นางสนมแพทย์อัจฉริยะ - บทที่ 891 ข้าต้องการทุกสิ่งอย่าง
นางสนมแพทย์อัจฉริยะ บทที่ 891 ข้าต้องการทุกสิ่งอย่าง
ราวกับว่านัดหมายไว้ หวังจิ่นหลิงเตรียมอาหารและเครื่องดื่มไว้แต่เนิ่นๆ โบกมือให้คนรับใช้ออกไป เขาไม่แปลกใจเลยที่เสด็จอาเก้าและเฟิ่งชิงเฉินมาเยี่ยมโดยไม่ได้รับเชิญ บัดนี้ในลานบ้านมีเพียงพวกขาสามคน
หลังจากไม่ได้พบกับเขามาสักพัก หวังจิ่นหลิงน้ำหนักลดลงมาก อาจมองเห็นไม่ชัดจากระยะไกล แต่เมื่อเข้าไปใกล้ ก็ตระหนักว่าเสื้อผ้าของหวังจิ่นหลิงหลวมโคร่ง ดวงตาลึกโบ๋
ช่วงเวลานี้ เขาไม่ได้มีเวลาพักผ่อนนัก
เฟิ่งชิงเฉินยังคงโกรธหวังจิ่นหลิง นางไม่พูดไม่จาตอนเดินเข้ามา นางยืนอยู่อีกด้านหนึ่ง เฝ้าดูหวังจิ่นหลิงและเสด็จอาเก้าสนทนากันเกี่ยวกับสิ่งที่นางไม่เข้าใจ
แม้ว่าหวังจิ่นหลิงจะกำลังคุยกับเสด็จอาเก้า แต่สายตาของเขายังคงจับจ้องไปที่ร่างของเฟิ่งชิงเฉิน เมื่อเห็นใบหน้าบูดบึ้งของเฟิ่งชิงเฉิน หวังจิ่นหลิงก็ไม่รู้ว่าควรจะดีใจหรือเสียใจดี
เขามีความสุขที่เฟิ่งชิงเฉินห่วงใยเขา แต่เขาก็เสียใจที่เฟิ่งชิงเฉินไม่สนใจเขามากนัก หากเสด็จอาเก้าทำเช่นนี้ เฟิ่งชิงเฉินจะดุเสด็จอาเก้าอย่างแน่นอน แต่ไม่ใช่กับเขา
นี่คือความแตกต่างระหว่างเพื่อนกับคนรัก และยังเป็นช่องว่างระหว่างเขากับเฟิ่งชิงเฉิน ท่าทางของหวังจิ่นหลิงดูมืดมน ไม่เหมือนเมื่อครู่ที่จัดการกับตระกูลหวังอย่างใจเย็น ท่าทางของเขาดูเฉยเมยเรียบง่าย โดยเรียกให้เสด็จอาเก้านั่งลงแล้วรินสุราให้แก่เฟิ่งชิงเฉินด้วยตัวเอง
“ชิงเฉิน ข้าขอโทษเรื่องตระกูลหวัง ข้าทำให้เจ้าลำบาก และเรื่องของจิ่นหาน ข้าขอบคุณเจ้ามาก” หวังจิ่นหลิงยกแก้วขึ้นดื่ม แต่ปากของเขาเต็มไปด้วยความขมขื่น
เฟิ่งชิงเฉินลังเลอยู่ครู่หนึ่ง นางอ้าปากขึ้น แต่ก็กลืนคำพูดของตนลงไปในที่สุด นางดื่มสุราหมดแก้วในอึกเดียว “ข้ามิได้ลำบากหรอก ดีแล้วที่เจ้าไม่เป็นไร สำหรับจิ่นหาน เขาได้รับบาดเจ็บสาหัสและยังไม่ตื่นขึ้นมา ข้าพยายามรักษาเขาอย่างเต็มที่แล้ว แต่อาการของเขาไม่สู้ดีนัก หากเจ้าว่าง จะไปเยี่ยมเขาบ้างก็ดี”
แม้ว่าหวังจิ่นหานจะไม่ได้เป็นอัมพาต แต่การเคลื่อนไหวของเขาจะได้รับผลกระทบในอนาคตแน่นอน หากเขาต้องการที่จะเป็นเหมือนเดิม เกรงว่าจะเป็นไปไม่ได้ หากเขาต้องการเดินได้ตามปกติ เขาจะต้องเข้ารับการฟื้นฟูสมรรถภาพสักระยะหนึ่ง
