นางสนมแพทย์อัจฉริยะ - บทที่ 882 งานเลี้ยง ขอโทษ
นางสนมแพทย์อัจฉริยะ บทที่ 882 งานเลี้ยง ขอโทษ
ซูโหรวร่ายรำในที่สาธารณะเช่นนี้ได้ แต่เหยาหวาทำไม่ได้ ตัวตนของเหยาหวาและซูโหรวนั้นแตกต่างกันมาก เหยาหวาเป็นองค์หญิงแห่งราชวงศ์ซีหลิง แล้วซูโหรวล่ะ?
ไม่กล่างถึงข้อเท็จจริงที่ว่าตระกูลซูเป็นเพียงตระกูลระดับสามที่เริ่มตั้งตระกูลมาจากสตรี ตัวซูโหรวเองก็เป็นเพียงบุตรสาวที่ไม่ได้รับการเหลียวแล มีสถานะต่ำต้อย การที่นางร่ายรำในที่สาธารณะแล้วถูกติเตียนก็ไม่เป็นไร แต่เหยาหวาแตกต่างกัน……
หากนางต้องการร่ายรำต่อหน้าสาธารณชนหรือถวายแด่จักรพรรดิของแคว้นอื่น อาจทำให้แคว้นของนางต้องอับอายอย่างแน่นอน แต่หากนางปฏิเสธ นางจะทำให้ตงหลิงขุ่นเคืองใจ
ทำอย่างไรเล่า จะทำอย่างไรดี?
ใบหน้าของเหยาหวาซีดเซียว มือของนางกำหมัดแน่น คอยบอกตัวเองให้ใจเย็น ใจเย็นเข้าไว้ นางคิดหามาตรการตอบโต้โดยเร็ว แต่ยิ่งนางกล่าวเช่นนี้ นางก็ยิ่งไม่สามารถสงบสติอารมณ์ลงได้ ร่างกายของนางอดไม่ได้ที่จะสั่นคลอน
นางรู้ว่าหนานหลิงจิ่นสิงจงใจมุ่งเป้าหมายมาที่นาง
องค์หญิงเหยาหวาเย็นชาไปทั้งตัว ทันใดนั้นก็พบว่าไม่มีใครสามารถช่วยนางสักคนในห้องจัดเลี้ยงขนาดใหญ่นี้ นางเงยหน้าขึ้นมองตงหลิงจื่อลั่ว แต่นางพบว่าตงหลิงจื่อลั่วเป็นเช่นเดียวกับคนอื่น ๆ มองมาที่นางอย่างมีความหวัง หวังให้นางออกมาร่ายรำ
เหอๆ เหยาหวายิ้มอย่างขมขื่น ทันใดนั้นก็ตระหนักได้ว่าชีวิตของนางช่างน่าเศร้าจริงๆ
เมื่อเห็นว่าเหยาหวาไม่เคลื่อนไหวเป็นเวลานาน จักรพรรดิจึงตรัสว่า “องค์หญิงเหยาหวา เจ้าประสงค์แสดงการร่ายรำเพื่อมิตรภาพระหว่างตงหลิงและซีหลิงหรือไม่?”
