นางสนมแพทย์อัจฉริยะ - บทที่ 869 ทนเรื่องเล็กไม่ได้ จะเกิดเรื่องใหญ่
นางสนมแพทย์อัจฉริยะ บทที่ 869 ทนเรื่องเล็กไม่ได้ จะเกิดเรื่องใหญ่
บ้านของนางถูกทำลายอีกครั้ง
ผู้ซึ่งทำลายบ้านของนางคราวก่อนคือ หลี่เซี่ยง คนผู้นั้นถูกนางจัดการด้วยมือของนางเอง และครั้งนี้……
เฟิ่งชิงเฉินหลับตาลง ระงับความเจ็บปวดในใจของนาง ระหว่างทางเดิน นางได้พบกับคนรับใช้หลายคนที่กำลังร้องไห้ เมื่อเห็นเฟิ่งชิงเฉินเดินมาแต่ไกล คนรับใช้เหล่านั้นรีบวิ่งเข้าไปคุกเข่าและสะอื้นอยู่ด้านหน้าของเฟิ่งชิงเฉิน
“คุณหนู ในที่สุดท่านก็ออกมาแล้ว”
เฟิ่งชิงเฉินปรากฏตัวออกมา พวกเขาก็เหมือนกับมีที่พึ่งทางใจ พวกเขาไม่จำเป็นต้องกลัวอะไรอีกต่อไปแล้ว
“ลุกขึ้นเถิด ไปทำในสิ่งที่พวกเจ้าควรทำ” เฟิ่งชิงเฉินไม่ได้พูดปลอบใจออกไปแต่อย่างใด ย่างเท้าของนางกระชับขึ้น ดวงตาของนางดูสว่างมากกว่าเดิม
แม้จะไม่ได้หลับไม่ได้นอนมาเป็นเวลาหนึ่งคืนมันก็ไม่สามารถปกปิดความเยือกเย็นในดวงตาของนางได้……
เฟิ่งชิงเฉินเห็นซีหลิงเทียนอวี่กำลังพูดคุยอย่างมีความสุขกับองค์รัชทายาทในระยะไกล ดวงตาของนางเผยให้เห็นถึงความประหลาดใจ วันนี้ความรู้สึกที่นางสัมผัสได้จากองค์รัชทายาทนั้นต่างไปจากเดิม
แต่ถึงกระนั้นมันก็ไม่เกี่ยวอะไรกับนาง เฟิ่งชิงเฉินรีบระงับอารมณ์ของตนเอง ปกปิดความประหลาดใจในดวงตาของนาง เข้าไปในห้อง คุกเข่าทำความเคารพ “ชิงเฉินคารวะองค์รัชทายาท ขอให้องค์รัชทายาทอายุยืนนาน หมื่นปี หมื่น หมื่น ปี”
การเคลื่อนไหวของเฟิ่งชิงเฉินนั้นรวดเร็วและงดงาม องค์รัชทายาทรู้ว่าเฟิ่งชิงเฉินทำไปโดยเจตนา เขาไม่ได้พูดอะไรมาก เขาในวันนี้ต่างจากที่ผ่านมา เขาไม่สนใจว่าคนอื่นจะคิดกับเขาเช่นไร เขาจะไปสนใจเพื่ออะไร เขาต้องการทำในสิ่งที่เขามีความสุข เท่านั้นก็เพียงพอ
องค์รัชทายาทยกมือขึ้น “มิต้องมากพิธี!”