“ข้าจะไปหาเขาโดยเร็วที่สุด เรื่องของจิ่นหานอาจรบกวนเจ้าด้วยช่วงนี้ เจ้าได้เห็นสถานการณ์ของตระกูลหวังแล้ว วันนี้มีเพียงบางคนเท่านั้นที่ถูกลงโทษ ยังมีอีกหลายคนรอถูกจัดการ ครั้งนี้ข้าต้องกวาดล้าง ไม่ให้จิ่นหานได้รับบาดเจ็บโดยสูญเปล่า” เขาเกือบตาย ส่วนจิ่นหานก็ได้รับบาดเจ็บสาหัส เขาสูญเสียมากมายขนาดนี้ ดังนั้นเขาจะไม่ยอมแพ้กลางคันแน่นอน นับประสาอะไรกับความเมตตาปราณี
เมื่อเห็นความเหนื่อยล้าและความขมขื่นในดวงตาของหวังจิ่นหลิง เฟิ่งชิงเฉินก็หายโกรธ หวังจิ่นหลิงเป็นคนที่เจ็บปวดที่สุดจากเหตุการณ์นี้ หากไม่มีวิธีอื่นหวังจิ่นหลิงก็จะไม่หมดหวังเช่นนี้แน่
“อย่าได้กล่าวว่าลำบากเลย จิ่นหานและข้าถึงอย่างไรก็เคยพบกันมาก่อน ข้าไม่คุ้นเคยกับการที่เจ้าที่ทำตัวห่างเหินเช่นนี้เลย” คราวนี้เฟิ่งชิงเฉินรินสุราให้แก่หวังจิ่นหลิงเอง
“เรื่องในอดีตจบลงแล้ว ปีใหม่กำลังจะมาถึง ทุกอย่างจะดีขึ้นเรื่อย ๆ” สุราแก้วก่อนหน้านี้คือคำขอโทษของหวังจิ่นหลิง และสุราแก้วนี้คือความเข้าใจของเฟิ่งชิงเฉิน
ตระกูลหวังไม่ใช่ตระกูลเฟิ่ง การแย่งชิงอำนาจของตระกูลหวังนั้นไม่น้อยไปกว่าของราชวงศ์ เป็นเรื่องปกติที่จะมีการนองเลือด ทุกตระกูลมีลักษณะเฉพาะของตัวเอง วิธีการจัดการสิ่งต่าง ๆ ของหวังจิ่นหลิงก็คือสิ่งที่ตระกูลหวังต้องการ
“ชิงเฉินพูดถูก เราทุกคนจะต้องดีขึ้นเรื่อย ๆ” ความเข้าใจของเฟิ่งชิงเฉินทำให้ใบหน้าของหวังจิ่นหลิงมีรอยยิ้มขึ้น แม้ว่ารอยยิ้มจะยังคงจางๆ อยู่ก็ตาม
สำหรับหวังจิ่นหลิงในปีนี้ เรียกได้ว่าไม่มีอะไรน่ายินดีเลยจริงๆ
ด้วยความเข้าอกเข้าใจของเฟิ่งชิงเฉิน หวังจิ่นหลิงจึงหันมาให้ความสนใจต่อเสด็จอาเก้า “ขอบคุณสำหรับความช่วยเหลือของเจ้าในเรื่องนี้ จินหลิงขอดื่มให้เจ้า”
หวังจิ่นหลิงรู้ว่าตระกูลหวางจะวางยาพิษเขาและได้เตรียมยาแก้พิษไว้ล่วงหน้า แต่เขาไม่คาดคิดว่าตระกูลหวางจะทำให้เขาหลับสนิท และยาแก้พิษสำหรับการนอนหลับสนิทนั้นมีเพียงเสด็จอาเก้าเท่านั้นที่มี
ครั้งนี้เสด็จอาเก้าช่วยเขาได้มากจริงๆ ถ้าเสด็จอาเก้าใจร้ายและปล่อยให้เขาตาย ทุกอย่างก็ไร้ประโยชน์
“มันเป็นเรื่องของผลประโยชน์ร่วมกันเท่านั้น หากอยากขอบคุณข้าจริง ก็ควรเอาของมีประโยชน์มาตอบแทน” เสด็จอาเก้าดื่มหมดจอก จากนั้นกล่าวถึงเรื่องสำคัญในวันนี้
การไปดูฉากเด็ดเป็นการตัดสินใจเพียงชั่วครู่ แต่การเจรจาด้านการค้านั้นเขาคิดไส้เนิ่นนานแล้ว
หวังจิ่นหลิงพยักหน้า “เจ้าต้องการจำนวนที่นั่งของการสอบคัดเลือกหรือ?”