จักรพรรดิโหดเหี้ยมยิ่งกว่าซูโหรว เขาขู่เหยาหวาโดยใช้เรื่องสันติภาพระหว่างสองแคว้น……
ขณะที่เหยาหวาถูกหนานหลิงและตงหลิงรังแกพร้อมกันเช่นนี้ มีเหตุการณ์ใหญ่เกิดขึ้นในวังซีหลิง
เมื่อเทียบกับแสงวาบของดาบในงานเลี้ยงวันส่งท้ายปีเก่าของตงหลิงแล้ว ดูเหมือนงานเลี้ยงส่งท้ายปีเก่าของซีหลิงจะสงบกว่ามาก นอกจากตระกูลขององค์หญิงใหญ่และคุณชายหยิ่นหลีแล้ว คนอื่นๆ ไม่ว่าพวกเขาจะมีความสุขหรือไม่ ใบหน้าล้วนยิ้มแย้มแจ่มใส จักรพรรดิกล่าวอวยพร จากนั้นพวกเขากินดื่ม ชื่นชมเพลงและร่ายรำอย่างสนุกสนาน แต่จู่ ๆ กลับเกิดสิ่งไม่คาดฝันขึ้น
นางรำร่ายรำต่อหน้าจักรพรรดิซีหลิงและถวายสุราแด่องค์จักรพรรดิ หากมีสาวงามมายื่นสุราให้ จักรพรรดิจะไม่ปฏิเสธอย่างแน่นอน ขณะที่เขากำลังจะรับแก้วสุราจากมือของหญิงงาม ทันใดนั้น สนมฉงที่กำลังตั้งครรภ์ก็กรีดร้องด้วยความเจ็บปวดแล้วล้มลงกับพื้น
“เจ็บยิ่งนักเพคะ ฝ่าบาท หม่อมข้าเจ็บยิ่งนัก” สนมฉงกุมท้องของนางด้วยความเจ็บปวดและกรีดร้อง เลือดไหลออกมาจากหว่างขาของนาง
“สนมรัก เป็นอะไรหรือไม่?” จักรพรรดิซีหลิงผลักนางรำออกไป นั่งยองๆ ต่อหน้าสนมรักแล้วอุ้มนางขึ้น “ทหาร รีบไปตามหมอหลวงมา ตามหมอหลวงมาเร็ว”
“ฝ่าบาทเพคะ หม่อมข้าเจ็บปวดเหลือเกิน เจ็บปวดเหลือเกิน ฝ่าบาท ลูก ลูกของหม่อมข้า……” ดวงตานางเต็มไปด้วยน้ำตา แต่สนมฉงที่เจ็บปวดและร้องไห้เช่นนี้ก็ยังงดงามเหลือเกิน
“สนมรัก ไม่ต้องกังวลไป ข้าอยู่ที่นี่แล้ว เจ้าไม่เป็นไรแน่นอน” จักรพรรดิจับมือสนมแน่นและคอยปลอบโยนนาง
หากดูให้ดี จะพบว่าสนมรักในอ้อมแขนของจักรพรรดิซีหลิงนั้นดูคล้ายกับเฟิ่งชิงเฉินและแม่ของเฟิ่งชิงเฉินเล็กน้อย
ข่าวลือที่ว่าจักรพรรดิซีหลิงชื่นชอบลู่อี่โม่นั้นดูเหมือนจะไม่ใช่ข่าวลือ
เลือดนั้นไหลออกมามากขึ้นเรื่อย ๆ แต่หมอหลวงก็ยังไม่มาสักที ใครก็ตามที่มีประสบการณ์บ้าง คงรู้ดีว่าทารกในครรภ์ของเขาไม่อยู่แล้ว
ในที่สุด หลังจากการตะโกนเรียกอยู่เนิ่นนานหมอหลวงก็มาถึง จักรพรรดิพาสนมรักของเขากลับไปที่พระราชวัง
“จักรพรรดินี ฝากที่นี่ด้วย” จักรพรรดิรีบทิ้งประโยคนี้ไว้โดยไม่คำนึงว่าขุนนางในห้องโถงเป็นเช่นไร แสดงให้เห็นว่าเขาให้ความสำคัญกับลูกคนนี้มากเพียงใด