“เพคะ ฝ่าบาท” เฟิ่งชิงเฉินเองก็ไม่เกรงใจ ลุกขึ้นยืนและคำนับไปทางองค์รัชทายาท “ฝ่าบาทมีพระคุณกับจวนเฟิ่งเป็นอย่างมาก บุญคุณครั้งนี้ชิงเฉินจะจดจำไว้ในหัวใจ หากฝ่าบาทมีอะไรให้ชิงเฉินรับใช้ ชิงเฉินพร้อมปฏิบัติอย่างเต็มใจ”
หากเป็นวันปกติ องค์รัชทายาทจะต้องตอบรับคำกล่าวของเฟิ่งชิงเฉินอย่างไม่เกรงใจ แต่วันนี้เขาไม่มีอารมณ์จะไปต่อสู้กับใคร เขาไม่ต้องการดึงใครเข้ามาเกี่ยวข้อง และไม่ต้องการใช้ประโยชน์จากเฟิ่งชิงเฉินเพื่อประจบประแจงเสด็จอาเก้า องค์รัชทายาทโบกมืออย่างไม่ใส่ใจ “มิจำเป็นต้องขอบคุณข้า ข้าเพียงแค่รับคำไหว้วานจากผู้อื่น หากจะขอบคุณ เจ้าก็ไปขอบคุณเสด็จอาเก้า”
“แน่นอนว่าต้องขอบคุณเสด็จอาเก้า แต่ก็ต้องขอบคุณฝ่าบาทเช่นกัน หากไม่ได้รับความช่วยเหลือจากฝ่าบาท เกรงว่าวันนี้คงเป็นวาระสุดท้ายของจวนเฟิ่ง” ทุกคนต่างเห็นสภาพอันน่าเวทนาของจวนเฟิ่ง หากองค์รัชทายาทเสด็จมาไม่ทันเวลา เฟิ่งชิงเฉินเชื่อว่าตงหลิงจื่อลั่วคงทำลายจวนเฟิ่งจนสิ้นซาก
ในฐานะองค์ชาย ตงหลิงจื่อลั่วมีอำนาจและพลังที่สามารถทำลายจวนเฟิ่งได้
“หากจะพูดถึงการขอบคุณ ข้าเองก็ต้องขอบคุณเจ้า เรื่องของจวนเฟิ่งสำหรับข้าถือว่ามิได้ลำบากแต่อย่างใด” สิ่งที่องค์รัชทายาทพูดนั้นเป็นความจริง หากไม่มีเรื่องในวันนี้ องค์รัชทายาทก็คงเป็นองค์รัชทายาทผู้โง่เขลาไปตลอดทั้งชีวิต
เฟิ่งชิงเฉินยังต้องการพูดอะไรบางอย่าง องค์รัชทายาทโบกมือ “ช่างมันเถิด พวกเราเลิกขอบคุณกันไปมาได้แล้ว เรื่องในวันนี้แม้จะเกิดขึ้นในจวนเฟิ่ง แต่เจ้ากับข้าต่างรู้ดีอยู่แก่ใจว่าจวนเฟิ่งนั้นประสบกับภัยพิบัติอันมิสมควร ในเมื่อเจ้าออกมาแล้ว เรื่องของจวนเฟิ่งก็ควรปล่อยให้เป็นหน้าที่ของเจ้า ส่วนลั่วอ๋อง หย่งอ๋องและโจวอ๋อง รวมถึงคนของตระกูลหวัง ข้าขอเป็นคนพาตัวพวกเขาไป ลั่วอ๋องเป็นองค์ชาย มิว่าเขาจะทำเรื่องอันใด ขอแค่เขายังอยู่ในตระกูลของราชวงศ์ก็มิมีทางเอาผิดเขาได้ ส่วนเรื่องอื่น ข้าขอให้เจ้าจัดการด้วยตัวเอง”
องค์รัชทายาทลุกขึ้นยืน บอกให้องครักษ์ไปเชิญพวกของตงหลิงจื่อลั่ว คำว่าเชิญของเขาหมายถึงการแก้มัด อย่างไรก็ควรให้เกียรติพวกเขาในฐานะองค์ชาย
