นางสนมแพทย์อัจฉริยะ - บทที่ 872 ดูแลตัวเอง งานเลี้ยงปีใหม่นั้นคึกคักเพียงใด
นางสนมแพทย์อัจฉริยะ บทที่ 872 ดูแลตัวเอง งานเลี้ยงปีใหม่นั้นคึกคักเพียงใด
องค์รัชทายาทเหลือบมองตงหลิงจื่อลั่วอีกครั้ง ในใจคิดว่าเป็นสิ่งรกหูรกตา พวกของตงหลิงจื่อลั่วทั้งสามคนลงไปจากรถม้า องค์รัชทายาทจึงสั่งให้องครักษ์ส่วนพระองค์พาตนกลับจวน
รถม้าหมุนกลับอย่างรวดเร็ว พวกของตงหลิงจื่อลั่วเดินออกไปได้เพียงไม่กี่ก้าว พวกเขาเกือบจะถูกรถม้าเหยียบ พวกเขาหลบรถม้าอย่างตื่นตระหนกจนแทบทรงตัวไม่อยู่ ยังไม่ทันเข้าประตูวังก็จะถูกพาออกไปอีกแล้ว
“องค์รัชทายาทจะทำเกินไปแล้ว มกุฎราชกุมารเช่นนี้ ยากจะแบกรับภาระอันยิ่งใหญ่ของแผ่นดิน” หย่งอ๋องสาปแช่งออกมา หลังจากตงหลิงจื่อลั่วทรงตัวได้แล้ว มองไปยังทิศทางที่องค์รัชทายาทจากไปโดยไม่พูดอะไรออกมา
เขารู้ว่าเวลานี้องค์รัชทายาทไม่เห็นใครอยู่ในสายตา ใครในจำนวนนี้รวมถึงองค์จักรพรรดิด้วย ส่วนเขา……
ตงหลิงจื่อลั่วหลับตา ปกปิดความเจ็บปวดในดวงตาของเขา เขาพูดจาเย่อหยิ่งต่อหน้าองค์รัชทายาท แต่ในใจของเขากลับเต้นรัว สำหรับเรื่องราวในวันนี้ สิ่งที่กำลังรอเขาอยู่คือความโกรธขององค์จักรพรรดิ
ไม่มีรถม้า ไม่มีองครักษ์ พวกของตงหลิงจื่อลั่วเดินเข้าไปในพระราชวังเพียงสามคน เสด็จอาเก้ากำลังนั่งบนรถม้าเพื่อเสด็จออกจากพระราชวัง เสด็จอาเก้ายิ้มอย่างเยือกเย็น ลดม่านลง ส่งเสียงให้คนขับรถม้าเพิ่มความเร็วเพื่อผ่านทั้งสามคนไป
เห็นรถม้าที่กำลังใกล้เข้ามา พวกของตงหลิงจื่อลั่วรีบถอยหลบไปด้านข้าง อยากจะอ้าปากเพื่อสั่งสอน แต่ขี้เถ้ายังอยู่เต็มปาก ทั้งสามคนกำลังลำบากใจ ความแค้นในใจของพวกเขายากจะสงบลง
ในฐานะบุตรแห่งสวรรค์ผู้เย่อหยิ่ง เขาจะไปเคยพบกับความอัปยศเช่นนี้ได้อย่างไร เมื่อพบกับความอัปยศครั้งใหญ่ ในสมองของพวกเขาไม่มีที่ว่างให้คิดเรื่องอื่นเลย
หันกลับมา พบว่าองครักษ์ผู้เฝ้าประตูกำลังจ้องมองมาทางพวกเขา จิตสังหารปรากฏขึ้นในดวงตา หากเวลานี้ไม่อยู่ในพระราชวัง พวกเขาทั้งสามคงจัดการกับองครักษ์ผู้นี้ไปแล้ว
โชคดีที่พวกเขาไม่ต้องขายหน้าจนมากเกินไป ขันทีน้อยรีบนำรถม้าเข้ามา เมื่อรถม้าจอดลง ขันทีกระโดดลงมาอย่างกระตือรือร้น ในตอนที่กำลังจะทำความเคารพ ขันทีกลับถูกตงหลิงจื่อลั่วเตะออกไป “เจ้าทาสไร้ประโยชน์!”
