นางสนมแพทย์อัจฉริยะ - บทที่ 864 เหนือฟ้ายังมีฟ้า
นางสนมแพทย์อัจฉริยะ บทที่ 864 เหนือฟ้ายังมีฟ้า
“ฝ่าบาท……”
การเคลื่อนไหวของศาลบรรพบุรุษซีหลิงเทียนอวี่เองก็พอรับรู้มาบ้าง คนรับใช้ของซีหลิงเทียนอวี่กระซิบเพื่อแจ้งเตือน เตือนซีหลิงเทียนอวี่ว่าถึงเวลาที่ควรจะทำอะไรบางอย่างแล้วหรือไม่
ตงหลิงจื่อลั่วช่างเป็นคนเย่อหยิ่งยิ่งนัก แม้อยู่ในจวนเฟิ่งเขายังไม่เห็นใครอยู่ในสายตา แม้แต่สถานที่ซึ่งซีหลิงเทียนอวี่อาศัยอยู่ก็ไม่รอด ถูกตรวจค้นอย่างละเอียด เพียงแต่ไม่ถูกทำลายเท่านั้น
แม้อีกฝ่ายจะไม่ได้พูดอะไรออกมา แต่ซีหลิงเทียนอวี่ก็เข้าใจในความหมายของมันดี เขาเองก็อยากเคลื่อนไหว แต่……
“ข้าคือองค์ชายแห่งซีหลิง มิสามารถยื่นมือเข้าไปยุ่งเกี่ยวกับเรื่องทางราชการของตงหลิงได้ นี่เป็นเรื่องขององครักษ์เสื้อโลหิตแห่งตงหลิง” ซีหลิงเทียนอวี่นั่งอยู่บนเก้าอี้ โดยมือทั้งสองข้างจับที่เท้าแขนไว้แน่น
คนรับใช้เองก็รู้ว่าซีหลิงเทียนอวี่กำลังลำบากใจ แต่เขาก็กังวลว่าหากเกิดเรื่องอะไรขึ้นกับจวนเฟิ่ง เสด็จอาเก้าอาจจะโกรธเคืองซีหลิงเทียนอวี่ ดังนั้นคนรับใช้จึงกระซิบออกไปว่า “ฝ่าบาท เสด็จอาเก้าอยู่ที่ใด?”
ซีหลิงเทียนอวี่หลับตาเพื่อซ่อนความสิ้นหวังในดวงตาของเขา “ขอแค่ข้าอยู่ในจวนเฟิ่งก็เพียงพอแล้ว”
คนรับใช้คิดไปคิดมา ไม่พูดอะไรออกมา นายหนึ่งบ่าวหนึ่ง คนหนึ่งนั่งคนหนึ่งยืน จ้องมองไปยังศาลบรรพบุรุษอย่างเหม่อลอย สวดอ้อนวอนเงียบ ๆ ในใจของเขา อธิษฐานขออย่าให้มีอะไรเกิดขึ้นกับศาลบรรพบุรุษของจวนเฟิ่ง
พวกเขารู้ดี ตำแหน่งของแม่ทัพเฟิ่งและเฟิ่งฮูหยินในหัวใจของเฟิ่งชิงเฉินแล้ว ต่อให้พวกเขาจากไปก็ไม่มีใครมากแทนที่พวกเขาได้……
ในพระราชวัง ดูเหมือนจักรพรรดิกำลังอารมณ์ดี ไม่สนใจว่าด้านนอกจะมีอุณหภูมิต่ำสักแค่ไหน และไม่สนใจว่าในอุทยานหลวงจะมีดอกไม้ผลิบานอยู่หรือไม่ พาเสด็จอาเก้าเข้ามาในอุทยานหลวงเพื่อเล่นหมากล้อมกับเขา
รู้ถึงความคิดของจักรพรรดิมาตั้งแต่แรก เสด็จอาเก้าตามมาด้วยความไม่เต็มใจ นั่งลงอย่างไร้อารมณ์ หยิบหมากสีดำวางลงบนกระดานอย่างนิ่งสงบราวกับว่าเรื่องราวอันใหญ่โตที่เกิดขึ้นในวันนี้ไม่เกี่ยวข้องอะไรกับเขา
