นางสนมแพทย์อัจฉริยะ - บทที่ 867 ข้าจะขัดการพวกเจ้าเสีย
นางสนมแพทย์อัจฉริยะ บทที่ 867 ข้าจะขัดการพวกเจ้าเสีย
ตงหลิงจื่อลั่วไม่ยอมรับว่าตนเองดีไม่เท่าองค์รัชทายาท และไม่ยอมรับว่าเขารู้สึกกลัวองค์รัชทายาท ดังนั้นเขาจึงยืดหลังตรง กัดฟันและเผชิญหน้ากับองค์รัชทายาท “เสด็จพี่ ท่านกำลังก่อกบฏ ข้าขอให้ท่านได้โปรดหยุดมือ เห็นแก่ความเป็นพี่เป็นน้อง ข้าจะอ้อนวอนเสด็จพ่อให้ไว้ชีวิตท่านสักหนึ่งชีวิต”
นี่เป็นครั้งที่สองที่ตงหลิงจื่อลั่วรู้สึกว่าชีวิตของเขากำลังถูกคุกคาม ครั้งแรกคือเฟิ่งชิงเฉิน ผู้หญิงบ้าผู้นั้นคุกคามชีวิตของเขาจนถึงที่สุดในตอนที่อยู่ด้านหน้าตำหนักของฮองเฮา
ครั้งที่สองก็คือเวลานี้ แม้เหล่าองครักษ์จะไม่ได้ยกอาวุธชี้มายังพวกเขา แต่มันก็ทำให้ตงหลิงจื่อลั่วสัมผัสได้ถึงลมหายใจแห่งความตาย
องค์รัชทายาทมองมายังตงหลิงจื่อลั่วโดยไม่กะพริบตา เขาเห็นถึงความกล้าหาญของตงหลิงจื่อลั่ว เมื่อเห็นเช่นนั้น รอยยิ้มบนใบหน้าขององค์รัชทายาทชัดเจนและสดใสมากยิ่งขึ้น “หยุดมือ? นี่เป็นเพียงการเริ่มต้นเท่านั้น ข้าจะหยุดมือได้อย่างไร ฉากในวันนี้หายากถึงเพียงใด ในอนาคตจะสามารถเห็นฉากเช่นนี้ได้หรือไม่ เรื่องนี้มันพูดยาก”
“เสด็จพี่ ท่านบ้าไปแล้วอย่างนั้นหรือ? ท่านกำลังกบฏ โทษของการกบฏคือความตาย แม้ว่าท่านจะเป็นองค์รัชทายาทก็ตาม” ดวงตาของตงหลิงจื่อลั่วเบิกกว้างอย่างกะทันหัน มองไปยังองค์รัชทายาทโดยไม่เชื่อในสายตาของตนเอง
ในที่สุดเขาก็เข้าใจ องค์รัชทายาทในเวลานี้เหมือนกับเฟิ่งชิงเฉินในตอนแรกไม่มีผิด ไม่มีทางให้ถอย ทำได้เพียงสู้อย่างสุดชีวิต หากไม่สู้เขาก็จะต้องตาย เช่นนั้นไม่สู้ออกมาต่อสู้ ลากอีกฝ่ายให้พังพินาศไปตามกัน เช่นนี้จะเป็นการดีกว่า
แต่เขาไม่อยากเป็นเพื่อนเล่นกับคนบ้า
“บ้า? เจ้าบอกว่าข้าบ้า?” องค์รัชทายาทชี้มายังจมูกของตนเองพร้อมทำท่าทางตกใจ “น้องเจ็ด ข้าบ้าหรือไม่บ้า เจ้ารู้ดีอยู่แก่ใจ ข้ามีสิทธิ์เลือกหรือไม่ ตัวเจ้านั้นรู้ดี หากข้าเป็นบ้า ข้ามิมีทางมายืนอยู่ตรงนี้ หากข้าคิดจะก่อกบฏ ข้าก็ไม่มีทางลงมือกับพวกเจ้า เพราะว่าพวกเจ้านั้นยังไม่คู่ควร”
