นางสนมแพทย์อัจฉริยะ - บทที่ 866 ลั่วอ๋องย่ำแย่ ข้าดีใจนัก
นางสนมแพทย์อัจฉริยะ บทที่ 866 ลั่วอ๋องย่ำแย่ ข้าดีใจนัก
มกุฎราชกุมารเองก็เป็นกษัตริย์ ดังนั้นไม่สำคัญว่าเขาจะดูถูกองค์รัชทายาทหรือไม่ แต่มันคงยากเกินไปหากพูดออกไปตามตรง แม้องค์รัชทายาทจะทนได้มากแค่ไหน เขาก็ไม่สามารถทนต่อคำพูดนี้ได้ แม้องค์รัชทายาทจะทนต่อไปได้ แต่ด้วยชื่อเสียงขององค์รัชทายาท เขาก็มิอาจเงยหน้าขึ้น
“ไม่เกรงใจ? น้องเจ็ด ข้าอยากจะรู้ว่าเจ้าจะไม่เกรงใจข้าเช่นไร ข้าทำตามหน้าที่ของข้า ข้าเป็นถึงมกุฎราชกุมาร ข้าอยากรู้เหลือเกินว่าใครจะกล้าทำอะไรข้าคนนี้”
สีหน้าขององค์รัชทายาทกลายเป็นสีแดง แม้แต่ซูเหวินชิงก็เข้าใจว่าองค์รัชทายาททนได้อีกไม่นาน
สำหรับนักการเมืองคนหนึ่งแล้ว ร่างกายอันแข็งแกร่งถือเป็นสิ่งสำคัญอย่างมาก สิ่งซึ่งองค์รัชทายาทกำลังทำอยู่นั้นเป็นการสูญเสียอำนาจทั้งหมดโดยเปล่าประโยชน์ แต่ในอีกมุมมองหนึ่ง เป็นเพราะร่างกายขององค์รัชทายาทนั้นไม่แข็งแรงมาแต่ไหนแต่ไร จึงทำให้เขามีชีวิตอยู่ได้ถึงทุกวันนี้
“องค์รัชทายาท ท่านอย่าเพิ่งทรงโกรธ ใส่ใจเรื่องของร่างกายให้มาก หากสิ่งใดทำให้ท่านโกรธ ก็ถือว่าเป็นความผิดของข้าผู้เป็นน้อง องค์รัชทายาทเป็นกษัตริย์ น้องชายผู้นี้จะลงมือกับองค์รัชทายาทได้อย่างไร แต่เพื่อปฏิบัติภารกิจที่เสด็จพ่อเป็นผู้มอบหมายให้สำเร็จ ภายใต้สถานการณ์ที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ หากต้องทำให้สิ่งที่เกินเลยไปบ้าง ข้าเชื่อว่าเสด็จพ่อเองก็น่าจะเข้าใจ”
ตงหลิงจื่อลั่วดูถูกองค์รัชทายาทจากก้นบึ้งของหัวใจ คำพูดนี้ของเขาแสดงให้เห็นถึงเจตนาอย่างชัดเจน แม้ว่าเขาจะสั่งให้คนจัดการองค์รัชทายาท ทำให้องค์รัชทายาทขายหน้าในที่สาธารณะ จักรพรรดิก็จะไม่ลงโทษเขาแต่อย่างใด
หย่งอ๋องและโจวอ๋องจ้องมององค์รัชทายาทด้วยความเห็นอกเห็นใจ แต่ความเห็นใจก็เป็นแค่ความเห็นใจ พวกเขายังคงทำในสิ่งที่พวกเขาควรทำ
“เรื่องนี้ข้ากับเจ้าห้าสามารถเป็นพยานได้ น้องเจ็ดเชิญลงมือได้เลย จบเรื่องแล้วข้ากับเจ้าห้าจะไปช่วยเจ้าอธิบายให้เสด็จพ่อรับฟัง” หย่งอ๋องตบหน้าอกของเขา ตงหลิงจื่อลั่วรีบหันไปขอบคุณอย่างรวดเร็ว
ฮึฮึ……เห็นพี่น้องที่รักใคร่ทั้งสามคน องค์รัชทายาทหัวเราะออกมาด้วยความโกรธ เป็นลูกของเสด็จพ่อเช่นเดียวกัน เขาไม่เข้าใจว่าทำไมเสด็จพ่อถึงได้เกลียดชังเขาถึงเพียงนี้
