นางสนมแพทย์อัจฉริยะ - บทที่ 887 ทบทวนเรื่องเก่า
นางสนมแพทย์อัจฉริยะ บทที่ 887 ทบทวนเรื่องเก่า
ทั้งสองสนทนากันตลอดทาง เวลาผ่านไปอย่างรวดเร็ว เฟิ่งชิงเฉินไม่ได้ถามเสด็จอาเก้าอีก ว่าเขาจะพานางไปดูละครที่ไหน จนกระทั่งรถม้าหยุดลง เฟิ่งชิงเฉินจึงนึกเรื่องนี้ขึ้นมาได้
“นี่เจ้าจะพาข้าไปไหน?”
“เจ้ามาถามเอาบัดนี้ ไม่คิดว่ามันสายไปหรือ?” เสด็จอาเก้ายังคงกล่าวประโยคเดิม เขาลูบศีรษะเฟิ่งชิงเฉินและส่งสัญญาณให้นางลงจากรถ
เฟิ่งชิงเฉินงอแง นางนอนบนตักของเสด็จอาเก้าไม่ยอมขยับ “หากเจ่ไม่บอกข้า ข้าจะไม่ลุก”
“หากเจ้าต้องการ เจ้าจะนอนเช่นนี้ก็ได้ หากเราอยู่ในรถม้าก็จะปลอดภัย มีทหารยามอยู่ข้างนอกคอยเฝ้า” เสด็จอาเก้ายืดขาของเขาและให้ความร่วมมือเป็นอย่างดี แต่รอยยิ้มในดวงตาดูทรยศต่อเขา
กลางดึกกลางดื่นเช่นนี้ ชายหนุ่มหญิงสาวนั่งอยู่ในรถม้า แม้ว่าพวกเขาจะไม่ส่งเสียงดังใดๆ แต่ก็เพียงพอที่จะทำให้ผู้คนคิดถึงฉากที่อยู่ด้านใน เฟิ่งชิงเฉินรู้ว่าเสด็จอาเก้าจะกล่าวสิ่งใด แต่ในวันนี้นางเพิ่งรู้ว่าเสด็จอาเก้าแย่แค่ไหน
ผู้ชายคนนี้ร้ายกาจเกินไปแล้ว
เฟิ่งชิงเฉินยอมรับว่านางไม่ใช่คู่ต่อสู้ของเสด็จอาเก้า นางลุกขึ้นด้วยความโกรธ “หากเจ้าไม่พูดก็อย่าพูด อย่างไรเสียก็ถึงแล้ว”
เฟิ่งชิงเฉินหันกลับมาหยิกน่องของเสด็จอาเก้าอย่างแรง แล้วกระโดดลงจากรถม้าด้วยความรวดเร็ว สบตากับทหารยาม หูของทหารยามเปลี่ยนไปเป็นสีแดง เขาหดศีรษะลงอย่างรวดเร็ว ไม่กล้ามองเฟิ่งชิงเฉิน
มีอะไรผิดปกติไป?
เฟิ่งชิงเฉินงุนงง จากนั้นจึงก้มลงดูเครื่องแต่งกายของนาง พบว่าเสื้อผ้าที่หน้าอกของนางยับยู่ยี่……
ใบหน้าของเฟิ่งชิงเฉินเปลี่ยนไปทันที นางหันกลับมาอย่างรวดเร็วและหันหลังเพื่อจัดเสื้อผ้า
น่าอายเหลือเกิน!
ใบหน้าของสตรีผู้สูงศักดิ์ ถูกเสด็จอาเก้าย่ำยีหายไปอย่างสิ้นเชิง
“ข้าแค่อยากจะเตือนเจ้า แต่คิดไม่ถึงว่าเจ้าเคลื่อนไหวเร็วเช่นนี้” เสด็จอาเก้าก้าวออกจากรถม้า จัดแจงเสื้อผ้าของเขาเรียบแล้ว มีรอยยิ้มจางๆ ในดวงตาของเขาปรากฏขึ้น
การได้อยู่กับเฟิ่งชิงเฉิน แม้ว่าจะเป็นการทะเลาะกันแต่เขาก็มีความสุข ในที่สุดวันข้ามปีก็ดูน่าสนใจเล็กน้อย
“ชั่วร้าย” เฟิ่งชิงเฉินกลอกตามองเขา
หากไม่ใช่เพราะเสด็จอาเก้าครอบครองที่นั่งส่วนใหญ่ นางจึงนอนทับร่างของเสด็จอาเก้าทำให้เสื้อผ้าของนางยับมิใช่หรือ?
