นางสนมแพทย์อัจฉริยะ - บทที่ 873 เข้าพิธี วันนี้ไม่มีทางสงบสุขอย่างแน่นอน
นางสนมแพทย์อัจฉริยะ บทที่ 873 เข้าพิธี วันนี้ไม่มีทางสงบสุขอย่างแน่นอน
“นี่มันสิ่งใดกัน?”
เสด็จอาเก้าเห็นผ้าที่ดูซอมซ่อในมือของชุนฮุ่ยและชิวฮว่า เขาถามออกมาด้วยความเยือกเย็น
ชุนฮุ่ย ชิวฮว่า แม้จะเป็นสาวใช้ที่ถูกฝึกมาจากจวนอ๋องเก้า แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าพวกนางจะสามารถอดทนและรองรับความเยือกเย็นจากเสด็จอาเก้าได้ ภายใต้ความโกรธของเสด็จอาเก้า ตงหลิงจื่อลั่วตอบไปด้วยเสียงอันสั่นเทาว่า “ท่านอ๋อง นี่คือชุดพระชายาอ๋องเก้า”
“ชุดพระชายาอ๋องเก้า? เหตุใดมันถึงมีสภาพเช่นนี้” อุณหภูมิรอบตัวของเสด็จอาเก้าลดลงเป็นอย่างมาก
แน่นอนว่าเขารู้ว่านี่คือชุดพระชายาอ๋องเก้า ชุดนี้เป็นชุดที่เขาเลือกด้วยตนเอง เขาจะไม่รู้ได้อย่างไร
“เมื่อ เมื่อวานช่วงที่องครักษ์เสื้อโลหิตบุกเข้ามา จวนเฟิ่ง จวนเฟิ่งถูก……” ร่างกายของชุนฮุ่ยสั่นเทา พูดติดอ่าง เสด็จอาเก้าไม่รอให้นางพูดจบ เขาพูดออกมาด้วยตนเองว่า “จวนเฟิ่งถูกทำลาย ชุดนี้ก็ถูกทำลายโดยองครักษ์เสื้อโลหิตเช่นกัน อย่างนั้นหรือ?”
“เพ เพคะ” ชุนฮุ่ยและชิวฮว่าพยักหน้าพร้อมกัน พวกนางรู้สึกโล่งอกอยู่ในใจ เมื่อเสด็จอาเก้าพูดออกมา พวกนางก็ไม่จำเป็นต้องพูดอะไร
“ฮึ……” เสด็จอาเก้ายิ้มอย่างเยือกเย็น “พวกเจ้าคิดว่าข้าโง่หรืออย่างไร คิดว่าข้าจะเชื่อคำพูดพวกนี้งั้นหรือ พวกเจ้าช่างกล้าดีเหลือเกิน ถึงขั้นกล้าเข้ามาโกหกต่อหน้าข้า พูดออกมา มันเกิดอะไรขึ้นกันแน่?”
ต่อให้มอบความกล้าให้กับองครักษ์เสื้อโลหิต พวกเขาก็ไม่มีทางลงมือกับชุดพระชายาอ๋องเก้า ไม่ว่ามองอย่างไรคนที่ทำลายชุดนี้ก็ต้องเป็นเฟิ่งชิงเฉิน นางคงทำเพื่อโยนความผิดให้กับตงหลิงจื่อลั่ว
นางไม่ยอมคนเสียจริง !