แสงแห่งความเย่อหยิ่งปรากฏขึ้นในดวงตาของจักรพรรดิในบางครา เขาไม่เชื่อว่าเสด็จอาเก้าจะไม่รู้ว่าวันนี้เขาต้องการทำอะไร และเขาได้ทำอะไรลงไปแล้ว
เมื่อหมากตัวที่ห้าถูกวางลงไป ในที่สุดจักรพรรดิก็เอ่ยปากออกมา “น้องเก้า วันนี้เจ้าดูสงบมาก”
สิ่งนี้พาดพิงถึงเสด็จอาเก้า โดยปกติแล้วหากเกิดเรื่องอะไรขึ้นกับจวนเฟิ่ง เขาจะเหมือนกับประทับที่พร้อมระเบิดตลอดเวลาหากใครเข้ามาสัมผัส แต่วันนี้การแสดงออกของเขากลับดูแตกต่างออกไป
เมื่อทุกสิ่งผิดแปลกไปจากสิ่งที่ควรจะเป็น จักรพรรดิจึงเกิดความสงสัย จากการแสดงออกของเสด็จอาเก้าทำให้อดไม่ได้ที่จะถามออกมาเพื่อทดสอบ
เสด็จอาเก้าเงยหน้าขึ้นมองจักรพรรดิอย่างไร้ซึ่งความรู้สึก หากไม่ติดว่าผิดกาลเทศะ เสด็จอาเก้าคงจะหัวเราะออกมา ความสงสัยของจักรพรรดิช่างไร้เหตุผลยิ่งนัก ที่เขาต้องมาอยู่ ณ อุทยานหลวงเวลานี้ ทั้งหมดเป็นความตั้งใจของจักรพรรดิมิใช่หรือ
ร้อนรน? ตัวเองอยู่ในพระราชวัง คนสร้างเรื่องอยู่ด้านนอก ต่อให้กระวนกระวายใจมากแค่ไหนก็ไร้ประโยชน์
ต้องการเห็นเขาเป็นตัวตลก? ต้องการเห็นเขาลุกลี้ลุกลน? ต้องการเห็นความตื่นตระหนกของเขา?
จักรพรรดิ ท่านจะไม่ประเมินตนเองสูงเกินไปหน่อยหรือ
ขนตางอนยาวสั่นไหวเล็กน้อย ดวงตาตกลงปกปิดแสงในดวงตาเหล่านั้น เขากลัวว่าเขาจะสูญเสียการควบคุมไปชั่วขณะ ดังนั้นเขาจึงส่งสายตาแห่งความดูถูกออกมา
รั้งเอาไว้ เสด็จอาเก้าเหลือบตามองกระดานหมาก จากนั้นก็วางหมากลงไป “จักรพรรดิล้อเล่นหรืออย่างไร เมื่อใดที่ข้ามิได้เป็นเช่นนี้”
“ฮ่าฮ่าฮ่า ถูกของเจ้า น้องเก้า เจ้าเป็นเช่นนี้ตั้งแต่เล็กจนโต เย็นชา มิสนใจผู้ใด ทำเหมือนปราศจากซึ่งความต้องการ และมิรู้ว่าเจ้าไปเรียนรู้ท่าทางเช่นนี้มาจากผู้ใด” จักรพรรดิยกถ้วยชาขึ้น จิบเข้าไปเล็กน้อย และฉวยโอกาสช่วงดื่มชาจ้องมองมายังเสด็จอาเก้า
มองไปยังชุดอันบางเบาที่เสด็จอาเก้าสวมใส่ และมองกลับมายังชุดขนสัตว์ที่ตนเองสวมอยู่ มันยังไม่สามารถป้องกันความเหน็บหนาวได้ ทำให้ความคิดแวบเข้ามาในหัวของเขา
