นางสนมแพทย์อัจฉริยะ - บทที่ 884 หากข้าตาย จะไม่ให้เจ้าอยู่เช่นกัน
นางสนมแพทย์อัจฉริยะ บทที่ 884 หากข้าตาย จะไม่ให้เจ้าอยู่เช่นกัน
เหตุผลที่หน่วยกล้าตายตระกูลหวังเหล่านี้ไม่กล้าแตะต้องเสด็จอาเก้าก็เพราะเสด็จอาเก้ามาจากราชวงศ์ตงหลิง หากมีอะไรเกิดขึ้นกับเขา จักรพรรดิอาจจะมีความสุข แต่เพื่อเห็นแก่หน้าของราชวงศ์และผลประโยชน์ของราชวงศ์ จักรพรรดิจะไม่มีวันปล่อยตระกูลหวังไปแน่นอน จะใช้โอกาสนี้โจมตีตระกูลหวังอย่างรุนแรง แม้ว่าตระกูลจะไม่ได้รับความเสียหายจากการทำลายล้างถึงขนาดสิ้นตระกูล แต่ตระกูลหวังคงจะนองเลือดเป็นแน่
การมีคนคุ้มกันเบื้องหลังนี่ดีจริง เฟิ่งชิงเฉินมองไปที่เสด็จอาเก้าอย่างอิจฉา คิดกับตัวเองว่า เส้าฉีกล่าวว่าวังเซวียนเซียวเป็นผู้สนับสนุนของนางมิใช่หรือ? เหตุใดนางมีผู้สนับสนุนเบื้องหลังเก่งอาจขนาดนี้ คนเหล่านี้ยังกล้าจัดการนาง อยากโจมตีก็โจมตี หรือเพราะเซวียนเส้าฉีเป็นคนในยุทธจักร พวกเขาจึงไม่กลัว?
ไม่สมเหตุสมผลเอาเสียเลย ทางราชวงศ์ยังเกรงใจเผ่าเซวียนเซียวมาก เหตุใดถึงไร้ประโยชน์สำหรับนาง เป็นเพราะนิสัยของนางหรือ?
เฟิ่งชิงเฉินมองไปที่เสด็จอาเก้าด้วยความไม่พอใจ เมื่อนึกถึงเรื่องร้ายต่างๆ ที่เกิดขึ้นกับนาง ก็รู้สึกย่ำแย่……
ไม่รู้ว่าเป็นเรื่องบังเอิญหรือทั้งสองคนมีใจตรงกัน เมื่อเฟิ่งชิงเฉินมองไปทางเสด็จอาเก้า และเสด็จอาเก้าบังเอิญมองกลับมาที่นาง เห็นดวงตาแห่งความอิจฉาริษยาของของเฟิ่งชิงเฉิน จากนั้นนึกถึงสิ่งที่เฟิ่งชิงเฉินพึมพำเมื่อครู่ เสด็จอาเก้าก็อดไม่ได้ที่จะหัวเราะแล้วเอื้อมมือไปลูบหัวเฟิ่งชิงเฉิน
“เด็กดี ข้าไม่ยอมให้เจ้าเป็นโล่แก่ข้าแน่ ข้าจะเป็นโล่ของเจ้าเอง”
เมื่อกล่าวหน่วยกล้าตายก็รีบออกจากวงล้อมพุ่งมาหาเฟิ่งชิงเฉิน เสด็จอาเก้ารีบก้าวไปข้างหน้าเพื่อปกป้องเฟิ่งชิงเฉินซึ่งอยู่ข้างหลังเขา ยกเท้าขึ้น เตะคนผู้นั้นกลับเข้าไปในวงต่อสู้
“ข้าจะฝืนใจเชื่อเจ้าสักครั้ง” ในที่สุดเฟิ่งชิงเฉินก็แสดงรอยยิ้มออกมา เมื่อเห็นหน่วยกล้าตายของตระกูลหวังต่อสู้อย่างดุดันมากขึ้นเรื่อย ๆ เฟิ่งชิงเฉินขมวดคิ้ว ถอยหลังหนึ่งก้าว ซ่อนตัวในตำแหน่งที่ปลอดภัย