อึบ……ตุบ ขันทีร้องด้วยความเจ็บปวดพร้อมล้มลงกับพื้นหิน จ้องมองมายังตงหลิงจื่อลั่วด้วยสายตาอันงุนงง ไม่รู้ว่าตนเองทำอะไรผิด
ตงหลิงจื่อลั่วพ่นลมหายใจอย่างเยือกเย็น จากนั้นขึ้นไปบนรถม้าและสั่งให้คนรับรถม้ารีบพาพวกเขาเข้าไปในพระราชวัง ส่วนขันทีผู้นั้นจะเป็นหรือตาย สิ่งนี้มันไม่ได้อยู่ในสายตาขององค์ชายทั้งสาม
รถม้าของเสด็จอาเก้ามุ่งตรงไปยังจวนอ๋องเก้า แต่เสด็จอาเก้าที่นั่งอยู่บนรถม้ากลับปรากฏตัวออกมาในตรอกซอยอันมืดมิด ในตรอกนั้นมีชายชุดดำผู้หนึ่งกำลังนั่งคุกเข่าอยู่แทบเท้าของเสด็จอาเก้า รายงานเรื่องที่เกิดขึ้นในจวนเฟิ่งทั้งหมดอย่างละเอียด แต่แน่นอนว่าพวกเขาไม่รู้เรื่องที่ชุดพระชายาอ๋องเก้าถูกทำลาย
จวนเฟิ่งถูกทำลาย มีเพียงความสูญเสียทางด้านสิ่งก่อสร้างเท่านั้น ไม่มีผู้ใดบาดเจ็บหรือล้มตาย เฟิ่งชิงเฉินไม่ได้รับบาดเจ็บแต่อย่างใด และดูจากท่าทางของเฟิ่งชิงเฉิน เวลานี้นางยังคงปกติดี
เสด็จอาเก้ารู้ดีว่าความปกตินี้ของเฟิ่งชิงเฉินมีไว้เพื่อแสดงออกให้ผู้อื่นได้เห็น ในตอนที่หลี่เซี่ยงเข้ามาทำลายจวนเฟิ่ง เฟิ่งชิงเฉินกล้าเข้าไปหาเรื่องหลี่เซี่ยงในพระราชวังโดยไม่สนใจสิ่งใด วันนี้ตงหลิงจื่อลั่วพาคนมาทำลายจวนเฟิ่ง เฟิ่งชิงเฉินจะทำเป็นเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้นได้อย่างไร นางแค่……
วันนี้เขาไม่มีเวลาจะเดินทางไปจวนเฟิ่ง พรุ่งนี้เขาจำเป็นต้องจัดการเรื่องของตระกูลหวังและองค์รัชทายาท
เมื่อนึกถึงเรื่องขององค์รัชทายาท แววตาของเสด็จอาเก้าเต็มไปด้วยรอยยิ้มแห่งความชื่นชม ในที่สุดมกุฎราชกุมารก็แสดงความกล้าหาญที่ผู้นำประเทศควรมี แม้จะดูบ้าบิ่นเกินไป แต่ก็ยังรู้จักหาทางออกไว้ให้ตนเอง
ไม่ได้สังหารพวกของตงหลิงจื่อลั่วทั้งสามคนเพียงเพราะความโกรธ องค์รัชทายาทไม่มีทางมีอันตรายถึงชีวิต และตำแหน่งขององค์รัชทายาทเองก็จะมั่นคง เนื่องจากองค์รัชทายาทลงมือเพราะตงหลิงจื่อลั่วไม่เห็นมกุฎราชกุมารอยู่ในสายตา ไม่ว่าจะในสายตาใคร สิ่งนี้ถือเป็นสิ่งซึ่งสมเหตุสมผล
เรื่องที่เกิดขึ้นในวันนี้ นอกจากเรื่องที่ตงหลิงจื่อลั่วพาคนไปบุกทำลายจวนเฟิ่ง เรื่องที่เหลือต่างอยู่ในการคาดเดาของเสด็จอาเก้า ส่วนเรื่องที่จวนเฟิ่งถูกทำลาย……
เสด็จอาเก้าทำได้เพียงยิ้มอย่างขมขื่น