สิ่งที่ตระกูลหวางมี และสิ่งที่เสด็จอาเก้าต้องการ หวังจิ่นหลิงคิดไปคิดมา คาดว่าคงมีเพียงหนึ่งเดียว
“สิบที่นั่ง” การสอบคัดเลือกนี้เป็นครั้งแรกของตงหลิง จะจัดขึ้นหลังจากต้นฤดูใบไม้ผลิ นอกจากบัณฑิตที่สอบผ่านในมณฑลต่างๆ แล้ว ยังมีสิทธิพิเศษสำหรับตระกูลชั้นสูง ด้วยสิทธินี้ บุตรหลานของตระกูลชั้นสูงสามารถเข้าร่วมการทดสอบได้โดยตรง ไม่ต้องผ่านกระบวนการคัดเลือกทีละชั้นตอน
จักรพรรดิต้องการนำบัณฑิตที่ยากจนมาใช้งาน แต่เขาไม่สามารถส่งบุตรหลานตระกูลขุนนางไปที่หุบเขาได้ จักรพรรดิจึงได้มอบสิทธินี้ให้แก่ตระกูลขุนนางแต่ละตระกูลเข้าร่วมโดยตรงในการสอบ และยังให้ผู้มีชื่อเสียงเป็นคนแนะนำ เพื่อเอาใจตระกูลขุนนางและเอาใจพวกคนมีชื่อเสียงเหล่านั้น
“สิบคน? เจ้ารู้หรือไม่ว่าตระกูลหวางมีทั้งหมดกี่สิทธิ” ไม่ว่าหวังจิ่นหลิงจะนิ่งสงบเพียงใด ในขณะนี้เขาก็ตกใจกับเสด็จอาเก้าที่เอ่ยออกมาเช่นนั้น
มีคนหลายหมื่นคนในตระกูลหวัง บัณฑิตหนุ่มสาวมากมายหลายพันคน แต่มีสิทธิ์เพียง 30 สิทธิเท่านั้น ใน 30 สิทธิยังมี 10 สิทธ์ที่หวังจิ่นหลิงเอาไว้ให้ที่สำนักศึกษา แต่เสด็จอาเก้ากลับอยากได้จำนวนมากถึง 10 สิทธิ์ ช่างโหดเหี้ยมเหลือกเกิน
“ข้ารู้แค่ว่าตระกูลหวังมีจำนวนสิทธิ์มากที่สุด” เสด็จอาเก้าพูดอย่างชัดเจนว่าเขาต้องการ
เขาไม่อาจไปขอจากตระกูลชุย จักรพรรดิก็ไม่ต้องการใช้ตระกูลชุย ดังนั้นจึงไม่มีสิทธิ์ให้สักคนเดียว ตระกูลสูงมีตระกลหวังและตระกูลเซี่ยเป็นตัวนำ ตระกูลเซี่ยเชื่อฟังในจักรพรรดิ ต่อให้จักรพรรดิให้เพียง 10 คน ตระกูลเซี่ยก็ไม่กล้าแย่งชิง
สำหรับตระกูลหวัง แผนเดิมของจักรพรรดิคือให้มากกว่าตระกูลเซี่ย 1- 2 คน แต่หวังจิ่นหลิงแข็งแกร่ง ประกอบกับความสามารถและชื่อของหวังจิ่นหลิง ตระกูลหหวังยืนกรานจะเอา 20 คน
หวังจิ่นหลิงยิ้มอย่างช่วยไม่ได้ “ข้าจะใช้สิทธิ 10 คนนี้ซื้อคน”
“หลังจากเหตุการณ์นี้ ความแข็งแกร่งของตระกูลหวังได้รับความเสียหายมาก หากเจ้ามอบสิทธิ์ทั้งสิบนี้ให้กับผู้มาจากครอบครัวที่ยากจน พวกเขาจะขอบคุณตระกูลหวัง และจักรพรรดิจะปล่อยตระกูลวังไปชั่วคราว เจ้าคงรู้ชัดเจนว่าจักรพรรดิไม่ต้องการให้บัณฑิตของตระกูลชั้นสูงได้รับคัดเลือก” ตระกูลหวังสูญเสียทายาทสายตรงมากมายในทันที หากพวกเขาเข้ามาเกี่ยวข้องด้วยคาดว่าคงจะยุ่งวุ่นวาย ตระกูลหวังควรจะพักหายใจ และควรเอาใจจักรพรรดิ