“เจ้าต้องเชื่อใจข้า ไม่ต้องกังวลหากยังมีข้าอยู่ หากข้าตาย เจ้าก็อย่าหวังได้อยู่คนเดียว ข้าจะไม่อนุญาตแน่” เสด็จอาเก้ายังเดินไปทางเฟิ่งชิงเฉิน ทำหน้าที่เป็นผู้คุ้มกันส่วนตัวแก่นาง เขาส่งสัญญาณให้ทหารรักษาการณ์ที่อยู่ข้างหลังเขา และองครักษ์ลับหญิงของเฟิ่งชิงเฉินเข้ามาช่วยเหลือ
หน่วยกล้าตายตระกูลหวังนั้นแข็งแกร่งมาก เพื่อหลีกเลี่ยงการสูญเสียชีวิตที่ไม่จำเป็น เสด็จอาเก้าก็มิรังเกียจที่จะใช้กำลังคนของตน
กล่าวอีกนัยหนึ่ง ถือว่าโชคร้ายสำหรับหน่วยกล้าตาย หากเสด็จอาเก้าไม่มาที่จวนเฟิ่ง พวกเขาอาจยังมีโอกาสชนะกว่าครึ่ง แต่ตอนนี้ … โอกาสชนะ สักหนึ่งในสิบก็ไม่เลวแล้ว
“ไม่ปล่อยให้ข้าอยู่คนเดียวงั้นหรือ? ก่อนข้าตาย ข้าต้องฆ่าเจ้าก่อนหรือไม่?” ดวงตาของเฟิ่งชิงเฉินเป็นประกาย นางไม่ได้ถือเอาคำพูดของเสด็จอาเก้าเป็นเรื่องตลก นางจริงจังมาก
“เจ้าต้องมีความสามารถนั้นเสียก่อน เช่นนั้นอาจได้” ไม่เป็นไรหากเขาจะตายด้วยน้ำมือของเฟิ่งชิงเฉิน แต่ถ้าต้องการให้เขาฆ่าตัวตายเพื่อนาง……โปรดยกโทษด้วย เขาไม่สามารถทำเช่นนั้นได้
“ตกลง ข้าจะจำคำพูดของเจ้า ถ้าข้าต้องตาย ข้าจะไม่มีวันปล่อยให้เจ้าอยู่คนเดียวเช่นกัน” เฟิ่งชิงเฉินเงยหน้าขึ้นด้วยใบหน้าที่จริงจัง
“ข้าจะไม่ออมมือ และไม่มีวันรอเจ้ามาจับฆ่าอย่างแน่นอน” นี่คือการบอกเฟิ่งชิงเฉินว่า หากนางต้องการฆ่าเขา ต้องพึ่งพาความสามารถของนางเอง และเขาจะไม่ออมมือ
เฟิ่งชิงเฉินกำหมัดแน่น “ไม่ต้องกังวล ข้าจะทำได้อย่างแน่นอน สักวันหนึ่ง ข้าจะสามารถฆ่าเจ้าได้”
“เอ่อ…… ข้าคงไม่ตั้งตารอวันนั้น” เสด็จอาเก้าอดไม่ได้ที่จะหัวเราะ บทสนทนาของพวกเขาเริ่มแปลกขึ้นเรื่อยๆ
“ก็ดี ข้าเองก็ไม่คาดหวัง ข้าจะไม่มีวันแสวงหาความตายเอง หากข้าสามารถเลือกมีชีวิตอยู่ได้” การต่อสู้เป็นไปอย่างดุเดือด แต่ในขณะนี้เฟิ่งชิงเฉิน อดไม่ได้ที่จะหัวเราะออกมา
ศัตรูอยู่ตรงหน้าพวกเขา แต่พวกเขากำลังถกเถียงกันเรื่องการฆ่ากัน ซึ่งมันไม่ธรรมดาจริงๆ
ทะเลาะด้วยหัวข้อ “หากใครคนหนึ่งตาย จะไม่มีวันปล่อยอีกคนให้อยู่คนเดียว” ซึ่งเริ่มต้นและจบลงอย่างอธิบายไม่ได้ แม้ว่าเฟิ่งชิงเฉินกับเสด็จอาเก้าจะจริงจัง แต่ทั้งคู่ก็ไม่ได้ถือสาเรื่องนี้ ทั้งสองคนสงบลงอีกครั้ง ให้ความสนใจกับการเคลื่อนไหวของหน่วยกล้าตายตระกูลหวัง