คนเดียวที่จะหยุดไม่ให้องค์รัชทายาทขึ้นครองบัลลังก์ได้ก็คือจักรพรรดิ หากองค์รัชทายาทต้องการกบฏ เขาก็น่าจะทำการสังหารจักรพรรดิ คำพูดนี้ขององค์รัชทายาทนั้นถูกต้อง เมื่อโจวอ๋องรับรู้ว่าองค์รัชทายาทไม่ได้มีเจตนาก่อกบฏ เขาจึงรีบอธิบายออกมา “เสด็จพี่ เรื่องนี้เป็นเพียงเรื่องเข้าใจผิด สั่งให้คนของท่านถอยไป ข้าสัญญาว่าข้าจะอธิบายให้เสด็จพ่อฟังว่าเรื่องนี้ไม่ใช่ความผิดของท่าน”
ไม่ว่าจะเป็นเช่นไร ก่อนอื่นไปอยู่ให้ห่าง รอดพ้นจากสายตาได้ก็ยิ่งดี ออกไปจากจวนเฟิ่ง เมื่อกลับไปถึงพระราชวังค่อยส่งให้คนมาจัดการกับองค์รัชทายาท
“ฮ่าฮ่า……น้องห้า ในสายตาของเจ้า ข้าโง่ถึงเพียงนั้นเลยงั้นหรือ หากให้คนของข้าถอยออกมา ข้ายังมีทางรอดอยู่อีกงั้นหรือ? หลังจากพวกเจ้ากลับไปยังพระราชวัง แค่ไม่ใส่ความข้ามากไปกว่านี้ก็เพียงพอแล้ว ยังจะมีหน้ามากล่าวอีกว่าจะช่วยข้าอธิบายเรื่องราวทั้งหมด” รูปร่างหน้าตาขององค์รัชทายาทนั้นไม่ได้แย่ เพียงแต่แรงกดดันที่ได้รับนั้นหนักหนาจนแทบทำให้เขาหายใจไม่ออก เขาไม่เคยมีความสุขอย่างแท้จริงมาก่อน และครั้งนี้คือรอยยิ้มอันเปล่งประกายแท้จริงจากหัวใจของเขา
โจวอ๋องได้ยินคำพูดเช่นนั้นขององค์รัชทายาท สีหน้าของเขาเกิดความละอายใจ แต่ในฐานะองค์ชาย แน่นอนว่าใบหน้าของเขานั้นด้านเพียงพอ สถานการณ์ไม่สู้ดีนัก โจวอ๋องจะกล้าเปลี่ยนใจได้อย่างไร? เขาทำได้เพียงยิ้มและกล่าวออกมาว่า “เสด็จพี่ ก็แค่สังหารผู้รับใช้เพียงมิกี่คนมิใช่หรือ? เรื่องราวมันมิได้หนักหนาอะไรถึงขนาดนั้น ต่อให้เสด็จพ่อทรงลงโทษ ก็คงมิใช่เรื่องใหญ่อะไร ทำไมเสด็จพี่ถือต้องคิดว่าตนเองกำลังเผชิญอยู่กับทางตันด้วย”
“ทางตัน? ข้าเผชิญกับทางตันมานานแล้ว มิเห็นจำเป็นต้องบีบบังคับ” องค์รัชทายาทจ้องมองไปยังตงหลิงจื่อลั่ว ดวงตาสีเข้มอันลึกล้ำ
สิ่งที่เกิดขึ้นในวันนี้เป็นเพียงตัวกระตุ้น นับตั้งแต่ตงหลิงจื่อลั่วได้ครอบครององครักษ์เสื้อโลหิต นั่นก็คือช่วงเวลาที่เขาได้พบกับทางตัน
จะเอาตงหลิงจื่อลั่วมาเทียบกับโจวอ๋องไม่ได้ เอาเย่อหยิ่งต่อหน้าองค์รัชทายาทจนคุ้นชิน ก่อนหน้านี้ถูกทำให้อับอายโดยองค์รัชทายาท เขารู้สึกรำคาญเป็นเวลานาน และเวลานี้ถูกองค์รัชทายาทจับจ้อง ตงหลิงจื่อลั่วจะถอยได้อย่างไร เงยหน้าขึ้นสบตากับองค์รัชทายาท กล่าวออกมาอย่างเย่อหยิ่งและเยือกเย็น “องค์รัชทายาท เจ้าต้องการอะไรกันแน่?”