นี่คือกฎ
“เจ้าคิดเอาไว้แล้วก่อนหน้า ข้าจะเอ่ยสิ่งใดได้อีก 10ก็10” เห็นได้ชัดว่าเสด็จอาเก้าฉวยโอกาสแย่งชิง แต่เขาก็ยังทำเหมือนตนชอบธรรม ทำเหมือนว่าเขาทำดีที่สุดแล้ว ซึ่งมันน่ารำคาญตาจริงๆ
เฟิ่งชิงเฉินหัวเราะออกมาเบาๆ นางปอกเปลือกถั่วลิสงกินอย่างเชื่อฟัง กลับกลายเป็นผู้ชมที่มีคุณสมบัติพร้อม ต้องรู้ว่านี่คือฉากที่เสด็จอาเก้าต้องการให้นางดู และหวังจิ่นหลิงจะต้องเสียเปรีบแน่
หวังจิ่นหลิงเอาสิทธิการสอบนี้ให้เขา ทำให้วางใจลงมากทีเดียว แต่คิดไม่ถึงว่าจะเสด็จอาเก้าจะยังไม่พอใจ เขากล่าวต่อไปว่า “กำลังของหวังซ่าน หวังเหริน และหวังจื้อ และกับลุงหวังของเจ้าให้เข้าคุก”
ตระกูลหวังคนอื่นที่ถูกไล่ออกจากตระกูล ง่ายสำหรับหวังจิ่นหลิงที่จะจัดการกับพวกเขา แต่มีคนหนึ่งที่หวังจิ่นหลิงไม่อาจแตะต้องได้ นั่นคือลุงหวังเพราะได้รับการสนับสนุนจากจักรพรรดิ และยังมีคนเหล่านั้นที่ลุงหวังนำมา
คนของจักรพรรดิ ใครบ้างกล้าแตะต้อง
“ร้านค้าในมือของพวกเขาเกือบครึ่งหนึ่งเป็นความมั่งคั่งของตระกูลหวัง”หวังจิ่นหลิงไม่แปลกใจเลย เสด็จอาเก้าชี้ให้เห็นชัดเจนในวันนี้ว่าเขาต้องการมากลืนกินตระกูลหวัง
“ทำลายแหล่งเงินเพื่อกำจัดพวกเขา ข้าต้องการสาบลับที่ซ่อนอยู่ในมือ หากเจ้าชื่นชอบร้าน เจ้าก็เก็บไว้” ในฐานะที่เป็นตระกูลใหญ่ที่มีพ่อค้ามากที่สุดของจิ่วโจว แน่นอนว่าพวกเขาทำการลักลอบค้าของเถื่อน ซึ่งอยู่ในมือของหวังซ่าน เป็นเส้นทางตงหลิงไปถึงซีหลิง
เป่ยหลิงเป็นสถานที่แห้งแล้ง แต่เสด็จอาเก้าให้ความสำคัญกับสถานที่นั้นมาก ผู้คนในเป่ยหลิงกล้าหาญและเก่งในการต่อสู้พวกเขายังสามารถยืนเคียงข้างตงหลิง ซีหลิงและหนานหลิง เห็นได้ชัดว่าเป่ยหลิงยอดเยี่ยมเพียงใด
“ร้านค้าในมือของพวกเขาขาดทุนในทุกๆ ปี” หวังจิ่นหลิงกำลังบอกเสด็จอาเก้าว่าอย่าได้เก็บไว้คนเดียว
“หากอยู่ในมือของเจ้า จะได้กำไรอย่างแน่นอน” เสด็จอาเก้าแสดงความคิดเห็นออกมา สาบลับของตระกูลหวัง เขาต้องเอามาให้ได้
ไม่ใช่ว่าเขาไม่คิดที่จะให้ปู้จิงหยุนหาเส้นทางใหม่ แต่ปู้จิ่งหยุนไปที่เป่ยหลิงแล้ว ชาวเป่ยหลิงไม่เชื่อคนอื่น หากจะเพียงติดต่อกันชั่วคราวก็พอได้ แต่จะติดต่อกับชั้นสูงของเป่ยหลิง คาดว่างคงต้องสิบยี่สิบปี