“เจ้าอารมณ์ร้อนยิ่งนัก ควรปรับเปลี่ยน” เสด็จอาเก้าลงจากรถม้า ดึงเฟิ่งชิงเฉินมาข้างหน้า ยื่นมือออกไปเพื่อจัดเสื้อผ้าและทรงผมของเฟิ่งชิงเฉินให้เรียบร้อย ในขณะเดียวกันก็กวาดตาไปบริเวณโดยรอบอย่างเย็นชา สายตาของเขาทำให้ทุกคนตกใจจนไม่กล้าเงยหน้าขึ้นมอง เขาจึงรู้สึกพอใจ
คนขับรถม้าอยู่ใกล้เสด็จอาเก้ามากที่สุด เขาได้รับผลกระทบมากที่สุด แต่ทำได้เพียงพยายามย่อตัวลงเพื่อหลบหลีก ทว่ากำลังร้องไห้อยู่ในใจ โอ้สวรรค์ ข้าเห็นอะไรกัน นี่คือเสด็จอาเก้าของพวกเขาจริงหรือ? เสด็จอาเก้าผู้โดดเดี่ยวกลายเป็นชายหนุ่มผู้เอาใจใส่คนอื่นได้อย่างไร
เสด็จอาเก้าจัดการเสื้อผ้าของเฟิ่งชิงเฉินและจับมือของนาง ส่งสัญญาณให้ทหารยามไม่ต้องติดตามไป
เฟิ่งชิงเฉินรู้ว่าเสด็จอาเก้าจะไม่พูดอะไรอย่างแน่นอน ดังนั้นนางจึงไม่เอ่ยถาม นางเดินตามไปข้างหลังอย่างเชื่อฟัง อย่างไรก็ตาม เสด็จอาเก้าจะไม่นำนางไปขายแน่
“ถึงแล้ว”
เสด็จอาเก้าหยุดอยู่ในตรอกมืด เฟิ่งชิงเฉินไม่เห็นความวุ่นวายใดปรากฏ ขณะที่กำลังจะกล่าวบางอย่าง นางก็รู้สึกมีใครจับเอวไว้แล้วพาทะยายขึ้นฟ้า
โชคดีที่เฟิ่งชิงเฉินค่อนข้างระมัดระวัง รู้ว่าตนไม่ควรส่งเสียงออกไปในเวลานี้ เพื่อไม่ให้ใครถูกพบเข้า นางรีบยื่นมือปิดปากของตน ท่าทางน่ารักนี้ทำให้หัวใจของเสด็จอาเก้าเต้นแรง โน้มตัวไปจูบแก้มนางเบาๆ
“อย่ากลัวไปเลย หากมีข้าอยู่ที่นี่ ข้าจะไม่ปล่อยให้เจ้าประสบอุบัติเหตุใดๆ”
“เช่นนั้นคงแปลก มีเจ้าอยู่สิจึงน่ากลัว แน่นอนว่าเจ้าจะไม่ปล่อยให้ข้าประสบอุบัติเหตุใด แต่หากเกิดอุบัติเหตุกับเจ้า เจ้าจะไม่ปล่อยข้าไปหรอก” เฟิ่งชิงเฉินรู้ว่าเรื่องนี้ไม่ได้จริงจังร้ายแรง จึงได้กระซิบกับเขาว่า
“เช่นนั้นเจ้าควรเรียนรู้ที่จะฉลาด หากเกิดเรื่องขึ้นกับข้า เจ้าจงรีบหนีไป ข้าจะตามเจ้าไม่ปล่อยแน่”
“ไม่ต้องห่วง หากเกิดเรื่องขึ้นกับเจ้า ข้าจะหนีเป็นคนแรก”
……
เสด็จอาเก้าพาเฟิ่งชิงเฉินกระโดดขึ้นลงที่ชายคาบ้าน เสียงฝีเท้าของเขาเบามาก เรียกได้ว่าไม่มีเสียงแม้แต่น้อย เสียงของพวกเขาหายไปกับสายลม
หลังจากขึ้นลงอยู่ไม่กี่ครั้ง ทั้งสองก็หยุดอยู่บนหลังคากระเบื้อง เสด็จอาเก้าสั่งให้เฟิ่งชิงเฉินเงียบเสียง และหมอบลงไปพร้อมกับเขา
