ไม่มีประโยชน์” หากหวังจิ่นหลิงยืนอยู่ด้านหน้า เฟิ่งชิงเฉินคงเตะเขาอย่างแรง
เจ้าบ้า คิดว่าทำให้หมอเหนื่อยจนตายแล้วมันไม่ผิดกฎหมายหรือไง
“เขาไม่ได้บ้า หากเขาไม่อยากให้คนในตระกูลมาถ่วงแข้งถ่วงขาเขาขณะทำเรื่องต่าง ๆ หรือถูกคนในตระกูลหักหลังตอนที่เขาไม่อยู่ในจวน เขาจำเป็นจะต้องชักมีดออกมาทำลายความวุ่นวายทั้งหมด มีเพียงวิธีนี้เท่านั้นที่จะสามารถกำจัดผู้คนที่คิดร้ายในตระกูลหวังได้ในระยะเวลาอันสั้น
ในตระกูลหวัง หากหวังจิ่นหลิงไม่รู้ว่าศัตรูของเขาคือใคร และยอมเป็นเพื่อนกับคนเหล่านั้น แม้ว่าวิธีนี้จะค่อนข้างเสี่ยง แต่มันก็สามารถใช้ประโยชน์ได้จริง อีกอย่างยังสามารถทดสอบลูกน้องของเขาได้ด้วยว่า ลูกน้องเหล่านี้ซื่อสัตย์กับตนเองหรือไม่” นี่เป็นเพราะเฟิ่งชิงเฉิน หากเป็นคนอื่นถามเสด็จอาเก้าคงไม่อธิบายอะไรออกมามากมายถึงเพียงนี้
แม้ว่าหัวใจของผู้คนจะไม่สามารถทนต่อการทดสอบได้ แต่มีเพียงผู้ที่ผ่านการทดสอบเท่านั้นที่สามารถเชื่อใจได้อย่างสมบูรณ์ สิ่งนี้สำหรับหวังจิ่นหลิงแล้วถือว่าเป็นหายนะ หากหวังจิ่นหลิงสามารถข้ามผ่านหายนะครั้งนี้ไปได้ ในอนาคตต่อให้ใครคิดจะขัดขวางหวังจิ่นหลิงอีกครั้ง คนพวกนั้นก็ไม่มีทางทำสำเร็จ
เสด็จอาเก้าเข้าใจดีว่าทำไมหวังจิ่นหลิงถึงทำเช่นนี้ นั่นเป็นเพราะหวังจิ่นหลิงร่วมมือกับเขา หากไม่ร่วมมือกับเขา หวังจิ่นหลิงคงไม่ต้องมาเสี่ยงอันตรายถึงเพียงนี้
หวังจิ่นหลิงร่วมมือกับเขาเพื่อวางแผนต่อใต้หล้า หากเรื่องนี้ถูกแพร่งพรายออกไปถือได้ว่าเป็นความผิดอันร้ายแรง เพื่อปกป้องตระกูลหวัง หวังจิ่นหลิงจำเป็นต้องทำเช่นนี้ ขอแค่สามารถกำจัดอันตรายใกล้ตัวได้และปกป้องตระกูลหวังไว้เท่านั้น เขาถึงสามารถลงมือทำการใหญ่ได้สำเร็จ ด้วยวิธีดังกล่าว ต่อให้ตระกูลหวังได้รับความพ่ายแพ้ พวกเขาก็สามารถฟื้นตัวกลับมาได้
เสด็จอาเก้า เขาคือผู้ซึ่งมีหัวใจของลูกผู้ชายอย่างแท้จริง เขาไม่ใช่คนที่เห็นแก่ประโยชน์ส่วนตัวมากกว่าตระกูลหวัง
เฟิ่งชิงเฉินไม่มีอะไรจะพูด เสด็จอาเก้าพูดถูก แทนที่จะยับยั้งมือและเท้าเอาไว้ ไม่สู้ปล่อยมือและเท้าเพื่อการต่อสู้อันยิ่งใหญ่ หลังจากเรื่องนี้จบลง รอบกายของหวังจิ่นหลิงก็จะไม่มีอันตรายเกิดขึ้นอีก