องค์ชายผู้สง่างามถูกมัดตัวไว้เหมือนนักโทษ เรื่องนี้ช่างเป็นเรื่องน่าอับอาย ด้วยทัศนคติของพวกองค์รัชทายาท พวกเขาไม่มีทางยอมรับความอัปยศครั้งนี้ได้เป็นแน่ เช่นนั้นโชคร้ายจะตกอยู่กับจวนเฟิ่ง องค์รัชทายาทไม่มีความตั้งใจที่จะต่อสู้ แน่นอนว่าเขาไม่มีทางปล่อยให้จวนเฟิ่งเป็นศัตรูกับตงหลิงจื่อลั่ว
“ขอบพระคุณองค์รัชทายาท” ความหมายนี้เฟิ่งชิงเฉินเองก็เข้าใจ เนื่องจากความเข้าใจนี้ นางจึงรู้สึกขอบคุณองค์รัชทายาทเป็นอย่างมาก
องค์รัชทายาทช่างต่างไปจากเดิมเหลือเกิน เขาวางแผนได้อย่างรอบคอบ แก้ปัญหาจากต้นเหตุ หากองค์รัชทายาทปล่อยลั่วอ๋องให้อยู่ในจวนเฟิ่งต่อไป ต่อให้นางจะทนกับแรงกดดันนี้ได้ ไม่ไปหาเรื่องลั่วอ๋อง แต่ลั่วอ๋องก็ไม่มีทางปล่อยนางไปอย่างแน่นอน
องค์รัชทายาทยิ้มออกมา ไม่ได้ตอบรับแต่อย่างใด เขาได้ต้องการพูดอะไรมาก แต่ก่อนที่เขาจะไป เขาหันกลับมาถามเฟิ่งชิงเฉินว่า “ใช่แล้ว เจ้ามีอะไรอยากจะฝากข้าไปบอกลั่วอ๋องหรือไม่”
จวนเฟิ่งถูกทำลาย ด้วยอารมณ์ของเฟิ่งชิงเฉิน เป็นไปไม่ได้ที่จะไม่รู้สึก เช่นเดียวกัน เนื่องจากคำพูดและการกระทำขององค์รัชทายาทเหมือนกับการย้ำเตือนเฟิ่งชิงเฉิน ไม่ว่าจะพูดอย่างไรตงหลิงจื่อลั่วก็คือองค์ชาย เป็นศัตรูกับองค์ชายของประเทศ แน่นอนว่าเฟิ่งชิงเฉินไม่มีทางรับไหว
เดิมทีก็ไม่มีอะไร แต่เมื่อองค์รัชทายาทเอ่ยปากออกมา ไม่มีก็ต้องมี เฟิ่งชิงเฉินกล่าวออกไปจากใจจริง “องค์รัชทายาทได้โปรดช่วยชิงเฉินส่งคำขอบคุณไปยังลั่วอ๋อง ขอบคุณที่ลั่วอ๋องช่วยกำจัดของเก่าในจวนเฟิ่งเพื่อต้อนรับสิ่งใหม่ บุญคุณครั้งนี้จวนเฟิ่งจะไม่มีทางลืม”
หากไม่พิจารณาเกี่ยวกับการกระทำของตงหลิงจื่อลั่ว คำพูดของเฟิ่งชิงเฉินนั้นก็ไม่มีความผิดแต่อย่างใด
องค์รัชทายาทยิ้มออกมา เดินออกไปจวนเฟิ่งภายใต้การรายล้อมของเหล่าองครักษ์คนสนิท เฟิ่งชิงเฉินเดินไปส่งที่หน้าประตู นางไม่เห็นวี่แววของพวกตงหลิงจื่อลั่ว คิดว่าองค์รัชทายาทคงจะนำตัวของพวกเขาขึ้นรถม้าไปก่อนหน้านี้แล้ว
เฟิ่งชิงเฉินไม่คิดมากอีกต่อไป หันกลับมายังจวนเฟิ่ง พ่อบ้านอู้เห็นเช่นนั้นจึงรีบวิ่งเข้าไป “คุณหนู นอกจากศาลบรรพบุรุษและห้องผ่าตัด ทุกอย่างในจวนล้วนถูกทำลาย สิ่งของเครื่องใช้ก็มิสามารถใช้งานได้ ส่วนยารักษาของคุณหนูก็กระจัดกระจายอยู่เต็มพื้น