ตงหลิงจื่อลั่วชอบหาเรื่องอะไรมาให้เขาทำเสียจริง หากเรื่องนี้ไม่มอบสิ่งใดเพื่อชดใช้ให้กับเฟิ่งชิงเฉิน ภายใต้ความโกรธของเฟิ่งชิงเฉิน เกรงว่านางคงไปหาเรื่องเขายังจวนอ๋องเก้า
เมื่อนึกถึงสภาพของเฟิ่งชิงเฉินที่กำลังกัดฟันและอดทน เสด็จอาเก้าอดไม่ได้ที่จะถอนหายใจ เขาเองก็อยากไปปลอบใจเฟิ่งชิงเฉิน แต่วันนี้เขาถูกจักรพรรดิถ่วงเวลาไว้ทั้งวัน และเวลานี้เขายังมีเรื่องอีกมากมายให้ต้องไปจัดการ
ถอนหายใจออกมายาว ๆ ระงับความคิดเกี่ยวกับเรื่องผู้หญิงในใจ เสด็จอาเก้าและชายชุดดำคนดังกล่าวหายตัวไปในความมืดโดยพร้อมเพรียงกัน
เขาเคยรับปากกับเฟิ่งชิงเฉินว่าในวันขึ้นปีใหม่พรุ่งนี้จะมีเรื่องครึกครื้นเกิดขึ้นอย่างแน่นอน และเขาจะทำให้เฟิ่งชิงเฉินพอใจจนถึงที่สุด
……
วันขึ้นปีใหม่จะครึกครื้นแค่ไหน จะไม่มีใครรู้จนกว่าจะถึงกลางคืน และจะมีปัญหามากมายเพียงใดในวันส่งท้ายปีเก่าก่อนรุ่งสาง เรื่องนี้มีเพียงเสด็จอาเก้าเท่านั้นที่รู้
ในยามค่ำคืน เดินทางไปหาหวังจิ่นหลิง ซูเหวินชิงเพื่อกล่าวถึงรายละเอียด จากนั้นเตรียมการทั้งด้านในและนอกพระราชวัง ในเวลาที่เสด็จอาเก้าเดินทางออกจากห้องลับของจวนซูก็เป็นเวลารุ่งสางแล้ว และมันก็คือช่วงเวลาสุดท้ายปีเก่า
เดิมทีเสด็จอาเก้าคิดจะเดินทางกลับไปยังจวนอ๋องเก้าเพื่อทำการเปลี่ยนเสื้อผ้า แต่เมื่อเห็นว่าเวลาไม่พอ เสด็จอาเก้าจึงตัดสินใจเดินทางไปยังจวนเฟิ่ง
ไม่ว่าจะพูดอย่างไร เมื่อวานนี้เฟิ่งชิงเฉินได้รับความไม่เป็นธรรมอย่างมาก ดังนั้นเขาควรไปหาด้วยตัวเอง และอธิบายเรื่องราวให้ชัดเจน
เสด็จอาเก้ารับไม่ได้เป็นอย่างมาก เขากังวลว่าเฟิ่งชิงเฉินจะโกรธ ดังนั้นจึงต้องรีบไปหาเฟิ่งชิงเฉินเพื่ออธิบาย
เสด็จอาเก้าไม่ได้แสดงบนใบหน้า แต่เขาแอบกังวลอยู่ในใจ เขาเอาแต่คิดว่าจะพูดอะไรเพื่อให้เฟิ่งชิงเฉินสงบลง ระหว่างทางเสด็จอาเก้าเตรียมคำพูดไว้มากมายเพื่อที่จะพูดกับเฟิ่งชิงเฉิน แต่คิดไม่ถึงว่า……
“นายท่าน แม่นางเฟิ่งสั่งไว้ว่า วันนี้ไม่ว่าใครก็ห้ามมารบกวนการพักผ่อนของนางทั้งนั้น ราวถึงท่านด้วย” สายลับแบกรับความกดดันอันยิ่งใหญ่ ยืนขวางทางเสด็จอาเก้าอยู่หน้าห้องของเฟิ่งชิงเฉิน
ใช่ เสด็จอาเก้าถูกสายลับของเขาขวางทางอยู่ด้านหน้าห้องของเฟิ่งชิงเฉิน จ้องมองสายลับด้วยสายตาอันเยือกเย็น เสด็จอาเก้าถามออกไปว่า “เจ้าแน่ใจหรือว่ารวมถึงข้าด้วย?”