เฟิ่งชิงเฉินพยักหน้าเหมือนทหารในสนามรบ ใช้มือข้างหนึ่งยันไว้บนหลังคา เพื่อให้ตนสามารถเคลื่อนไหวได้ทันทีหากเกิดเรื่องใดขึ้น
เสด็จอาเก้าพบว่าท่าทางของเฟิ่งชิงเฉินรอตั้งรับ นางนอนหมอบอยู่ตรงนั้นเหมือนเสือดาวที่พร้อมจะวิ่งด้วยการเคลื่อนไหวเล็กน้อย เขาใช้ท่าทางเดียวกันกับเฟิ่งชิงเฉิน
พวกเขาสองคนทำท่าทางเช่นนี้อย่างเงียบๆ จะทำอย่างไรได้ บัดนี้พวกเขานอนอยู่บนหลังคาของจวนหวัง แม้ว่าหวังจิ่นหลิงจะช่วยพวกเขาไว้ล่วงหน้า แต่หากตระกูลหวังพบพวกเขาก็คงจะลำบาก
ในลานบ้านตระกูลหวัง คนในตระกูลหวังกำลังรวมตัวกันอยู่ที่นี่เพื่อจัดงานเลี้ยงส่งท้ายปีเก่า ในปีก่อนๆ งานเลี้ยงส่งท้ายปีเก่าจัดโดยหัวหน้าตระกูลและผู้สืบสายตรงของผู้มีอำนาจรวมตัวกัน แม้แต่การรับประทานอาหารก็ยังเป็นการสรุปเรื่องราวของปีนั้นๆ แม้ว่าบางครั้งจะดุเดือด แต่โดยทั่วไปก็ยังมีชีวิตชีวามาก แต่ปีนี้ต่างออกไป……
จนถึงขณะนี้ งานเลี้ยงส่งท้ายปีเก่าของตระกูลหวังยังไม่ได้เริ่ม บนโต๊ะเต็มไปด้วยจานชาม แต่ไม่มีตะเกียบ ทายาทสายตรงของตระกูลหวังรวมตัวกันในห้องโถง บรรยากาศตึงเครียด พร้อมที่จะระเบิดทุกเวลา
ทุกคนนั่งเงียบ คนในตระกูลหวังมองไปทางชายชราที่นั่งอยู่ตำแหน่งประธาน รอให้เขากล่าววาจา
ผู้อาวุโสทั้งสามของตระกูลหวัง ถูกหวังจิ่นหลิงปราบปรามอย่างรุนแรงก่อนหน้านี้ และถูกริบสิทธิ์ทั้งหมด หากผู้อาวุโสของตระกูลไม่ร้องขอความเมตตา ผู้อาวุโสทั้งสามคนนี้คงถูกไล่ออกจากตระกูลหวังไปนานแล้ว แต่ในเวลานี้ พวกเขายังคงครองตำแหน่งหลัก
ไม่มีทางเลือก หากไม่มีเสือบนภูเขา ลิงก็กลายเป็นราชา หวังจิ่นหลิงหายตัวไป ผู้เฒ่าทั้งสามนี้จึงถูกเชิญออกมาอีกครั้งโดยผู้หวังดี
สมาชิกอาวุโสของตระกูลหวังต่างก็เป็นญาติกันและไม่มีใครกล้าทำให้เรื่องราวน่าเกลียดเกินไป นอกจากนี้ หน้าตาตำแหน่งของผู้อาวุโสทั้งสามในตระกูลหวังในปีนี้ก็ไม่เลวร้ายไปกว่าหวังจิ่นหลิงที่เพิ่งเข้ารับตำแหน่ง ตราบเท่าที่พวกเขาและลูกหลานของพวกเขาอยู่รอด แน่นอน มันเป็นเรื่องปกติที่จะยืนหยัดขึ้นอีกครั้งในฐานะผู้นำตระกูล
ผู้อาวุโสทั้งสามที่มาปรากฏตัว ณ ที่นี่ ก็เพื่อต้องการเสนอปลดหัวหน้าตระกูลคนเก่า