แผ่นเงินทั้งหมดถูกฉีกขาด มิสามารถนำไปเปลี่ยนได้ นอกจากเศษเงินที่กระจัดกระจาย ก็ไม่เหลือเงินที่สามารถใช้ได้อยู่เลย เวลานี้สิ่งของเครื่องใช้ในจวนเฟิ่งต่างเป็นสิ่งที่คุณชายซูให้คนนำมาให้ ข้าน้อยได้บันทึกรายการทุกอย่างไว้หมดแล้ว”
“ข้าเข้าใจแล้ว เรื่องพวกนี้ข้าจะให้เจ้าเป็นคนจัดการ หากต้องการเงิน เจ้าก็สั่งให้คนไปทำการกู้ยืมกับตระกูลซู โดยนำโฉนดที่ดินของจวนเฟิ่งไปค้ำประกัน” เฟิ่งชิงเฉินเดินไปพร้อมกับมอบหมายงาน “หลังจากได้เงินมาแล้ว มอบให้กับคนรับใช้ทุกคนในจวนเฟิ่งคนละร้อยตำลึง องครักษ์คนละสองร้อยตำลึง ถือว่าเป็นสินน้ำใจจากข้า”
คนรับใช้ของจวนเฟิ่งเผชิญหน้ากับองครักษ์เสื้อโลหิต พวกเขายังยืนหยัดและปกป้องศาลบรรพบุรุษโดยไม่คำนึงถึงความตาย แน่นอนว่านางรู้สึกชื่นชม นางต้องให้รางวัลแก่พวกเขา เพื่อไม่ให้ทุกคนรู้สึกหนาวสั่นในหัวใจ
“ข้าน้อยเข้าใจแล้ว” พ่อบ้านอู้ถอนหายใจออกมา
จากคำพูดของเฟิ่งชิงเฉิน พ่อบ้านอู้รู้สึกว่าสิ่งที่เขาเผชิญในวันนี้เป็นสิ่งคุ้มค่า ร้อยตำลึงนั้นถือว่าเป็นเงิน แต่เขาไม่ได้เห็นแก่เงิน เขาเห็นถึงความสิ่งที่เฟิ่งชิงเฉินตอบแทนพวกเขา นี่แสดงให้เห็นว่าเฟิ่งชิงเฉินรักและเอาใจใส่พวกเขาทุกคน
เฟิ่งชิงเฉินไม่ได้พูดอะไรมากไปกว่านั้น นางรู้ว่าพ่อบ้านจะจัดการเรื่องราวทุกอย่างได้เป็นอย่างดี นางเดินเข้ามายังห้องโถง รออยู่นานไม่เห็นวี่แววของซูเหวินชิง นางจึงถามออกมาว่า “คุณชายซูอยู่ไหน? เขากลับไปแล้วงั้นหรือ? เขาทิ้งคำพูดอะไรไว้หรือไม่?”
เฟิ่งชิงเฉินนั่งลงในห้องโถง หยิบชาที่ทงจือเป็นคนยื่นให้ ชาไม่ได้ร้อนมาก เฟิ่งชิงเฉินจึงดื่มมันหมดแก้วในอึกเดียว
“คุณชายซูได้รับบาดเจ็บ เห็นว่าจวนเฟิ่งปลอดภัย เขาจึงขอตัวกลับไปก่อน คุณชายซูฝากบอกคุณหนูว่า ทำอะไรอย่าใจร้อน สงบสติอารมณ์ ผ่านปีใหม่ไปด้วยดี เรื่องในวันนี้ไม่ว่าจะเป็นตระกูลหวังหรือราชวงศ์ พวกเขาต้องชดใช้ให้กับคุณหนูอย่างแน่นอน” พ่อบ้านรู้สึกว่าคำพูดของคุณชายซูนั้นออกจะดูเกินไป คุณหนูของพวกเขานั้นแข็งแกร่งและมีเหตุผลมากกว่าที่เขาคิด
เมื่อเผชิญหน้ากับจวนที่ถูกทำลาย เฟิ่งชิงเฉินไม่ได้ต้องการเข่นฆ่าตงหลิงจื่อลั่วแต่อย่างใด ไม่ได้ร้องไห้เพื่อขอความเมตตา ไม่ได้สาปแช่งหรือสบถ นางแค่ตั้งสติและจัดการกับเรื่องที่สมควรทีละเรื่อง
ความแข็งแกร่งเช่นนี้ของเฟิ่งชิงเฉิน ทำให้คนในจวนเฟิ่งรู้สึกเป็นทุกข์……