“ทำลายแล้วสร้างใหม่ แผนของคุณชายใหญ่ช่างยอดเยี่ยม” หยุนเซียวนึกถึงคำพูดของเสด็จอาเก้าแล้วหัวเราะออกมา
ตระกูลหยุนเองก็เพื่อทำแตกสลายและรวมตัวกันขึ้นมาใหม่ไม่ใช่หรือไง ด้วยเหตุนี้ ทำให้เหล่าลูกหลานของตระกูลหยุนร่วมกันเป็นหนึ่งอย่างไม่เคยมีมาก่อน และพวกที่สร้างความวุ่นวายเหล่านั้นก็หนีหายไปจากตระกูลอย่างไร้ร่องรอย
เมื่อตระกูลก้าวหน้าไปถึงขั้นหนึ่ง เป็นเรื่องธรรมดาที่จะมีคนเห็นต่างจำนวนมาก และมีแค่ต้องกำจัดคนเหล่านั้นออกไปเท่านั้นจึงจะสามารถก้าวเดินต่อไปได้
“ใช้ชีวิตของตนเองมาวางแผน เป็นกลยุทธ์ที่ต้องระมัดระวังเป็นอย่างมาก” เฟิ่งชิงเฉินยอมรับในคำพูดของเสด็จอาเก้า แต่นางไม่รู้สึกชื่นชม
“หากไม่ยอมแลกด้วยอะไรบางอย่าง เช่นนั้นจะชนะใจศัตรูได้อย่างไร คนของตระกูลหวังไม่ใช่คนโง่ หากไม่สมจริงก็ไม่มีใครกล้าจะกระโดดเข้ามาในหลุม ไม่เปิดเผยอันตรายที่ซ่อนอยู่ออกมาให้ชัดเจน เช่นนั้นไม่ช้าก็เร็วหวังจิ่นหลิงก็ต้องพบกับความตาย” การตายอย่างเงียบ ๆ นั้นไร้ประโยชน์ที่สุด ตายด้วยเนื้อมือของตนเองยังจะดูดีเสียกว่า แม้ว่าหวังจิ่นหลิงจะต้องตาย แต่เขาก็สามารถเปิดเผยตัวตนของมะเร็งร้ายในตระกูล
เฟิ่งชิงเฉินยิ่งคิดเกี่ยวกับเรื่องนี้มากเท่าไหร่นางก็ยิ่งรู้สึกเวียนหัวมากเท่านั้น ผายมือพร้อมพูดออกมาว่า “เรื่องของตระกูลหวัง และเรื่องของหวังจิ่นหลิง ข้าจะไม่ยุ่ง ข้าคิดว่าการที่เขาตั้งใจจะมาจวนเฟิ่งนั่นไม่ใช่เพราะว่าต้องการมาขอความช่วยเหลือจากข้า แต่เป็นเพราะมารอเจ้า”
คิดไปคิดมา นางเองก็ถูกหวังจิ่นหลิงใช้ประโยชน์ในฐานะหมากตัวหนึ่งเช่นกัน นางไม่สามารถช่วยอะไรหวังจิ่นหลิงได้ มีเสด็จอาเก้าอยู่ หวังจิ่นหลิงไม่มีทางเป็นอะไร เฟิ่งชิงเฉินลุกขึ้นยืน ตบกระเป๋าเสื้อของตนเอง “ข้าเหนื่อย ต้องการพักผ่อน คุณชายหยุน เชิญตามสบาย”
ทันทีที่เสด็จอาเก้ามาถึงเขาก็ได้รับรายงานจากลูกน้อง สองวันที่ผ่านมาเฟิ่งชิงเฉินไม่ได้หลับได้นอน เมื่อได้ยินว่าเฟิ่งชิงเฉินต้องการพักผ่อน เขาจะไปขวางนางได้อย่างไร รีบสั่งให้คนช่วยพยุงนางในทันที
หยุนเซียวเห็นความสัมพันธ์ของทั้งสองคน ประกอบกับความเป็นกันเองของเสด็จอาเก้าเมื่ออยู่ในจวนเฟิ่ง เขาก็ยิ่งมั่นใจว่าความสัมพันธ์ของทั้งสองนั้นไม่ธรรมดา และมากกว่าที่คนภายนอกร่ำลือกันหลายเท่า