ตงหลิงจื่อลั่วไม่รู้จักประเมินสถานการณ์ เขายังคงเย่อหยิ่ง ไม่เห็นองค์รัชทายาทอยู่ในสายตา หย่งอ๋องและโจวอ๋องสบตากันด้วยความเป็นห่วง และยิ้มอย่างขมขื่น……
“ข้าคิดจะทำเช่นไร?” องค์รัชทายาทชินกับตงหลิงจื่อลั่วที่ไม่เคยเห็นใครอยู่ในสายตา เขาไม่ใส่ใจ ทำท่าทางเหมือนกับกำลังครุ่นคิด จากนั้นเขายิ้มและกล่าวอย่างมีเลศนัย “น้องเจ็ด เจ้าคิดว่าหากข้าสังหารพวกเจ้าทั้งหมดจะเป็นอย่างไร?”
“เจ้า เจ้าจะทำเช่นนั้นมิได้” โจวอ๋องถอยหลังไปก้าวใหญ่ องครักษ์ขององค์รัชทายาทผลักเขากลับไปอย่างไม่เกรงใจ ทำให้โจวอ๋องเสียหลัก เกือบจะล้มลงกับพื้น โชคดีที่ตงหลิงจื่อลั่วเข้ามาพยุงไว้ได้ทัน แต่แรงที่ตงหลิงจื่อลั่วใช้พยุงโจวอ๋องนั้น สามารถบีบให้แขนของเขาขาดเป็นสองท่อนได้
“เสด็จพี่ ข้าคิดว่าท่านควรไตร่ตรองให้ดีเสียก่อน” น้ำเสียงของตงหลิงจื่อลั่วแฝงไว้ด้วยการข่มขู่ แม้เขากังวลว่าองค์รัชทายาทอาจลงมือกับพวกเขาจริง แต่เขาก็ไม่มีวันก้มหัวให้กับองค์รัชทายาท
“ทำเช่นนั้นมิได้? ไตร่ตรองให้ดีเสียก่อน? ข้าคือองค์รัชทายาท ในโลกใบนี้มีเรื่องอะไรที่ข้าทำมิได้ ข้าอยากทำอย่างไรข้าก็จะทำเช่นนั้น ทำไมต้องไตร่ตรอง” องค์รัชทายาทกล่าวอย่างโอหัง หากไม่ใช่ใบหน้าอันนิ่งสงบและดวงตาอันเฉยเมยขององค์รัชทายาท ตงหลิงจื่อลั่วคงคิดว่าองค์รัชทายาทบ้าไปแล้ว
“องค์รัชทายาทแล้วอย่างไร ท่านสังหารพวกข้า เจ้าและคนรอบกายของเจ้าไม่มีวันจบด้วยดีแน่นอน เจ้าเคยคิดถึงพวกเข้าบางหรือไม่ พวกเขายังมีครอบครัวต้องดูแล พวกข้าสามคนตายอยู่ที่นี่ พวกเขาทั้งหมดจะถูกลงโทษ รวมถึงทุกคนในครอบครัวของพวกเขา และถูกฝังไปพร้อมกับพวกข้า” ตงหลิงจื่อลั่วเลือกคำพูดอย่างระมัดระวัง โดยหวังว่าจะสามารถโน้มน้าวองครักษ์ทางฝั่งขององค์รัชทายาทได้ ทำให้องค์รัชทายาทรับรู้ถึงความร้ายแรงของเรื่องนี้
“สังหารล้างตระกูล? น้องเจ้า เจ้าบ้าไปแล้วหรืออย่างไร หากข้าต้องการสังหารพวกเจ้า ครอบครัวของคนพวกนี้จะลำบากไปด้วยได้อย่างไร คนพวกนี้คือทหารที่ข้าเลี้ยงดูขึ้นมาและสามารถยอมตายแทนข้าได้ อะไรเรียกว่าทหารที่ยอมตายแทนได้ น้องเจ็ด หรือว่าเจ้าจะมิเข้าใจ?” องค์รัชทายาทกล่าวอย่างเย้ยหยัน ความเก็บกดตลอดระยะเวลาหลายปีที่ผ่านมา ทั้งหมดถูกระบายออกไปในวันนี้ ความรู้สึกเช่นนี้ช่างมีความสุขเหลือเกิน