“ในฐานะหัวหน้าตระกูล คุณชายใหญ่ไร้ความรับผิดชอบ มิให้เกียรติตระกูลเลย ประการแรก เขาปฏิเสธที่จะแต่งงานเพราะความปรารถนาส่วนตัวของเขาเอง ซึ่งทำให้ตระกูลของเราเสียหน้า ตอนนี้เพื่อเรื่องส่วนตัว เขาก็ออกจากตระกูลไปอีกครั้ง ทิ้งพวกเราให้อยู่ที่นี่ เขาไม่เคารพผู้อาวุโสของตระกูล ปล่อยให้ทั้งตระกูลต้องรอเขา คุณชายใหญ่ใจกล้านัก แสดงให้เห็นว่าเขาไม่สนใจตระกูลหวังเลย”
“ผู้อาวุโสซ่านกล่าวได้ถูกต้องแล้ว คนที่ลืมได้แม้กระทั่งตระกูลของตน ไม่สามารถเป็นหัวหน้าตระกูลได้” ทันทีที่ผู้อาวุโสจื้อกล่าวจบ ผู้อาวุโสเหรินก็ตอบกลับว่า “ก่อนหน้านี้ คุณชายใหญ่มีความแค้นส่วนตัวกับเผ่าเซวียนเซียว ผลก็คือสูญเสีย ผู้ที่ไม่เห็นตระกูลเป็นที่ตั้ง ไม่ควรเป็นหัวหน้าตระกูลของพวกเราอีกต่อไป”
แต่นี่ไม่ได้หมายความว่าทั้งตระกูลหวังต้องการยกเลิก ไม่ให้หวังจิ่นหลิงอยู่ในตำแหน่งหัวหน้าตระกูลไปเสียทุกคน ยังมีบางคนที่จงรักภักดีต่อหวังจิ่นหลิง คิดว่ามีเพียงหวังจิ่นหลิงเท่านั้นที่จะเหมาะกับหัวหน้าตระกูลหวัง เช่นบิดาของหวังจิ่นหลิง
“จิ่นหลิงไม่ใช่เด็กที่โง่เขลา พรสวรรค์ของจิ่นหลิงนั้นทุกคนรู้ดี ในช่วงหกเดือนที่ผ่านมา ตระกูลหวังมีความมั่นคงมากขึ้นภายใต้การดูแลของจิ่นหลิง ข้าเชื่อว่าจิ่นหลิงเดินทางออกไปก่อนวันส่งท้ายปีเก่า ก็เพื่อตระกูลหวัง จิ่นหลิงเป็นเด็กที่เคารพผู้อาวุโสและมีความรับผิดชอบ เขาจะมาถึงก่อนปีใหม่อย่างแน่นอน” บิกาของหวังจิ่นหลิงกล่าวด้วยความมั่นใจอย่างยิ่ง
“ถูกต้อง พรสวรรค์ของคุณชายใหญ่เป็นที่ประจักษ์แก่ทุกคน ตระกูลหวังถูกจักรพรรดิและตระกูลขุนนางอื่นๆ ปราบปรามในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา จนกระทั่งคุณชายใหญ่เข้ามารับตำแหน่ง สถานการณ์ของตระกูลหวังจึงดีขึ้น” ผู้ที่สนับสนุนหวังจิ่นหลิงล้วนเป็นผู้ปกครองรุ่นใหม่ และแม้แต่รุ่นลุงของหวังจิ่นหลิง หรือกระทั่งรุ่นทวด ปู่ทวดก็ยังสนับสนุนเขา
“หวังซ่าน หวังเริ่น หวังจื้อ พวกท่านไม่ใช่ผู้อาวุโสของตระกูลหวังอีกต่อไป ท่านมีคุณสมบัติอะไรที่จะวิจารณ์หัวหน้าตระกูล? ท่านใส่ร้ายว่าหัวหน้าตระกูลไม่ดี แล้วเจ้าเล่า? สิ่งที่ทำลงไปหาได้สอดคล้องกับคำสั่งสอนบรรพบุรุษ หัวหน้าตระกูลมิได้ขับไล่ท่านทั้งสามออกจากตระกูล ก็นับว่าบุญโขแล้ว แต่กลับมากล่าววาจาทำร้ายผู้อื่นอีก” ปู่ทวดของหวังจิ่นหลิงเอ่ยปาก