“ข้าน้อยมิกล้า ข้าน้อยมีกล้าปิดบังท่านอ๋อง ข้าน้อยเองก็มิรู้ว่ามันเป็นเช่นนี้ได้อย่างไร เมื่อวานองครักษ์เสื้อโลหิตบุกเข้ามาทำลายจวนเฟิ่ง นอกจากศาลบรรพบุรุษและห้องผ่าตัด ทุกพื้นที่บนจวนเฟิ่งต่างถูกทำลาย ในตอนที่ข้าน้อยทำความสะอาดถึงได้เห็นชุดพระชายาอ๋องเก้าหล่นอยู่บนพื้น” ถูกทำให้ตกใจโดยเสด็จอาเก้า ชุนฮุ่ยและชิวฮว่าพูดคล่องขึ้นเยอะ พวกนางพูดออกไปในลมหายใจเดียว
เห็นได้ชัดว่าสาวใช้ทั้งสองกำลังพูดโกหก แต่เสด็จอาเก้าก็ไม่สามารถใส่อารมณ์กับพวกนางได้ ใครใช้ให้เฟิ่งชิงเฉินสั่งพวกนางมาเสียที่ไหน
นับวันความสามารถในการสั่งสอนผู้คนของเฟิ่งชิงเฉินยิ่งพัฒนาขึ้น สาวใช้และสายลับที่เขาส่งไป ทั้งหมดกลับหน้ามาต่อต้านเขา
เสด็จอาเก้าไม่รู้ว่าตนเองควรดีใจหรือรู้สึกโกรธกับเรื่องนี้ดี ไม่อยากสนใจสาวใช้ทั้งสอง เสด็จอาเก้าสั่งให้พวกนางวางชุดลง จากนั้นก็สั่งให้รีบไสหัวไปให้ไกล อย่าอยู่ให้เขาเห็นหน้าอีก
“ข้าน้อยขอลา” ชุนฮุ่ย ชิวฮว่ารีบลุกและวิ่งออกไป หลังจากออกไปจากห้องโถงพวกนางถึงพบว่า เพียงแค่พูดออกไปแค่ไม่กี่คำภารกิจของพวกนางก็สำเร็จ แต่พวกนางกลับตกใจจนเหงื่อแตกพราก
“ชิวฮว่า เจ้าคิดว่าท่านอ๋องจะเชื่อหรือไม่?” ชุนฮุ่ยรู้สึกหวาดกลัวในหัวใจ ความกังวลปรากฏขึ้นในดวงตาของนาง จ้องมองไปยังชิวฮว่าด้วยใบหน้าอันซีดขาว
เพื่อทำให้เรื่องราวทั้งหมดสำเร็จ พวกนางเตรียมตัวมาเป็นอย่างดีตั้งแต่อยู่ที่จวนเฟิ่ง แต่เมื่อได้เห็นเสด็จอาเก้า พวกนางกลับรู้สึกผิดและไม่กล้าแม้แต่จะเงยหน้ามองเสด็จอาเก้า
ชิวฮว่าคิดจะหัวเราะออกมาเพื่อปลอบใจตนเอง และเพื่อปลอบใจชุนฮุ่ย แต่เวลานี้ปากของนางกลับแข็งทื่อ ไม่ว่าทำเช่นไรก็ไม่สามารถยิ้มออกมาได้ ทำได้เพียงส่ายหน้า “ท่านอ๋องจะมาเชื่อคำพูดของพวกเราได้อย่างไร แต่ท่านอ๋องจะเชื่อหรือไม่เชื่อมันก็ไม่ใช่เรื่องที่เกี่ยวอะไรกับพวกเรา พวกเราแค่ทำในสิ่งที่คุณหนูสั่งก็เพียงพอ”
“เจ้าพูดถูก พวกเราแค่ไม่ทรยศต่อคำสั่งของคุณหนูก็เพียงพอ” ชุนฮุ่ยปลอบใจตนเอง และสงบสติอารมณ์ ชุนฮุ่ยและชิวฮว่าก็แสร้งว่าไม่มีอะไรเกิดขึ้น และเดินออกจากจวนอ๋องเก้าด้วยท่าทางสง่าผ่าเผย
พวกนางเป็นตัวแทนของจวนเฟิ่ง ด้านนอกมีผู้คนมากมายกำลังเฝ้าดูความสนุก พวกนางไม่ยอมเป็นตัวตลกในสายตาใคร พวกนางต้องทำให้คนอื่นเห็นว่า เสด็จอาเก้าโกรธเพราะคุณหนูของพวกนาง