เขาช่างโง่เขลาเสียเหลือเกิน เพื่อตำแหน่งที่ไม่มั่นคง เขาใช้ชีวิตอย่างระมัดระวังมาโดยตลอด สุดท้ายเขากลับไม่ได้อะไรจากมัน หากรู้ว่าเป็นเช่นนี้ตั้งแต่แรก เขาควรทำตัวโอหังและเย่อหยิ่ง ไม่ยำเกรงผู้ใด
เขาคือองค์รัชทายาท เขาจำเป็นต้องกลัวผู้ใด
“งั้นแล้วเฟิ่งชิงเฉินเล่า? หากท่านไม่คิดถึงตัวเอง ท่านก็ควรจะนึกถึงเฟิ่งชิงเฉิน” ตงหลิงจื่อลั่วกลืนน้ำลาย จ้องมององค์รัชทายาทด้วยสายตาแห่งความหวาดกลัว
ผู้ซึ่งอ่อนแอนั้นหวาดกลัวผู้แข็งแกร่ง เมื่อเผชิญหน้ากับผู้แข็งแกร่ง พวกเขาก็ไม่อาจต้านทานได้! และเห็นได้ชัดว่าองค์รัชทายาทเป็นผู้แข็งแกร่งที่ไม่เกรงกลัวความตาย
“น้องเจ็ด นับวันเจ้ายิ่งไร้เดียงสา ข้านั้น แม้แต่ชีวิตของตนเองยังมิสนใจ แล้วข้าจะไปสนใจชีวิตของเฟิ่งชิงเฉินได้อย่างไร ข้ามิเข้าใจว่าเสด็จพ่อเห็นสิ่งใดในตัวเจ้า จึงได้ทุ่มเททั้งแรงกายและแรงใจในการเลี้ยงดู องค์ชายผู้โง่เขลา ถูกหลอกล่อโดยสตรีสองคน คนอย่างเจ้าคิดจะไปถึงตำแหน่งนั้นงั้นหรือ? แสดงความรักกับองค์หญิงที่เป็นศัตรูของประเทศ อยากแต่งงานกับนางอยู่ฝ่ายเดียว คนอย่างเจ้าจะแบกรับราษฎรของตงหลิงได้อย่างนั้นหรือ?
เพื่อองค์หญิงประเทศของศัตรู เจ้าทำร้ายผู้คนไปมากมาย สุดท้ายเมื่อรู้ว่าอีกฝ่ายสูญเสียความบริสุทธิ์ เจ้ากลับถีบหัวส่งนาง คนอย่างเจ้าที่แม้แต่ผู้หญิงของตนเองยังมิสามารถปกป้องเอาไว้ได้ มิมีความรับผิดชอบ เจ้ามีคุณสมบัติอะไรจะมาแย่งชิงตำแหน่งจักรพรรดิกับข้า นึกถึงหลายปีที่ผ่านมา ข้าต้องมาแย่งชิงกับเจ้าที่มิได้มีอะไรดี ไร้ซึ่งความสามารถ พอนึกถึงมันขึ้นมาก็ทำให้ข้ารู้สึกขยะแขยง”
องค์รัชทายาทกล่าวอย่างตรงไปตรงมา ลดคุณค่าของตงหลิงจื่อลั่ว ตงหลิงจื่อลั่วรู้สึกโกรธมาก แต่ไม่สามารถตอบโต้อะไรกลับไปได้ จ้องมององค์รัชทายาทด้วยความเกลียดชัง ราวกับว่าต้องการจะกลืนกินองค์รัชทายาท
องค์รัชทายาทยิ้มอย่างไม่ใส่ใจ “เกลียดข้างั้นหรือ? เช่นนั้นเจ้าก็เกลียดต่อไปเถิด ข้ามิใส่ใจ แม้ว่าข้าจะเกลียดเจ้ามาก แต่ข้าก็มิเลือดเย็นพอที่จะสังหารเจ้า ทหาร จัดสามคนนี้มัดเอาไว้ ข้ามิอยากเห็นพวกเขาทั้งสามรบกวนแม่นางเฟิ่งช่วยชีวิตผู้คน”
พูดจบเขาก็หันหลังและเดินไปยังกระท่อมไม้ ก้าวเดินของเขาเบาบางราวกับสายลม ไม่มีร่องรอยของความหวาดระแวงเหมือนยามปกติ และไม่มีความตื่นตระหนกแต่อย่างใดหลังจากที่ได้ทำความผิดครั้งใหญ่
หากไร้ซึ่งความกลัวก็ไม่จำเป็นต้องรู้สึกละอาย เขาไม่เคยร้องขอความเห็นใจจากจักรพรรดิ เช่นนั้นเขายังต้องกลัวสิ่งใด……