นางสนมแพทย์อัจฉริยะ - บทที่ 892 ของขวัญ ขอให้ฮูหยินอายุยืนพันปี
นางสนมแพทย์อัจฉริยะ บทที่ 892 ของขวัญ ขอให้ฮูหยินอายุยืนพันปี
หลังกลับมาจากตระกุลหวัง เสด็จอาเก้าไม่ได้ส่งเฟิ่งชิงเฉินกลับไปที่จวนเฟิ่ง แต่พานางไปที่จวนอ๋องเก้า
เฟิ่งชิงเฉินนั่งอยู่บนรถม้า นางสนทนากับเสด็จอาเก้าอย่างเบื่อหน่าย เล่นผมของเสด็จอาเก้าไปเรื่อย โดยไม่รู้ว่าทิศทางนั้นไม่ถูกต้อง เมื่อนางลงจากรถม้าก็สายเกินไปแล้ว เพราะคนขับขับรถม้าตรงเข้าไปที่ในจวนโดยไม่หยุดลง
“ข้าจะกลับที่จวนเฟิ่ง” เฟิ่งชิงเฉินหันมาเผชิญหน้ากับเสด็จอาเก้า ที่เพิ่งลงจากรถม้า
เสด็จอาเก้าติดนิสัยเอาแต่ใจ เมื่อเห็นว่าเฟิ่งชิงเฉินยังไม่ได้โมโหมาก เขาจึงกล่าวว่า “อยู่ข้ามปีกับข้าที่นี่ก่อน แล้วข้าจะส่งเจ้ากลับในตอนเช้า จะไม่กินเวลาบูชาบรรพบุรุษของเจ้าแน่”
“กลับไปกลับมาเช่นนี้ เจ้าต้องการทรมานข้าจนตายหรือไร” หากไม่ใช่วันตรุษจีน เฟิ่งชิงเฉินก็อยากจะเตะเสด็จอาเก้าอย่างแรงสักที
ชายคนนี้คิดว่าทุกคนแข็งแกร่งเหมือนเขาหรือ แม้ว่านางมักจะนอนดึก แต่นี่คือวันตรุษจีน ในฐานะหัวหน้าตระกูล นางจึงยุ่งมาก
“ข้าจะไม่ทำให้เจ้าเหนื่อย ไม่ต้องกังวลไป” เสด็จอาเก้าเกลี้ยกล่อมเฟิ่งชิงเฉินจนไปถึงห้อง
ความจริงเป็นดั่งที่เสด็จอาเก้ากล่าว เสด็จอาเก้าไม่ได้ทำอะไรเฟิ่งชิงเฉิน เขาแค่หวังว่าทั้งสองจะได้ฉลองปีใหม่ด้วยกัน นี่เป็นปีใหม่แรกที่พวกเขาสองคนได้อยู่ด้วยกัน
วันรุ่งขึ้น เมื่อเฟิ่งชิงเฉินตื่นขึ้นมา นางพบว่านางกลับมาที่จวนเฟิ่งแล้ว หากไม่ใช่เพราะอั่งเปาก้อนโตที่วางอยู่ข้างหมอน เฟิ่งชิงเฉินคงสงสัยว่าเมื่อคืนนี้นางเดินทางไปที่จวนอ๋องเก้ามาหรือไม่
เฟิ่งชิงเฉินลุกขึ้นและเปิดอั่งเปาดู ข้างในมีกระดาษซึ่งมีตัวอักษรที่นางคุ้นเคย
ข้าขออวยพรสามประการ ข้อแรก ข้าขอให้ภรรยาของข้ามีอายุยืนพันปี ข้อที่สอง ข้าขอให้ข้าสุขภาพแข็งแรง ข้อที่สาม ขอให้เราสองเคียงคู่กันไปตลอดกาล
“คู่กันไปตลอดกาล” เฟิ่งชิงเฉินย้ำคำนี้ในใจ นางอดไม่ได้ที่จะหัวเราะออกมา ยิ่งหัวเราะนางก็ยิ่งมีความสุข สุดท้ายก็อดไม่ได้ที่จะกลิ้งไปบนเตียง
นางรู้สึกว่าท่าทีของเสด็จอาเก้าจะน่ารักแค่ไหนตอนที่เขาเขียนคำเหล่านี้ บทกวีเช่นนี้เขียนในแนวของผู้หญิง แต่เสด็จอาเก้าเปลี่ยนแปลงไปสองสามคำให้เป็นแบบนี้ เขาตั้งใจมากจริงๆ
เฟิ่งชิงเฉินรู้สึกหวานชื่น นางเก็บจดหมายนั้นลงอย่างระมัดระวังแล้วหยิบของอื่นในห่อสีแดงออกมา มีโฉนดที่ดินซึ่งเป็นจวนอีกแห่งของเสด็จอาเก้าอยู่นอกเมือง กำไลข้อเท้าดอกเหมย และปิ่นดอกเหมย
กำไลข้อเท้าดอกเหมยมีเอกลักษณ์เฉพาะตัว ดอกเหมยเล็กๆ สลักลงไปบนหยก ด้านนอกฝังด้วยทองคำเป็นชั้นๆ ทำอย่างประณีตดูเหมือนของจริงเมื่อมองจากระยะไกล