ไม่สนว่าใครเป็นทำลายชุดพระชายาอ๋องเก้า แต่เฟิ่งชิงเฉินสั่งให้พวกนางนำมาส่งยังจวนอ๋องเก้าต่อสายตาของทุกคน เช่นนั้นชุดดังกล่าวจะต้องเป็นฝีมือขององครักษ์เสื้อโลหิตอย่างแน่นอน องครักษ์เสื้อโลหิตจำเป็นต้องรับผิดชอบต่อเรื่องนี้
ดังนั้นในพิธีสุดท้ายก่อนวันขึ้นปีใหม่ เสด็จอาเก้านำเสื้อผ้าชุดนี้เข้าไปยังพระราชวัง และตั้งคำถามต่อหน้าของจักรพรรดิ
แน่นอนว่าเสด็จอาเก้าไม่มีทางทำเรื่องน่าอับอายโดยการนำมันออกมาในงานพิธี ก่อนเสด็จอาเก้าเสด็จเข้าไปในพระราชวัง เขาได้แจ้งกับขันทีล่วงหน้าถึงสิ่งที่จะนำไปให้จักรพรรดิ เพื่อบอกให้จักรพรรดิเตรียมตัวไว้
ภายใต้สถานการณ์ปกติ ตราบใดที่ไม่ใช่เรื่องยิ่งใหญ่หรือร้ายแรง เหล่าเสนาบดีคงไม่มีทางทำเช่นนี้ แม้ว่าจะเกิดภัยธรรมชาติ ทุกท้องที่จะพยายามระงับเหตุการณ์อย่างสุดความสามารถเพื่อไม่ให้จักรพรรดิต้องอับอาย แต่เห็นได้ชัดว่าเรื่องนี้นั้นแตกต่างออกไป
ไม่ต้องพูดถึงเรื่องงานพิธี เพียงแค่เรื่องที่คนนำชุดพระชายาอ๋องเก้าสภาพทรุดโทรมไปคืนที่จวนอ๋องเก้า และเล่าเรื่องทั้งหมดที่เกิดขึ้นเมื่อวาน แค่นี้มันก็เพียงพอที่ทำให้จักรพรรดิโกรธจนสามารถสังหารผู้คนได้
พิธีในวันสิ้นปีของปีนี้ เกรงว่าจักรพรรดิคงไม่มีทางสงบสุขเหมือนกับปีที่ผ่านมา จิตใจของจักรพรรดิคงเต็มไปด้วยความกังวล ไม่เหมือนกับปีที่แล้วที่เป็นปีอันรุ่งเรืองของจักรพรรดิ
เกมหมากล้อมที่อุทยานหลวง ดูเหมือนว่าจะเป็นข้อตัดสินให้กับตระกูลหวังอย่างชัดเจน เขาซึ่งเป็นจักรพรรดิผู้สง่างามพ่ายแพ้ และเสียหน้าทั้งหมด
เมื่อคืนวาน จักรพรรดิเห็นพวกของตงหลิงจื่อลั่วทั้งสามคนที่กลับมาอย่างสะบักสะบอม เขาขว้างเครื่องโม่หมึกไปยังศีรษะของตงหลิงจื่อลั่วด้วยความโกรธ ทำให้ศีรษะของตงหลิงจื่อลั่วมีเลือดออก และทำให้ตงหลิงจื่อลั่วไม่สามารถเข้าร่วมงานเลี้ยงข้ามปีได้
งานเลี้ยงส่งท้ายปีเก่าปีนี้ เหล่าเสนาบดีไม่มีทางได้เห็นว่าตงหลิงจื่อลั่วที่เป็นลูกชายผู้โปรดปรานของจักรพรรดิมากกว่าองค์รัชทายาท ลั่วอ๋องมาเป็นเวลาช้านาน ปีนี้เขาคงทำได้แค่พักผ่อนเพื่อพักฟื้นร่างกายอยู่ในจวนเท่านั้น
แม้ว่าจักรพรรดิจะโกรธจนแทบเสียสติ แต่ในฐานะของจักรพรรดิ เมื่ออยู่ต่อหน้าผู้คน เขาไม่มีทางแสดงออกถึงอารมณ์เช่นนั้นออกมาได้ เมื่อตื่นขึ้นมาในยามเช้า ใบหน้าของจักรพรรดิเต็มไปด้วยรอยยิ้มแห่งความมั่นใจเหมือนกับปีที่ผ่านมา เตรียมตัวไปงานพิธี กล่าวทักทายและชื่นชมเหล่าเสนาบดี แต่เสื้อผ้าที่ถูกทำลายของเสด็จอาเก้า เกือบทำให้จักรพรรดิต้องพังทลายลง