ตั้งแต่เล็กจนโต ไม่ว่าเขาจะทำได้ดีสักเพียงใด เขาก็ยังคงไม่อยู่ในสายตาของเสด็จพ่อ แต่หากเป็นความผิด แม้จะเล็กน้อย มันจะถูกวิจารณ์อย่างหนัก ถึงขั้นวิจารณ์ต่อหน้าเหล่าข้าราชบริพาร เหยียบองค์รัชทายาทผู้นี้ให้จมดิน ทำให้ไม่มีเสนาบดีคนไหนกล้ายืนเคียงข้างเขา และไม่มีใครกล้ามาเป็นคนสนิทขององค์รัชทายาทผู้นี้
มันช่างไร้ความหมายเหลือเกิน เขาทำงานหนักมาครึ่งชีวิต แต่เสด็จพ่อกลับไม่เคยเห็นความดีของเขาอยู่ในสายตา และเวลานี้ยังถูกน้องชายร่วมหัวกันต่อต้าน
เสด็จพ่อเอ่ยเสด็จพ่อ ท่านหมดหวังในตัวข้า ข้าเองก็หมดหวังในตัวท่านเช่นกัน
องค์รัชทายาทสงบสติอารมณ์ ท่าทางของเขาดูนิ่งสงบ ใบหน้าสีแดงที่ไม่เป็นธรรมชาติของเขาจางลงไม่น้อย เผชิญหน้ากับคนก้าวร้าวอย่างตงหลิงจื่อลั่ว องค์รัชทายาทไม่แสดงให้เห็นถึงความโกรธแต่อย่างใด เขาจ้องมองตงหลิงจื่อลั่วด้วยความดูถูก จากนั้นองค์รัชทายาทถอยกลับไปก้าวหนึ่ง เขาสู่วงล้อมแห่งการป้องกันของเหล่าราชองครักษ์
“ลงมือ ใครขัดขวางก็สังหารได้เลย”
เขาไม่สนใจความคิดของเสด็จพ่อ ไม่สนใจตำแหน่งองค์รัชทายาท ไม่สนใจว่าซีหลิงเทียนอวี่จะมาเห็นเหตุการณ์ในครั้งนี้ ไม่สนใจคำนินทาของผู้คน เขาไม่สนใจอะไรทั้งนั้น เขาอยากจะรู้ว่าในตงหลิงแห่งนี้ยังมีใครที่จะกล้าเหยียบย่ำเขาอีก
เวลานี้ องค์รัชทายาทขจัดความอ่อนโยนและความอดกลั้นในยามปกติของเขาออกไปจนหมด ร่างกายของเขาก็เหมือนกับดอกโบตั๋นที่บานสะพรั่ง สง่างามและไม่มีใครล่วงเกินได้
คำสั่งขององค์รัชทายาทนั้นออกมาอย่างกะทันหัน ตงหลิงจื่อลั่วยังไม่ทันได้ตอบสนอง เขาแทบไม่อยากเชื่อว่าองค์รัชทายาทจะกล้ารับผิดชอบการกระทำอันยิ่งใหญ่ และลงมือกับองครักษ์เสื้อโลหิตเช่นนี้
ในตอนที่ตงหลิงจื่อลั่วตอบสนอง องครักษ์เสื้อโลหิตก็เป็นฝ่ายถอยกลับมาเนื่องจากถูกเหล่าองครักษ์กดดัน ตงหลิงจื่อลั่วในเวลานี้ก็ไม่สนใจสิ่งใด ออกไปสั่งไปทันใด “องค์รัชทายาทฝ่าฝืนพระราชโองการ พวกเจ้ายังไม่รีบลงมือ รีบจับองค์รัชทายาทโดยเร็ว”
ด้วยเหตุผลที่เพียงพอ เหล่าทหารจึงมีแรงผลักดันและความกล้าที่มากพอ ถึงขั้นลงมือกับองค์รัชทายาทของประเทศ สิ่งนี้ถือเป็นอาชญากรรมร้ายแรงต่อครอบครัวและวงศ์ตระกูล แต่ด้วยคำพูดของตงหลิงจื่อลั่ว ทำให้เหล่าองครักษ์เสื้อโลหิตต่อสู้กับเหล่าองครักษ์ขององค์รัชทายาทโดยปราศจากซึ่งความกลัว
ด้านหลังของพวกเขาคือศาลบรรพบุรุษของจวนเฟิ่ง สู้กันได้ไม่นานก็ลามมาถึงประตูของศาลบรรพบุรุษคนใช้ในจวนเฟิ่งจ้องมองการต่อสู้อันยิ่งใหญ่ขององครักษ์เสื้อโลหิตและองครักษ์แห่งองค์รัชทายาท พวกเขาจ้องมองอยู่เช่นนั้น ไม่รู้ว่าควรทำเช่นไร
อยู่ดี ๆ ทำไมถึงได้สู้กัน?