หยุนเซียวเป็นคนฉลาด แม้ว่าจะรู้สึกคันเล็กน้อยในหัวใจ แต่เขาก็ดึงสายตาของเขากลับมาแต่โดยดี ไม่ได้จ้องมองตามความต้องการของตนเอง และไม่ได้ถามอะไรออกไป
ทั้งสองคนนั่งอยู่เช่นนั้น ไม่มีวี่แววว่าใครจะเอ่ยปากออกมา ทั้งสองคนนั่งเงียบอยู่อย่างนั้นโดยไม่รู้สึกอึดอัดแต่อย่างใด แปลกประหลาดเป็นอย่างมาก จนกระทั่งหมอของตระกูลหยุนเดินออกมาจากกระท่อมด้วยใบหน้ายิ้มแย้ม ความเงียบเหล่านั้นจึงถูกทำลายลง
“คุณชาย ข้าไร้ความสามารถ” หมอสองคนไม่เสแสร้ง พวกเขาก้าวไปข้างหน้าและพูดอย่างตรงไปตรงมา “ข้าตรวจไม่พบถึงอาการผิดปกติของคุณชายท่านนั้น ในความคิดของข้า คุณชายท่านนั้นแค่หลับไปเท่านั้น”
หยุนเซียวไว้ตั้งแต่แรกแล้วว่าต้องเป็นเช่นนี้ แม้แต่ทักษะทางการแพทย์ของเฟิ่งชิงเฉินยังไม่สามารถตรวจสอบได้ แล้วสองคนนี้จะตรวจสอบได้อย่างไร มันไม่มีทาง
หยุนเซียวพยักหน้า หันไปหาเสด็จอาเก้าและกล่าวว่า “เกรงว่าข้าคงช่วยท่านอ๋องไม่ได้”
“แค่คุณชายหยุนมีน้ำใจเข้าช่วยข้าก็ดีใจมากแล้ว หากคุณชายไม่มีเรื่องอันใด คืนนี้ก็พักที่นี่พร้อมกับหมอทั้งสองท่านนี้เป็นอย่างไร” คำพูดของเสด็จอาเก้าดูสุภาพเป็นอย่างมาก แต่มันก็อดทำให้คนสงสัยไม่ได้
หยุนเซียวรู้ว่าตนเองพบเจอกับปัญหาเข้าแล้ว ลูบจมูกของตนเองและยอมรับกับความโชคร้าย “หยุนเซียวมิกล้าปฏิเสธ”
ตั้งแต่วินาทีที่ได้เห็นเสด็จอาเก้าเขาก็รู้ทันทีว่าโชคร้ายมาเยือนถึงเขาแล้ว ถูกลากเข้ามาข้องเกี่ยวกับเรื่องของตระกูลหวัง คิดจะปลีกตัวออกไปคงไม่ใช่เรื่องง่าย
แม้หมอทั้งสองคนจะไม่เข้าใจ แต่เมื่อเห็นหยุนเซียวไม่ปฏิเสธแต่อย่างใด หมอทั้งสองจึงออกไปพักผ่อน วันนี้พวกเขายุ่งมาทั้งวันแล้ว พวกเขาเองก็เหนื่อยเช่นกัน
หยุนเซียวเห็นเช่นนั้นก็บอกลาและเดินออกไป เสด็จอาเก้าพยักหน้า ไม่มีวี่แววว่าจะเดินออกไปส่งอีกฝ่ายเลยแม้แต่น้อย นั่งลงบนเก้าอี้ ดวงตาทั้งสองข้างจ้องมองไปด้านหน้า ไม่รู้ว่าเวลานี้เขากำลังคิดอะไรอยู่
หยุนเซียวเองก็เดินจากไปโดยไม่หันกลับมา แม้จะถูกลากเข้ามาเกี่ยวข้องกับเรื่องของตระกูลหวัง แต่เขาก็ไม่คิดจะเข้ามายุ่งกับเรื่องของตระกูลหวังเลยสักนิด ตระกูลหยุนไม่ใช่ตระกูลหยุนเหมือนกับที่เคยเป็น พวกเขาแค่ดูแลตัวเองยังทำไม่ได้ เช่นนั้นจะไปดูแลหรือยุ่งเกี่ยวกับเรื่องของตระกูลหวังได้อย่างไร