“เอาแต่ทำเรื่องแย่ ๆ ไม่รู้จักปรับปรุงตัว” จักรพรรดิวิจารณ์ในตัวของตงหลิงจื่อลั่วอีกครั้ง ในฐานะขันทีใหญ่ผู้อยู่ข้างกายของจักรพรรดิ ขันทีเข้าใจเป็นอย่างดีว่าคำพูดนี้ของจักรพรรดิหมายความว่าอย่างไร มันหมายถึงว่าจักรพรรดิจะยอมแพ้กับลั่วอ๋อง
ขันทีรู้ดีว่าจักรพรรดิอารมณ์ไม่ดี เขาจึงสงบสติอารมณ์และยืนอยู่ด้านหลังของจักรพรรดิ ไม่กล้าละสายตาจากจักรพรรดิเลยแม้แต่น้อย ภาวนาในใจ ขอให้พิธีนี้เป็นไปอย่างราบรื่น มิเช่นนั้นพวกเขาคนได้ตายกันหมด
ไม่มีใครสังเกตเห็นถึงความโกรธในหัวใจของจักรพรรดิ ตอนที่เข้ามาในห้องโถง รอบข้างถูกปกคลุมไปด้วยความยิ่งใหญ่ของจักรพรรดิ นอกจากความโอ่อ่าของใบหน้าที่ดูมีอายุเล็กน้อยแล้ว ก็ไม่มีการแสดงออกพิเศษ
“ขอฝ่าบาททรงอายุยืนหมื่นปี หมื่น หมื่นปี” นั่งบนบัลลังก์มังกร นอกจากเสด็จอาเก้า ทุกคนคุกเข่าอยู่บนพื้น ตะโกนออกมาเสียงดัง ด้วยเหตุนี้ การที่เสด็จอาเก้ายืนอยู่ด้านหน้าของจักรพรรดิมันจึงบ่งบอกถึงความไม่ธรรมดา และดูสูงศักดิ์เป็นอย่างมาก
เหมือนกับปีที่ผ่านมา จักรพรรดิมองข้ามเสด็จอาเก้า สายตาของเขามีเพียงเหล่าเสนาบดีที่อยู่แทบเท้าของเขาเท่านั้น
“ทุกคนลุกขึ้น” ดวงตาของจักรพรรดิลึกล้ำ สายตาของเขากำลังจับจ้องทุกคนอยู่ ยกเว้นเสด็จอาเก้าที่ยืนอยู่ใกล้เขามากที่สุด เขาเพียงแค่เหลือบสายตามองมายังเสด็จอาเก้าในบางครั้งเท่านั้น แต่ทุกครั้งที่มองมา สายตาของเขาเผยให้เห็นถึงความอาฆาต
สำหรับจักรพรรดิแล้ว การมีอยู่ของเสด็จอาเก้าถือเป็นอำนาจท้าทายของจักรพรรดิ หากไม่ใช่เพราะหมดหนทาง คงไม่มีจักรพรรดิองค์ไหนสามารถทนอยู่กับความพิเศษเช่นนี้ของเสด็จอาเก้าได้
เสด็จอาเก้ายืนอยู่ตรงนั้นอย่างเงียบ ๆ ด้วยสายตาที่สงบ ไม่ว่าเขาจะยืนต่ำแค่ไหน เขาก็ไม่สนใจที่จะเงยหน้าขึ้นมอง เสด็จอาเก้าไม่สนใจจิตสังหารที่ซ่อนอยู่ในดวงตาของจักรพรรดิ มันไม่เคยอยู่ในสายตาของเสด็จอาเก้าเลยเสียด้วยซ้ำ แม้เวลานี้ความสัมพันธ์ของจักรพรรดิกับเสด็จอาเก้าจะผ่อนคลายลง แต่มันก็ไม่ได้หมายความว่าพวกเขาจะอยู่อย่างสงบสุข
ทุกครั้งที่มีการเข้าร่วมพิธี จักรพรรดิก็จะปฏิบัติเช่นนี้ทุกคน หลายปีที่ผ่านมานี้เสด็จอาเก้าคุ้นชินกับมันเสียแล้ว
ไม่ว่าจักรพรรดิจะเกลียดเขามากแค่ไหน อยากสังหารเขามากแค่ไหน จักรพรรดิก็ไม่มีทางทำสำเร็จ ทำได้เพียงเฝ้ามองเขายืนอยู่ตำแหน่งนี้เหมือนกับทุกครั้งที่ผ่านมา เขาตงหลิงจิ่ว อยู่ห่างจากตำแหน่งจักรพรรดิเพียงแค่ก้าวเดียวเท่านั้น