“เพคะฝ่าบาท” จักรพรรดินีคุกเข่าลงรับคำด้วยสีหน้าเรียบเฉยแล้วยืนขึ้นหลังจากที่จักรพรรดิเสด็จออกไป ดวงตาของนางเบิกขึ้นเล็กน้อย แสดงความสง่างามออกมา นางเหลือบมองสนมหยูที่อยู่ไม่ไกลนัก ความเย็นวาบปรากฏขึ้นในนัยน์ตาของจักรพรรดินีจากนั้นหายไปอย่างรวดเร็ว
จักรพรรดินีก้าวไปข้างหน้า ประกาศว่างานเลี้ยงส่งท้ายปีเก่าสิ้นสุดลงแล้วก่อนทที่ทุกคนก็แยกย้ายกันไป
เมื่อเรื่องเช่นนี้เกิดขึ้นจึงไม่มีใครกล้าอยู่ต่อ เหล่าขุนนางพากันจากไปทีละคนด้วยความตื่นตระหนก และในที่สุดสมาชิกราชวงศ์ก็จากไปสิ้นตามคำของจักรพรรดินี
ซีหลิงเทียนเล่ยมองไปทางวังหลังด้วยใบหน้าเศร้าหมอง เขารู้สึกว่ามีบางอย่างผิดปกติในวันนี้ แต่แม้ว่าเขาจะเป็นองค์รัชทายาท เขาก็ไม่สามารถเข้าไปในวังหลังได้ ดังนั้นเขาจึงได้แต่จากไปด้วยความวิตกกังวลอย่างสุดซึ้ง
จักรพรรดินียังคงยืนอยู่ที่นั่นมองดูทุกคนจากไป กล่าวได้ว่านางกำลังเฝ้าดูคุณชายหยิ่นหลีจากไป หลังจากคุณชายหยิ่นหลีจากไปแล้ว แววตาของจักรพรรดินีไร้ร่องรอยของความอบอุ่นในดวงตา นางออกคำสั่งอย่างเย็นชาให้นำตัวนางรำ นางในและขันทีทุกคนในงานเลี้ยงคืนนี้ไปกักตัวที่วังหลัง ไม่มีใครได้รับอนุญาตให้เข้าหรือออก
พฤติกรรมของจักรพรรดินีเช่นนี้คือการตรวจสอบการแท้งลูกของสนมคนโปรดของจักรพรรดิอย่างเคร่งครัด
สนมหยูมองดูแผ่นหลังที่เย็นชาและหยิ่งยโสของจักรพรรดินี ด้วยเหตุผลบางอย่าง ร่องรอยของความไม่สบายใจก็ผุดขึ้นในหัวใจของนาง
คงต้องใช้เวลาสักพักกว่าข้อมูลนี้จะแพร่ไปถึง แต่เรื่องที่เกิดขึ้นในพระราชวังตงหลิงถูกเผยแพร่ไปได้ภายในวันเดียว
ในงานเลี้ยงส่งท้ายปีเก่า เสด็จอาเก้าจากไปกลางคันโดยไม่มีใครรู้ และเดินทางมาที่จวนเฟิ่งอย่างเงียบๆ
เมื่อมีประสบการณ์ครั้งก่อน เสด็จอาเก้าจึงไม่ได้บุกเข้ามาโดยตรง แต่ให้องครักษณ์ลับหญิงเข้าไปข้างในรายงานก่อน ตัวเขายืนอยู่ข้างนอกรอเฟิ่งชิงเฉิน
ลมหนาวพัดโชย ผมสีดำปลิวไสวไปตามสายลม ท่ามกลางแสงเทียนดูคลุมเคลือ เสด็จอาเก้ายืนอยู่ที่นั่น จึงทำให้รอบข้างกลายเป็นฉากประดับไปในทันที เมื่อเฟิ่งชิงเฉินเดินออกมาก็พบเข้ากับเสด็จอาเก้าเปล่งประกาย
“เสด็จอาเก้า ทำไมท่านจึงมาอยู่ที่นี่?” ในเวลานี้ งานเลี้ยงส่งท้ายปีเก่าในวังยังไม่จบมิใช่หรือ
“ข้ามาอยู่เป็นเพื่อนเจ้า” เสด็จอาเก้าเดินไปทางเฟิ่งชิงเฉิน เผชิญหน้ากับเฟิ่งชิงเฉินตัวต่อตัว ก้มศีรษะลงมองเข้าไปในดวงตาของเฟิ่งชิงเฉินและทันใดนั้นก็กล่าวว่า “ขอโทษ!”