เสด็จอาเก้าน่าจะรู้ว่านางไม่ชอบสวมเครื่องประดับมากนัก โดยเฉพาะที่มือของนาง แม้ออกไปไหนนางก็จะไม่สวมเครื่องประดับที่มือ เพื่อให้สะดวกยามทำงาน เขาจึงเลือกที่จะให้กำไลข้อเท้าแก่นาง
เฟิ่งชิงเฉินลองสวมดู ขนาดกำลังพอดี ไม่ส่งผลต่อเกะกะข้อเท้าของนาง เฟิ่งชิงเฉินยังไม่อยากถอด แต่หากเฟิ่งชิงเฉินรู้ว่าการที่เสด็จอาเก้ามอบกำไลข้อเท้าให้นาง เพราะเขาต้องการมองร่างทั้งร่างของเฟิ่งชิงเฉินสวมเพียงข้อเท้าของเขาเท่านั้น นางอาจเตะเสด็จอาเก้ากระเด็นได้
สำหรับปิ่นดอกเหมย เฟิ่งชิงเฉินรู้ว่ามันสวยงาม วัสดุที่ใช้มีคุณภาพสูง มองออกว่ามันถูกแกะสลักโดยมือใหม่ ดูดีจากระยะไกล ทว่าดูใกล้ๆ จะพบรอยขีดข่วนเล็กๆ อยู่มากมาย
เมื่อนึกถึงเสด็จอาเก้าที่มักจะเก็บดอกไม้ให้นางตอนอยู่ซีหลิง เฟิ่งชิงเฉินก็เดาได้ว่าปิ่นดอกเหมยน่าจะเป็นฝีมือของเสด็จอาเก้าสลักเอง
“ของขวัญปีใหม่หรือ หึๆ” เฟิ่งชิงเฉินมองดูของในมือแล้วยิ้มออกมา คิ้วของนางเลิกขึ้นไม่อาจควบคุมได้
ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น ในวันแรกของปีนี้เฟิ่งชิงเฉินเป็นไปตามที่เสด็จอาเก้าคิด นางมีความสุขมากจริงๆ
เฟิ่งชิงเฉินมองดูของขวัญอยู่เป็นเวลานาน โดยเฉพาะปิ่นดอกเหมย เฟิ่งชิงเฉินลูบไล้มันจนกระทั่งชุนฮุ่ยและชิวฮว่าเตือนนางว่าหากนางยังไม่ลุกขึ้น อาจจะเดินทางไปสายได้ เฟิ่งชิงเฉินจึงอนุญาตให้พวกนางเข้ามารับใช้
ชุดสำหรับใส่วันปีใหม่ต้องไม่เรียบง่ายเกินไป ปิ่นดอกเหมยอาจใช้ไม่ได้ แม้ว่าเฟิ่งชิงเฉินจะรู้สึกเสียดาย แต่นางก็เก็บปิ่นเอาไว้ใช้ในภายหลัง
วันตรุษจีนถือเป็นงานใหญ่สำหรับชาวจีน รายละเอียดต่างๆ จะพลาดไม่ได้ แต่สิ่งที่ควรเตรียมก็ได้เตรียมไว้นานแล้ว สิ่งที่ควรกำชับนางก็กำชับไว้ก่อนนหน้า เฟิ่งชิงเฉินเพียงแค่ต้องปฏิบัติตามกฎ
แม้จะยุ่งมาก แต่เฟิ่งชิงเฉินก็มีความสุข ในความคิดของนาง นี่จึงจะเป็นบรรยากาศของวันตรุษจีน ในจวนเฟิ่งเต็มไปด้วยเสียงอวยพรปีใหม่จากบ่าวรับใช้ทั่วทุกแห่งหน
แม้ว่านางจะอยู่คนเดียว แต่ในจวนเฟิ่งที่มีชีวิตชีวารื่นเริงเพียงนี้ ชิงเฉินไม่ได้รู้สึกเหงาเลย นอกจากนี้ยังมีซีหลิงเทียนอวี่อยู่กับนางด้วย
หลังจากรับประทานอาหารแล้ว เฟิ่งชิงเฉินก็มีเวลาว่าง นางเป็นสตรีอายุน้อย บิดามารดาของนางเพิ่งถูกฝังไปได้ไม่นาน ดังนั้นนางจึงไม่ต้องออกไปกล่าวอวยพรปีใหม่ ดังนั้นจึงได้แต่อยู่ในจวน
เฟิ่งชิงเฉินก็มีความสุขในแบบของนาง หลังจากที่เดินทางไปดูหวังจิ่นหานแล้ว นางก็ได้ให้ผู้คุ้มกัน
ในฐานะเจ้าของบ้าน นางคิดว่าควรไปเอ่ยถามซีหลิงเทียนอวี่ที่เป็นแขกว่ามีสิ่งใดต้องการอีกหรือไม่ เมื่อนางเพิ่งจะนั่งลง ก็มีคนเข้ามารายงานว่าหนานหลิงจิ่นสิงเดินทางมา