จนกระทั่งองครักษ์เสื้อโลหิตสองคนเสียชีวิตลงตรงหน้าประตูศาลบรรพบุรุษ คนของตระกูลเฟิ่งถึงสติกลับคืนมา รีบลุกขึ้นและโยนศพเหล่านั้นออกไป ขณะเดียวกันก็ทำการปิดประตูของศาลบรรพบุรุษ นำสลักไม้ใส่ไว้ ขวางอยู่ด้านหน้าประตูศาลบรรพบุรุษ เพื่อป้องกันไม่ให้ใครเข้าไปรบกวนความสงบของแม่ทัพเฟิ่งและเฟิ่งฮูหยินในศาลบรรพบุรุษ
ในตอนที่ซีหลิงเทียนอวี่ปรากฏตัวออกมา เขาก็พบกับการต่อสู้ที่กำลังดำเนินอยู่ ซีหลิงเทียนอวี่ส่งสัญญาณบอกให้คนรับใช้พาตนเองกลับไป
องค์รัชทายาทไม่ได้เสียเปรียบแต่อย่างใด นี่คือการต่อสู้ระหว่างองค์ชายแห่งตงหลิง สำหรับราชวงศ์ตงหลิง สิ่งนี้ถือเป็นเรื่องน่าอับอาย เขาเป็นแค่คนนอก ไม่รับรู้เรื่องนี้จะดีกว่า เพื่อหลีกเลี่ยงความอับอายในหัวใจของจักรพรรดิแห่งตงหลิง
ซูเหวินชิงเห็นการเคลื่อนไหวของซีหลิงเทียนอวี่ เขาชื่นชมใจความคิดของซีหลิงเทียนอวี่ จากนั้นแอบส่งสัญญาณให้เหล่าสายลับ ให้พวกเขาฉวยโอกาสชุลมุน แอบให้ความช่วยเหลือทหารฝั่งขององค์รัชทายาท
ไม่ใช่เพราะเขาอยากช่วยองค์รัชทายาท แต่การได้เห็นความล้มเหลวของตงหลิงจื่อลั่ว นั่นเป็นสิ่งที่ทำให้เขามีความสุข
ก็แค่ลั่วอ๋องไม่ใช่หรือไง ต่อให้เจ้าดีแค่ไหนก็ไม่มีวันดีไปกว่าองค์รัชทายาท องค์รัชทายาทโกรธ ผลที่ตามมานั้นร้ายแรง แม้โทษที่รอองค์รัชทายาทอยู่หลังจากนี้นั้นจะรุนแรงเป็นอย่างมาก แต่สำหรับองค์รัชทายาทแล้ว มันก็ไม่ใช่เรื่องเลวร้ายอะไร ปล่อยให้ผู้อื่นรังแก กล่าวหาว่าเป็นองค์รัชทายาทเพียงแค่ชื่อ เช่นนั้นไม่สู้ลงมือและทำในสิ่งที่ตนเองต้องการจะดีกว่า……
เหล่าทหารที่องค์รัชทายาทพามาไม่ใช่แค่ผู้มีกำลังใจฮึกเหิมเท่านั้น แต่ทุกคนต่างเป็นยอดฝีมือ ประกอบกับเหล่าสายลับที่แอบให้ความช่วยเหลือ ทำให้เหล่าองครักษ์เสื้อโลหิตมากกว่าร้อยนายตายไม่เหลือ รวมถึงองครักษ์ข้างกายของตงหลิงจื่อลั่วเองก็ไม่เหลือแม้แต่คนเดียว องครักษ์ขององค์รัชทายาทล้อมตงหลิงจื่อลั่ว หย่งอ๋องและโจวอ๋องไว้ตรงกลาง
ซูเหวินชิงเห็นฉากที่ผิดปกตินี้ เขารีบฉวยโอกาส โบกมือ พาพวกของทงเหยาและทุกคนออกไปจากที่นี่ทันที