“ใส่ร้าย? หากไม่ใช่เพราะคุณชายใหญ่ทำตัวไม่ดี เราจะเอ่ยสิ่งเหล่านี้ต่อเขาได้อย่างไร ทุกคนได้เห็นสิ่งที่คุณชายใหญ่ทำในช่วงเวลานี้ เรารู้ชัดเจนว่าจักรพรรดิกำลังปราบปรามตระกูลของเรา คุณชายใหญ่และเสด็จอาเก้าสนิทกันมาก คุณชายใหญ่กำลังจะทำลายตระกูลหวังของเราต่างหาก ข้าจะไม่ยอมให้ผุ้ที่ไม่ชัดเจนอย่างคุณชายใหญ่เป็นหัวหน้าตระกูลต่อไป ” ผู้อาวุโสซ่านเกลียดหวังจิ่นหลิงแทบตาย ดังนั้นเขาจึงไม่เต็มใจที่จะยอมแพ้
“อะไรที่ท่านว่าไม่ชัดเจน? ท่านมีสมองหรือไม่? ฝ่าบาทประกาศอย่างชัดเจนว่าเขาจะทำลายตระกูลหวังของเรา หากเราก้าวขึ้นมาในเวลานี้ เราจะกลายเป็นเช่นตระกูลเซี่ย ต้องให้จักรพรรดิบดขยี้ เมื่อถึงเวลานั้นไม่แน่ว่าทุกสิ่งที่บรรพบุรุษเราสั่งสมมาอาจไม่สามารถรักษาไว้ คุณชายใหญ่ทำเช่นนี้เหมาะสมแล้ว”
“เหมาะสมอะไรกัน? ช่างเป็นพฤติกรรมที่ไร้ความคิดโดยสิ้นเชิง การกระทำของคุณชายใหญ่จะฉุดตระกูลหวังทั้งหมดลง ข้าจะมิเห็นด้วยอย่างยิ่ง”
หลังจากการนองเลือดในครานั้น หวังจิ่นหลิงมีผู้สนับสนุนมากมายในตระกูลหวัง หลังจากที่ผู้อาวุโสทั้งสามถูกไล่ออกไม่มีใครกล้าที่จะฝ่าฝืนหวังจิ่นหลิง แต่ด้วยการหายตัวไปของหวังจิ่นหลิง ผู้สนับสนุนที่ไม่มั่นคงเหล่านั้นก็ลังเลใจ ผู้ที่ต้องการขึ้นเป็นหัวหน้าตระกูลเช่นลุงของหวังจิ่นหลิง เป็นผู้ที่มีตำแหน่งขุนนางสูงสุดในตระกูล
คนส่วนใหญ่จึงหันไปหาลุงของหวังจิ่นหลิงสำหรับการต่อสู้ครั้งนี้ คนของหวังจิ่นหลิงเสียเปรียบอย่างรวดเร็ว
ภายใต้การโจมตีที่รุนแรงของลุงของหวังจิ่นหลิง ผู้สนับสนุนที่ภักดีซึ่งนำโดยบิดาของหวังจิ่นหลิงแทบจะทนไม่ได้อีกต่อไป เมื่อลุงของหวังจิ่นหลิงบอกว่าพวกเขาจะถูกไล่ออกจากตระกูลหวัง กลุ่มคนทั้งหมดก็เปลี่ยนหน้า แต่สถานการณ์ดูสู้เขาไม่ได้
ลุงเล็กของหวังจิ่นหลิงดูเย่อหยิ่ง “พี่ใหญ่ จิ่นหลิงยังเด็กเกินไป เขาไม่สามารถแบกรับภาระในการเป็นหัวหน้าตระกูลหวังได้หรอก ข้านั้นไร้ความสามารถ แต่เพื่อตระกูลหวังของเรา ข้ายินดีเสียสละ พวกเจ้ายังยืนนิ่งอยู่ทำไม? ยังไม่รับโยนคนเหล่านี้ออกไปอีก”
ลุงของหวังจิ่นหลิงได้เตรียมการมาแล้ว เขาต้องการใช้กำลังจัดการโยนบิดาหวังจิ่นหลิงและคนอื่นๆ ออกไปจากตระกูลหวัง……