เมื่อมองไปยังใบหน้าอันสงบนิ่งไม่แยแสของเฟิ่งชิงเฉิน ก็พิสูจน์ได้ว่านางไม่เป็นเหมือนที่นางพูด นางกังวลว่าตนจะตกอยู่ในอันตรายและสร้างปัญหาให้กับผู้คุ้มกัน
นางแค่ไม่อยากเสี่ยง นางไม่อยากเอาตัวเองไปเสี่ยง ช่วงเวลานั้นที่นางถูกตามล่าโดยมือสังหารก็เพียงพอแล้ว
“หน่วยกล้าตายตระกูลหวังนั้นไม่ธรรมดา” ภายใต้การโจมตีร่วมกันของผุ้คุ้มกันจวนเฟิ่งและองครักษ์เสด็จอาเก้า หน่วยกล้าตายตระกูลหวังยังคงมีความเหนือกว่า ซึ่งทำให้เฟิ่งชิงเฉินอารมณ์เสียมาก นางลังเลว่าจะหยิบปืนออกมาดีหรือไม่ แต่ในการรบที่โกลาหล การเล็งอาจไม่ดีนัก ถึงอย่างไรก็ช่วยได้บ้าง
“ในตระกูลโบราณ มีอาวุธลับออกมาใช้ องครักษ์ก็อาจสู้ไม่ได้ นี่ไม่ใช่กองกำลังลับแท้จริงของตระกูลหวัง มีเพียงหัวหน้าตระกูลหวังเท่านั้นที่สามารถเรียกใช้ของจริงได้ แน่นอนว่าภายใต้สถานการณ์ปกติ ตระกูลหวังจะไม่ใช้พลังมืดง่ายๆ เมื่อพลังมืดถูกเปิดเผย ความสำคัญก็จะลดลงอย่างมาก” นี่คือเหตุผลที่เขาให้ความสำคัญกับตระกูลหวังและตระกูลชุย
หลังจากสั่งสมมาหลายร้อยปี ไม่มีใครรู้ว่าทั้งสองตระกูลมีอำนาจและความมั่งคั่งมากมายเพียงใด
“เรื่องของตระกูลเป็นเรื่องที่ลำบากใจจริงๆ เจ้าแน่ใจหรือว่าต้องการร่วมมือกับตระกูลหวัง ไม่ใช่กำจัดตระกูลนี้?” เฟิ่งชิงเฉินได้ยินน้ำเสียงจากเสด็จอาเก้า ฟังออกถึงความไม่พอใจ
แม้ว่านางจะไม่เคยคิดเข้าไปยุ่งเกี่ยวกับความร่วมมือระหว่างเขากับหวังจิ่นหลิง แต่ก็มีบางสิ่งที่ไม่ใช่ว่านางไม่อยาก ก็สามารถละเลยได้
“การดำรงอยู่ของตระกูลชั้นสูงไม่ยุติธรรมสำหรับหลาย ๆ คน แต่มันจำเป็นสำหรับที่ต้องดำรงอยู่ในขณะนี้” เสด็จอาเก้าไม่ปฏิเสธว่าเขาไม่ชอบตระกูลชั้นสูง สำหรับตระกูลที่มีอำนาจเช่นนั้นมีอิทธิพลต่อการเมืองการปกครอง ไม่มีใครที่สามารถทนกับการมีอยู่ของมันได้
แต่หากไม่มีตระกูลชั้นสูง ก็มีอำนาจอื่น ๆ ดังนั้นคงต้องปล่อยตระกูลชั้นสูงนี้ไว้ ตราบใดที่ตระกูลขุนนางอ่อนแอถูกกดขี่ ทำให้พวกเขามีเพียงชื่อเสียง ตระกูลเหล่านั้นก็ไม่มีอันตรายใด
เฟิ่งชิงเฉินพยักหน้า “หากใช้ประโยชน์ตระกูลชั้นสูงเหล่านี้ให้เป็นก็ช่วยได้เช่นกัน แต่ทุกคนล้วนมีความทะเยอทะยาน เมื่อพลังของตระกูลเหล่านั้นพุ่งถึงจุดสูงสุด พวกเขาจะไม่พอใจกับสภาพที่เป็นอยู่นี้แน่”