พวกเขาไม่มีความกล้าที่จะมองดูเรื่องอื้อฉาวของราชวงศ์ หากถึงเวลา จักรพรรดิต้องการรักษาชื่อเสียงของราชวงศ์ ท่านจะต้องสังหารพวกเขาทั้งหมดเพื่อปิดปาก
เพื่อชีวิตดวงน้อยของตนเอง ซูเหวินชิงวิ่งหนีออกไปโดยไม่สนใจองค์รัชทายาทเลยแม้แต่น้อย อีกอย่างองค์รัชทายาทกำลังได้เปรียบ ตราบใดที่องค์รัชทายาทยังคงไร้ซึ่งความกลัว ในจวนเฟิ่งแห่งนี้ ตงหลิงจื่อลั่วก็ไม่มีทางเอาเปรียบองค์รัชทายาทได้
หมัดของใครแข็งกว่า คนผู้นั้นก็คือผู้ชนะ ไม่ว่าเรื่องราวหลังจากวันนี้จะเป็นเช่นไร อย่างน้อยในเวลานี้ชัยชนะก็เป็นขององค์รัชทายาท
องค์รัชทายาทยืนนำมือไขว้หลังด้วยท่าทางอันสง่างาม ด้วยรอยยิ้มอันเงียบสงบในดวงตาของเขา ความหวาดระแวงในยามปกติของเขาหายไป เขาไม่อดทน องค์รัชทายาทในเวลานี้เป็นสิ่งที่ไม่เคยมีผู้ใดเคยเห็นมาก่อน
มีเพียงเลือดที่นองไปทั่วพื้น ทำให้ทุกคนที่อยู่ที่นี่เข้าใจได้ว่า ชายผู้อยู่ตรงหน้าไม่ผู้ปฏิบัติตามศีลธรรมแต่อย่างใด และไม่ใช่ภิกษุหรือภิกษุณี เขามีสายเลือดอันเหี้ยมโหด และมีวิธีการที่กษัตริย์ควรจะมี
“เสด็จพี่ ท่านคิดจะทำอะไร?” สีหน้าของตงหลิงจื่อลั่วเต็มไปด้วยความเคร่งขรึม เขารู้สึกตัวแล้วว่าเขามององค์รัชทายาทไม่ออก องค์รัชทายาทกำลังวางแผนที่จะก่อการกบฏงั้นหรือ? ก่อกบฏที่ปราศจากการเตรียมการใดๆ? หากไม่ใช่การก่อกบฏเช่นนั้นเขาจะทำเรื่องที่ไร้เหตุผลเช่นนี้ได้อย่างไร
หรือองค์รัชทายาทไม่รู้ว่าโทษของการสังหารองครักษ์เสื้อโลหิตเป็นเช่นไร
“เสด็จพี่? ช่างเป็นชื่อที่ประชดประชันเหลือเกิน เจ้าไม่ได้เรียกข้าว่าองค์รัชทายาทงั้นหรือ ทำไมเวลานี้ถึงจำได้ว่าข้าคือเสด็จพี่ของเจ้า น้องเจ็ด เจ้ามิคิดว่ามันสายเกินไปหน่อยงั้นหรือ?” องค์รัชทายาทยิ้มออกมาด้วยอารมณ์ของผู้ชนะ ทำให้ตงหลิงจื่อลั่วไม่กล้าสบสายตา
องค์รัชทายาทในเวลานี้ดูเปี่ยมล้นไปด้วยพลังราวกับเป็นราชาผู้ควบคุมความเป็นตาย หากจักรพรรดิเห็นฉากนี้ เขาจะต้องเข้าใจว่าตนเองผิดไปแล้ว องค์รัชทายาทเหมาะสมกับตำแหน่งองค์รัชทายาทเพียงแต่ถูกเขากดดันจนไม่สามารถทำอะไรได้……