เขาแก่แล้ว แต่น้องเก้ายังหนุ่ม แม้ว่าเขาจะสนับสนุนลูกชายของเขาในการต่อสู้ สนับสนุนในเรื่องของสงคราม และสนับสนุนเรื่องการแย่งชิง แต่ถึงกระนั้นก็ยังคงไม่ใช่คู่ต่อสู้ของเสด็จอาเก้า เสียงของฝู่หลินดังขึ้นมาในหัวของจักรพรรดิ มันยิ่งทำให้เขาชัดเจนและแน่ใจมากขึ้น
องค์รัชทายาทเป็นคนไร้ประโยชน์ ไม่มีแม้แต่คุณสมบัติในการเป็นเป้ายิงธนู บางทีเขาอาจไม่ควรสนับสนุนให้องค์รัชทายาทขึ้นมาแทนตำแหน่งของเขา ควรจะเป็นเปลี่ยนผู้อื่น ไม่ก็ปล่อยให้ตำแหน่งนี้ว่างไว้ ปล่อยให้เหล่าลูกชายของเขาขึ้นมาแย่งชิง
มีเพียงผู้แข็งแกร่งเท่านั้นที่จะขึ้นมาอยู่บนตำแหน่งนี้ได้ มีเพียงข้ามผ่านเส้นทางแห่งสายเลือดของเหล่าพี่น้องเท่านั้น ถึงจะทำให้ตำแหน่งนี้มั่นคง
เมื่อความคิดมากมายถาโถมเข้ามาในหัวใจ ทำให้ความเร็วในการวางหมากช้าลง เสด็จอาเก้าก็ไม่ได้เร่งแต่อย่างใด สายตามองตรงไปด้านหน้า แต่ไม่ได้ตอบคำถามของจักรพรรดิ
หากเขาไม่แสดงให้เห็นถึงนิสัยเช่นนี้ หากเขาไม่แสดงออกให้เห็นว่าเขาไม่ต้องการความช่วยเหลือจากใคร ด้วยวิธีการของจักรพรรดิ เขาจะมีชีวิตรอดอยู่ในพระราชวังเช่นนี้ได้อย่างนั้นหรือ
ในตอนที่จักรพรรดิขึ้นครองบัลลังก์ เขายังเป็นเด็กไม่รู้ประสีประสา หากไม่ใช่เพราะมีคนคอยปกป้องเขาทั้งในและนอกพระราชวัง เขาคงตายไปแล้วเป็นหมื่นครั้ง
ในพระราชวังมีวิธีการมากมายที่จะสังหารคนใดคนหนึ่งอย่างสมเหตุสมผล
จักรพรรดิ นี่ท่านกำลังเสียใจที่ไม่สังหารข้าในตอนที่ยังไม่รู้ประสีประสาอย่างนั้นหรือ?
เสด็จอาเก้าขยับนิ้วเล็กน้อย ดึงสายตาของตนเองกลับมา เห็นจักรพรรดิยังคงตกอยู่ในภวังค์แห่งความคิด เสด็จอาเก้าจึงกล่าวเตือนออกมา “จักรพรรดิ ถึงตาท่านวางหมากแล้ว”
จักรพรรดิได้สติกลับคืนมา หันมาสบตากับเสด็จอาเก้า เมื่อเผชิญหน้ากับสายตาของเสด็จอาเก้าซึ่งดูเหมือนกับรับรู้เรื่องราวทุกอย่าง เสด็จอาเก้าก็รู้สึกผิดในหัวใจ
ในใจแอบสงสัยว่าเสด็จอาเก้ารับรู้อะไรบางอย่างมาหรือไม่ จากนั้นก็รีบปฏิเสธในทันใด หากเสด็จอาเก้ารับรู้อะไรบางอย่างมาจริง คนที่นั่งอยู่บนบัลลังก์ของตงหลิงในเวลานี้คงไม่ใช่เขา
จักรพรรดิไม่คิดถึงเรื่องนี้อีกต่อไป และไม่ทวงถามอะไรกับเสด็จอาเก้าอีก หลังจากวางหมากลง เขาเปลี่ยนไปถามเกี่ยวกับเรื่องของตระกูลหวัง “เรื่องของตระกูลหวัง น้องเก้า เจ้ามีความคิดเช่นไร?”