ตัวอย่างเช่นตระกูลชุย เฟิ่งชิงเฉินเข้าใจแนวทางของตระกูลชุยดี กรณีในสหรัฐอเมริกาก็เหมือนกันนี่ ประธานาธิบดีที่ได้รับการเลือกตั้งเป็นเพียงโฆษกของกลุ่มสมาคม สิ่งที่ตระกูลชุยกำลังวางแผนอยู่ก็เช่นเดียวกับสมาคมในสหรัฐอเมริกา ต้องการใช้อำนาจของผู้นำให้มีประโยชน์
สำหรับตระกูลหวังจะเป็นเช่นนี้หรือไม่ เฟิ่งชิงเฉินไม่รู้ แต่เฟิ่งชิงเฉินรู้ว่าเมื่อพลังอำนาจสะสมมาถึงระดับหนึ่ง หากไม่ก้าวไปข้างหน้าก็จะต้องล่าถอย
หากตระกูลหวังเข้ามาแทนที่ตระกูลชุย และกลายเป็นหัวหน้าตระกูลชนชั้นสูง ไม่ว่าจะเพื่อรักษาตำแหน่ง หรือเพราะไม่อยากถูกแรงกดดันจากองค์จักรพรรดิ ตระกูลหวังก็จะพยายามคิดหาหนทางให้ก้าวหน้า จะกลายเป็นเป้าหมายกดดันแรกของจักรพรรดิ
ในเวลานั้น แม้ว่าหวังจิ่นหลิงจะไม่มีความทะเยอทะยานนี้ แต่เขาก็จะต้องทำเพื่อความอยู่รอดของตระกูล เฟิ่งชิงเฉินนึกถึงความเป็นไปได้เช่นนี้ นางจึงรู้สึกหงุดหงิดมาก หลังจากลังเลอยู่ครู่หนึ่งจึงเอ่ยว่า “ร่วมมือกับตระกูลชั้นสูง เจ้าระวังตัวด้วย”
มันไม่ง่ายเลยที่จะเอ่ยเช่นนี้ออกมา
“อย่ากังวลใจไป แม้ว่าจะต้องสู้กับเสือ ท้ายที่สุดผู้ชนะก็ยังคงเป็นข้า” เสด็จอาเก้ากล่าวอย่างมั่นใจ แต่เขาก็มีความสุขนักที่เฟิ่งชิงเฉินเต็มใจพูดสิ่งเหล่านี้ออกมา
เฟิ่งชิงเฉินไม่อยากทำความเข้าใจกับสิ่งเหล่านี้ นี่ถือได้ว่าเป็นความก้าวหน้าครั้งสำคัญ
ราวกับจะพิสูจน์คำพูดของเสด็จอาเก้า เมื่อหน่วยกล้าตายของตระกูลหวังได้เปรียบ ทันใดนั้นก็มีเสียงฝีเท้าสม่ำเสมอจากข้างนอกดังมา ผู้คนหลายร้อยคนเดินเข้ามาพร้อมเพรียงกัน มีเพียงทหารที่ได้รับการฝึกฝนอย่างมืออาชีพเท่านั้นที่ทำได้เช่นนั้น นั่นหมายความว่าตี๋ตงหมิงกำลังเดินทางมา
“เร็วเช่นนี้เชียว?” เฟิ่งชิงเฉินมองไปทางเสด็จอาเก้า สายตาราวเห็นเทพเจ้า เจ้าเตรียมการไว้ล่วงหน้าหรือ?
“เตรียมไว้ใช่ว่า เป็นหน้าที่ของเขาที่จะต้องรักษาเสถียรภาพของเมืองหลวง” เสด็จอาเก้ายอมรับอย่างง่ายดาย อย่างไรก็ตามเขาไม่ใช่คนที่ต้องลำบากสักหน่อย
เฟิ่งชิงเฉินกลอกตาไปทางเสด็จอาเก้า วันส่งท้ายปีเก่ายังสั่งให้คนอื่นทำงานเช่นนี้ คงมีแต่เขาเท่านั้นหละ หากเป็นคนอื่นสั่ง คาดว่าตี๋ตงหมิงคงกระทืบเท้าโมโห……