เสียงของเสด็จอาเก้าช่างเยือกเย็น ฟังไม่ออกว่าเขามีความรู้สึกอย่างไร แต่กลับทำให้สายลับตกใจจนไม่กล้าแม้แต่จะเคลื่อนไหว เผชิญหน้ากับแรงกดดันมหาศาล สายลับทำได้เพียงพยักหน้า “นายท่าน ข้าน้อยแน่ใจ”
ที่จริงเฟิ่งชิงเฉินสั่งเอาไว้อย่างชัดเจนว่า “วันนี้ห้ามมิให้ใครมารบกวนการพักผ่อนของนางเป็นอันขาด โดยเฉพาะเสด็จอาเก้า หากมีใครบุกเข้ามาในห้องของนาง พวกเจ้าก็ไม่จำเป็นต้องอยู่ที่นี่อีกต่อไป”
หากขัดคำสั่งของเสด็จอาเก้า พวกเขาอาจถูกส่งตัวกลับไปฝึกฝนใหม่อีกครั้ง แต่หากถูกไล่ออกโดยเฟิ่งชิงเฉิน พวกเขาก็ไม่สามารถอยู่ในเส้นทางของสายลับได้อีก
ดังนั้น นายท่าน ข้าขอโทษ ข้าทำได้เพียงยืนอยู่ฝั่งของเฟิ่งชิงเฉิน
สายลับก้มหน้า ยอมรับความโกรธและความรู้สึกทางอารมณ์ของเสด็จอาเก้า กัดฟันแน่น ไม่กล้าแม้แต่จะส่งเสียง
หลังจากเผชิญหน้ากับสายลับเฝ้าประตูอยู่พักหนึ่ง สายลับยังคงไม่เคลื่อนไหว เสด็จอาเก้าก็เข้าใจได้ทันทีว่าวันนี้เขาไม่ควรบุกเข้าไป แน่นอนว่าเขาสามารถบุกเข้าไปได้ แต่ผลลัพธ์ของการบุกเข้าไปมันอาจจะน่ากลัวกว่าการไม่เข้าไป
“ข้าเข้าใจแล้ว พวกเจ้าทำได้ดีมาก กลับไปข้าจะให้รางวัลกับผู้ที่ฝึกฝนพวกเจ้า” กลับพวกที่ไม่ภักดีเช่นนี้ เสด็จอาเก้ารู้สึกเสียหน้าเป็นอย่างมาก เขาเดินจากไปพร้อมกับความโกรธ
ตุบ ตุบ ตุบ สายลับผู้เฝ้าประตูยืนนิ่งราวกับต้นไม้ อย่าคิดว่าเขานิ่งสงบ ในความเป็นจริงเขาตกใจจนแทบบ้า จนกระทั่งสายลับอีกคนปรากฏตัวออกมา เขาถึงมีเรี่ยวแรงในการเคลื่อนไหว ใบหน้าของเขาดูทุกข์ทรมานอยู่นาน
เหตุใดพวกเขาจึงดูทุกข์ทรมานมากถึงเพียงนี้ คนนอกไม่มีทางเข้าใจ
สายลับอีกคนตบไหล่ของเขา รับรู้ทุกอย่างโดยไม่พูดอะไร
ในห้อง เฟิ่งชิงเฉินนอนเบิกตากว้างอยู่บนเตียง ได้ยินเสียงการจากไปของเสด็จอาเก้า เฟิ่งชิงเฉินยิ้มออกมาโดยไม่ส่งเสียง จากนั้นพลิกตัวและหลับไป……
เสด็จอาเก้าคิดว่าเรื่องที่เกิดขึ้นในจวนเฟิ่งจะเป็นเรื่องซึ่งเลวร้ายที่สุดในวันนี้ แต่ทันใดที่เขาได้ยินพ่อบ้านกล่าวว่ามีคนจากจวนเฟิ่งต้องการพบเขา เสด็จอาเก้าถึงได้รู้ว่าวันนี้เฟิ่งชิงเฉินต้องการหาเรื่องเขา
เสด็จอาเก้าคิดว่าคนของตระกูลเฟิ่งที่ว่าเป็นเฟิ่งชิงเฉิน นางคงมาเพราะเรื่องในวันนี้ จึงแสดงออกด้วยความดีใจ แต่คิดไม่ถึงว่า……