ตำแหน่งผู้นำของตระกูลหวังยังไม่ชัดเจน มีการต่อสู้ภายในเกิดขึ้นในตระกูลหวัง แน่นอนสิ่งซึ่งจักรพรรดิไถ่ถามนั้นไม่ใช่เพียงแค่เรื่องของตระกูลหวัง แต่ยังรวมถึงเรื่องของจวนเฟิ่ง เรื่องที่คนของตระกูลหวังไปหาเรื่องจวนเฟิ่งในวันนี้ แม้จะไม่มีใครพูดถึง แต่ทุกคนต่างรู้อยู่แก่ใจ
“ไม่ว่าจะเป็นสิ่งใดต่างขึ้นอยู่กับความปรารถนาของจักรพรรดิ ตระกูลหวังเองก็เป็นประชาชนตงหลิงของข้าเช่นกัน” คำพูดนี้ต้องการบ่งบอกกับเสด็จอาเก้าว่า เรื่องของตระกูลหวังนั้นขึ้นอยู่กับการตัดสินใจของจักรพรรดิ เขาไม่มีอำนาจในการตัดสินใจแต่อย่างใด
คำพูดนี้ดูเหมือนว่าทุกอย่างจะขึ้นอยู่กับจักรพรรดิ แต่เมื่อลองไตร่ตรองอย่างละเอียดและถี่ถ้วนแล้วจะพบว่าคำพูดนี้มันไม่มีประโยชน์อะไรกับเสด็จอาเก้าเลยแม้แต่น้อย
หากตำแหน่งผู้นำตระกูลหวังของหวังจิ่นหลิงมั่นคง การที่จักรพรรดิต้องการควบคุมตระกูลหวังมันก็คงไม่ใช่เรื่องง่าย แต่ดูเหมือนเวลานี้ คำพูดนี้จะดูเหมาะสมที่สุด
ทั้งสองคนโต้ตอบกันอยู่เช่นนั้น ส่วนใหญ่แล้วเป็นการหยั่งเชิงของจักรพรรดิ หากเสด็จอาเก้าปรารถนาที่จะตอบคำถาม เขาก็จะตอบออกไปเพียงคำสองคำ หากไม่ปรารถนาที่จะตอบ เขาก็จะทำเป็นเหมือนไม่ได้ยิน ความสัมพันธ์ของทั้งสองนั้นไม่เคยเป็นกันเองต่อกันเลย
ช่วงเวลาที่จวนเฟิ่งถูกตรวจค้นและถูกทำลายโดยองครักษ์เสื้อโลหิต มันก็เป็นช่วงเวลาเดียวกับอุทยานหลวงในขณะนี้ เสด็จอาเก้าและจักรพรรดิกำลังเล่นหมากล้อม แต่หมากที่แท้จริงของพวกเขาไม่ได้อยู่ในอุทยานหลวง แต่มันคือหมากของตระกูลหวัง
ใช่ จากคำพูดของจักรพรรดิและเสด็จอาเก้า ตระกูลหวังถึงเป็นหมากอันแท้จริงของพวกเขาในวันนี้ จวนเฟิ่งถือเป็นหมากตัวสำคัญที่จะตัดสินการแพ้ชนะ แต่ก่อนที่หมากจะถูกวางลงไปก็ไม่มีใครรู้ว่าผู้ใดจะเป็นฝ่ายชนะ ฉาก ณ อุทยานหลวงแห่งนี้เป็นเพียงแค่ภาพลวงตาเท่านั้น
จักรพรรดิมั่นใจว่าตนเองจะเป็นฝ่ายชนะ ด้วยอารมณ์ที่ดูนิ่งสงบของเสด็จอาเก้า ทำให้จักรพรรดิคิดว่าตนเองสามารถควบคุมเสด็จอาเก้าและซู่ชินอ๋องได้ มั่นใจว่าจะเอาชนะในการต่อสู้ที่จวนเฟิ่งได้ แต่เขาลืมไปว่าในเมืองจักรพรรดิแห่งนี้ ยังมีคนที่มีสถานะสูงกว่าตงหลิงจื่อลั่วอยู่ คนผู้นั้นก็คือ……
“หยุดเดี๋ยวนี้!” ในตอนที่องครักษ์เสื้อโลหิตกำลังลงมือกับคนของจวนเฟิ่ง องค์รัชทายาทในชุดสีเหลืองทองก็ปรากฏตัวออกมาที่จวนเฟิ่งพร้อมกับเหล่าราชองครักษ์
“องค์รัชทายาท?” องครักษ์เสื้อโลหิตหยุดมือ มืดแข็งทื่ออยู่กลางอากาศ ไม่กล้าฟันลงไป
ทำไมองค์รัชทายาทถึงได้มาปรากฏตัวที่จวนเฟิ่งในเวลาแบบนี้?
เป็นเรื่องบังเอิญ?
ไม่ บนโลกใบนี้ไม่มีเรื่องอะไรบังเอิญถึงเพียงนี้……