“เวลานี้หรือ? เขาไม่ควรอยู่ในวังหรือ?” เฟิ่งชิงเฉินเอ่ยถามซีหลิงเทียนอวี่ ซีหลิงเทียนอวี่รู้เรื่องนี้ดีกว่านาง
“งานเลี้ยงในวังไม่ใช่ทุกคนจะชื่นชอบ คาดว่าเพราะเหยาหวาไม่ได้เข้าไปในวัง ดังนั้นหนานหลิงจิ่นสิงจึงไม่ได้ไปที่นั่นด้วย” มุมปากของซีหลิงเทียนอวี่เผยอขึ้นเล็กน้อย แม้ว่าเขาจะต้องนั่งรถเข็นในวันตรุษจีนก็ตาม แต่ก็ไม่อาจซ่อนอารมณ์ดีของเขาได้
ซีหลิงเหยาหวาและซีหลิงเทียนหเล่ยอทจไม่มีความสุข แต่เขามีความสุขมาก
“ก็ดี มื้อเย็นมีองค์ชายของทั้งสองแคว้นร่วมกินด้วย ข้าก็นับว่าปีนี้ไม่ธรรมดาเลย” เฟิ่งชิงเฉินยิ้มขึ้นอย่างมีความสุขแล้วนึกถึงเรื่องของเหยาหวาขึ้นอีกครั้ง
เฟิ่งชิงเฉินให้คนรับใช้ไปเชิญหนานหลิงจิ่นสิงเข้ามาข้างใน กลับคิดไม่ถึงว่าจะได้เห็นคนที่นางไม่คาดคิด
“พี่สาว สวัสดีปีใหม่ ข้ามาอวยพรเนื่องในปีใหม่” ก่อนหน้านี้หนานหลิงจิ่นสิงไม่ค่อยยินดีเรียกเฟิ่งชิงเฉินว่าพี่เท่าไรนัก เพราะต้องใช้ความกล้าไม่น้อยที่จะเรียกคนอายุน้อยกว่าตัวเองว่าพี่ แต่ตอนนี้เขาเรียกว่าพี่สาวได้อย่างคล่องแคล่วสามารถดึงความสัมพันธ์ทั้งสองให้แน่นแฟ้นยิ่งขึ้น
เฟิ่งชิงเฉิน ไม่สนใจหนานหลิงจิ่นสิง นางมองไปทางสตรีที่อยู่ด้านหลังเขา “แม่นางซูโหรว?”
นางรู้ว่าซูโหรวร่วมมือกับหนานหลิงจิ่นสิง และหนานหลิงจิ่นสิงช่วยอำนวยความสะดวกในการเดินทางเข้าวังของนาง แต่นางไม่คาดคิดว่าหนานหลิงจิ่นสิงจะพาหล่อนมาที่จวนเฟิ่งในวันปีใหม่เช่นนี้
จุดประสงค์ชัดเจนในตัว
“คุณหนูเฟิ่ง ซูโหรวเดินทางมาที่นี่โดยกะทันหัน คุณหนูเฟิ่งโปรดอย่าถือสาข้า” ซูโหรวสังเกตเห็นท่าทีแสดงออกของอีกฝ่าย เมื่อนางเห็นว่าเฟิ่งชิงเฉินดูไม่พอใจนัก นางก็โค้งคำนับและทำความเคารพทันที หาได้มีความเย่อหยิ่งของคุณหนูตระกูลซู ความอ่อนโยนของนางทำให้ไม่อาจตำหนิได้
“ผู้เดินทางมาเยือนล้วนเป็นแขก คุณหนูซูโหรวเกรงใจมากไปแล้ว” แม้ว่าเฟิ่งชิงเฉินจะยิ้ม แต่ก็เห็นได้ชัดว่ารอยยิ้มดูห่างเหิน หนานหลิงจิ่นสิงรีบก้าวไปข้างหน้า “พี่สาว อย่าโกรธไปเลย ข้าพาซูโหรวมาที่นี่เพราะคิดว่าหากมีคนมาก คงจะครึกครื้น”
“ใช่สิ มีคนมากจะครึกครื้น องค์ชายจากซีหลิงก็อยู่ที่นี่ด้วย แต่คุณหนูซูโหรวไม่เหมาะที่จะพบปะกับชายภายนอกนัก ดังนั้นชิงเฉินจะไม่พาคุณหนูซูโหรวไปแนะนำ” เฟิ่งชิงเฉินชำเลืองมองที่หนานหลิงจิน
จุดประสงค์ของการพาซูโหรวมา ก็เพื่อถือโอกาสให้ซูโหรวขอโทษนาง เพราะทุกคนในเมืองหลวงรู้ว่าสนมเอกเซี่ยมีความสัมพันธ์ใกล้ชิดกับนางเป็นการส่วนตัว หากนางยินดีจะพาไปแนะนำ ซูโหรวคงจะปักรากลึกลงในวังหลังได้ ส่วนอีกจุดประสงค์ที่เดินทางมานั้น คาดว่าคงเป็นเพราะซีหลิงเทียนอวี่……