“ความแตกต่างระหว่างตระกูลหวังที่ตกอยู่ในมือของเจ้ากับมือของจักรพรรดิเป็นอย่างไร” หวังจิ่นหลิงเข้าใจจุดประสงค์ของประโยคนี้ของเสด็จอาเก้าดี นี่คือเส้นทางการหาเงินของตระกูลหวัง หากไร้สิ้นเส้นทางนี้ ทรัพย์สินของตระกูลหวังคงได้รับผลกระทบแน่
“จักรพรรดิจะเหยียบย่ำตระกูลหวังลงไปในโคลน เพื่อไม่ให้ตระกูลหวังยืนหยัดได้อีก หากข้าทำลายตระกูลหวังอาจะทำให้ตระกูลหวังผงาดขึ้นได้อีกครั้ง” เสด็จอาเก้าไม่ได้ปิดบังท่าทีของเขาที่มีต่อตระกูลหวัง
“ข้าต้องขอคิดดูก่อน” หวังจิ่นหลิงเข้าใจว่าสถานการณ์ของตระกูลหวังนั้นเหมือนกับน้ำมันปรุงอาหารในไฟที่กำลังร้อน แท้จริงแล้วกำลังอันตราย ทุกย่างก้าวต้องระมัดระวัง เพราะอาจถูกทำลายได้
“ไม่ต้องรีบร้อนไป วันปีใหม่กำลังจะมาถึงแล้ว ข้าไม่ขอรบกวนคุณชายใหญ่แล้ว ชิงเฉินไปกันเถอะ” เมื่อกล่าวเงื่อนไขออกไปแล้ว เสด็จอาเก้าจึงไม่ต้องการสนทนากับหวังจิ่นหลิงอีก เขาจูงมือชิงเฉินเดินจากไป
“เที่ยงคืนกำลังจะมาถึง พวกเจ้าจะอยู่กับข้าจนกว่าจะสิ้นปีในวันส่งท้ายปีเก่าไม่ได้หรือ” หวังจิ่นหลิงลุกขึ้นเพื่อเกลี้ยกล่อมให้ทั้งสองอยู่ต่อ แต่สายตาของเขาจับจ้องไปที่เฟิ่งชิงเฉิน
เฟิ่งชิงเฉินกำลังจะเอ่ยปากพูด แต่เสด็จอาเก้าก้าวไปข้างหน้าตอบว่า “มีสมาชิกตระกูลหวังมากมายรออยู่ข้างนอก พวกเขายังคงรอให้คุณชายใหญ่ออกไปร่วมงาน ข้าและชิงเฉินไม่รบกวนคุณชายใหญ่อีก”
เสด็จอาเก้าไม่เปิดโอกาสให้เฟิ่งชิงเฉินพูดเลย เขาอุ้มนางขึ้นแล้วกระโดดขึ้นไปบนหลังคา
หวังจิ่นหลิงยืนอยู่ในลานบ้าน จ้องมองไปยังทิศทางที่เฟิ่งชิงเฉินจากไปด้วยความงุนงง
เพียงไม่ถึงครึ่งชั่วโมงก็ยังมิยินยอม เสด็จอาเก้าเริ่มตระหนี่มากขึ้นเรื่อยแล้ว เขามักมายขึ้น เอ่ยปากขอร้องแต่ละเรื่องช่างใหญ่โตนักหนา
“คุณชาย ผู้อาวุโสหลายคนกำลังรอท่านอยู่ที่ห้องโถงเป็นเวลานานแล้ว ไม่ทราบว่าคุณชายจะไปได้เมื่อไหร่” องครักษ์ส่วนตัวของหวังจิ่นหลิงรออยู่ข้างนอกเป็นเวลาเนิ่นนาน พวกเขาไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากเข้ามาอย่างกล้าหาญ
หวังจิ่นหลิงจัดแจงเสื้อผ้าของเขา รอยยิ้มอ่อนโยนปรากฏขึ้นบนใบหน้า “แจ้งกับท่านผู้อาวุโส เปิดห้องโถงบรรพบุรุษ มีสิ่งใดค่อยสนทนากันต่อหน้าศาลบรรพบุรุษ”
ทุกสิ่งที่สนทนาตัดสินกันในศาลบรรพบุรุษ มิอาจแก้ไขใดๆ ได้ ครั้งนี้เขาจะไม่ใจอ่อนเด็ดขาด……