“หา?” เฟิ่งชิงเฉินเงยหน้าขึ้น ไม่อยากจะเชื่อในสิ่งที่นางได้ยิน “อะไรนะ?”
เสด็จอาเก้ากล่าวขอโทษนาง หูของนางฟังผิดไปหรือเปล่า?
“เจ้าได้ยินถูกต้องแล้ว สิ่งที่ข้ากล่าวคือขอโทษ” อันที่จริงการกล่าวขอโทษนั้นก็ไม่ได้ยากเย็นเท่าไหร่ เขาคิดอยู่ในใจ
“เอ่อ……” เฟิ่งชิงเฉินรู้สึกหวาดกลัวอย่างมากในเวลานี้ นางหยิกหัวตนเอง “ข้ากำลังฝันอยู่หรือเปล่า”
เสด็จอาเก้าขอโทษนางสำหรับสิ่งที่เกิดขึ้นในวันนี้หรือ มันน่าทึ่งมาก!
“ปุก……” เสด็จอาเก้าดีดหน้าผากของเฟิ่งชิงเฉินจนเฟิ่งชิงเฉินร้องออกมา “อ๊าก” ด้วยความเจ็บปวด
“เจ็บหรือ?” เสด็จอาเก้าเอ่ยถามอย่างเป็นห่วง ชิงเฉินกัดฟัน “เจ็บแทบตาย”
“การที่เจ็บปวดหมายความว่าที่ไม่ใช่ความฝัน” เสด็จอาเก้าทำใบหน้าจริงจัง เฟิ่งชิงเฉินรู้สึกเพียงหงุดหงิดใจ แต่เมื่อคิดถึงว่าเสด็จอาเก้ากล่าวคำขอโทษออกมาด้วยตนเอง นางจึงจำเป็นต้องตอบว่าไม่เป็นไร
“ไม่เป็นไร ข้าเองก็ผิดเกี่ยวกับเรื่องเมื่อกลางวัน เจ้ากล่าวได้ถูกแล้ว การช่วยชีวิตผู้คนคือการช่วยชีวิต แต่ข้ายังต้องใส่ใจกับสิ่งที่ควรใส่ใจ แต่สิ่งแรกที่สำคัญคือการช่วยชีวิตคน” เฟิ่งชิงเฉินพึมพำเสียงต่ำ
นางไม่ใช่ผู้ยิ่งใหญ่ นางไม่มีความสามารถในการเปลี่ยนแปลงสภาพแวดล้อมใด ดังนั้นนางจึงปรับตัวเข้ากับสภาพแวดล้อมได้เท่านั้น นอกจากนี้เสด็จอาเก้าก็ทำท่าทีอันดีต่อนางแล้ว ต่อให้นางเปลี่ยนแปลงสิ่งใดไม่ได้ อย่างน้อยก็เปลี่ยนเสด็จอาเก้าได้
เสด็จอาเก้ายิ้มขึ้นเบา ๆ ไม่ได้แสดงความคิดเห็นใดเกี่ยวกับเรื่องนี้
ฉากวันนี้ทำให้เขาตกตะลึงมาก เขาไม่เคยเตรียมใจมาก่อนเลย แต่เขาไม่ได้ตั้งใจจะบอกเฟิ่งชิงเฉิน
เมื่อเห็นเฟิ่งชิงเฉินยิ้มได้ เสด็จอเก้าก็กล่าวอย่างเสียไม่ได้ว่า “ขอโทษ คำสองคำนี้จื่อลั่วขอให้ข้ามาบอกกับเจ้า ในตอนนั้นเขาทำให้เจ้าลำบากใจเพราะเหยาหวาแท้งบุตร เขาขอโทษเจ้าและบอกว่าหากข้าเจอเจ้า ให้ฝากบอกเจ้าด้วย”
……