แต่มีบางอย่างที่หยุนเซียวสามารถแน่ใจได้ หลังจากจบเรื่องนี้ ตระกูลหวังจะต้องพบกับการบาดเจ็บครั้งใหญ่ เมื่อถึงเวลาพวกเขาจะเสียงความยิ่งใหญ่ของตระกูลอันดับหนึ่งในตงหลิงไป แต่ในทางกลับกัน ต่อให้ตระกูลหวังยังคงอยู่ต่อไปแล้วยังไง พวกเขาก็ไม่มีทางหลีกเลี่ยงการตกเป็นเป้าของการวิจารณ์จากสาธารณชนได้ และกลายเป็นเหมือนกับตระกูลหยุนที่ผ่านมา
แม้ว่าคุณชายใหญ่ยอมสละชีวิตเพื่อตระกูลหวังแล้วยังไง น่าเสียดายที่คนในตระกูลหวังเหล่านั้นไม่รู้เห็นถึงคุณค่า หยุนเซียวส่ายหน้า โยนเรื่องของตระกูลหวังทิ้งไป มุ่งมั่นอยู่กับการกินและการนอน
เสด็จอาเก้านั่งอยู่ในห้องมาโดยตลอด รอจนกระทั่งท้องฟ้าทั้งหมดกลายเป็นสีเทาถึงจะลุกขึ้นมา เดินไปยังกระท่อมที่หวังจิ่นหลิงนอนอยู่ เมื่อเห็นใบหน้าอันสงบสุขของหวังจิ่นหลิง มุมปากของเสด็จอาเก้ายกขึ้นเล็กน้อย ดวงตาของเขาเป็นประกาย
ความกล้าของหวังจิ่นหลิงนั้นไม่ธรรมดา ไม่กลัวว่าเมื่อตกอยู่ในมือของเขาแล้ว เขาอาจจะช่วยไม่ได้ คิดว่าตนเองจะไม่ตายงั้นหรือ เขาไม่ใช่คนดีถึงขนาดนั้น
ช่างมันเถอะ มองเห็นเจ้าที่ยอมสละชีวิตให้กับข้าผู้นี้ได้ ข้าจะเชื่อใจเจ้าสักครั้ง
เสด็จอาเก้านำยาออกมาหนึ่งเม็ด ใส่เข้าไปในปากของหวังจิ่นหลิง จากนั้นก็เรียกสายลับออกมา “ส่งเข้าไปจวนซู”
“ขอรับ” สายลับไม่พูดอะไรมากไปกว่านั้น หายไปในความมืดพร้อมกับหวังจิ่นหลิง
เสด็จอาเก้านำผ้าเช็ดหน้าออกมาเช็ดมือที่ป้อนยาให้กับหวังจิ่นหลิง จากนั้นโยนผ้าเช็ดหน้าออกไป และพูดกับสาวใช้ว่า “ข้าต้องการพบองค์ชายอวี่”
เขาไม่ลืมว่าสองวันที่ผ่านมาเขาต้องตามเก็บกวาดงานอย่างยากลำบากก็เพราะใคร หากเขาไม่ได้ขูดเลือดขูดเนื้อจากซีหลิงเทียนอวี่ เช่นนั้นก็อย่ามาเรียกเขาว่าเสด็จอาเก้าแห่งตงหลิง
ซีหลิงเทียนอวี่ที่กำลังรับฟังคำรายงานการเคลื่อนไหวภายนอกจากคนรับใช้ ร่างกายของเขาหนาวสั่นอย่างกะทันหัน เกิดลางสังหรณ์ไม่ดีขึ้นในหัวใจ เขารู้สึกกระสับกระส่าย ไม่สามารถฟังรายงานจากคนรับใช้ได้อีกต่อไป โบกมือเพื่อไล่พวกเขาออกไป เตรียมตัวพักผ่อนโดยเร็ว แต่ทันใดนั้นก็มีเสียงตะโกนดังขึ้นมาจากภายนอก มันคือคำทักทายของเสด็จอาเก้า……