นางสนมแพทย์อัจฉริยะ - บทที่ 893 พี่สาว ต้องการชีวิตเฟิ่งชิงเฉิน
นางสนมแพทย์อัจฉริยะ บทที่ 893 พี่สาว ต้องการชีวิตเฟิ่งชิงเฉิน
จุดประสงค์ของหนานหลิงจิ่นสิงนั้นชัดเจนมาก แม้แต่เฟิ่งชิงเฉินอยากแสร้งทำเป็นไม่รู้ก็คงไม่ได้ หากเป็นในอดีต นางคงเหนื่อยและเบื่อกับการถูกใช้แบบนี้ แต่หลังจากได้เห็นความขัดแย้งภายในตระกูลหวัง เฟิ่งชิงเฉินก็เข้าใจว่าทุกคนล้วนไม่อาจเลือกได้ตามใจตน
ตัวตนของหนานหลิงจิ่นสิง ทำให้เขาต้องต่อสู้ หากเขาไม่สู้ จุดจบคือความตาย อีกอย่างเขาเดินทางกลับมาถึงหนานหลิงอย่างยากเย็น จะไม่ให้เขาต่อสู้ได้อย่างไร
หากความคิดของทุกคนเรียบง่ายเหมือนซือสิง โลกนี้ก็คงจะตกอยู่ในความโกลาหล เฟิ่งชิงเฉินปฏิบัติต่อซูโหรวอย่างแปลกแยก แต่นางยังคงปฏิบัติต่อหนานหลิงจิ่นสิงดังเดิม
หลังจากสนทนากันเล็กน้อยแล้ว เฟิ่งชิงเฉินก็ให้คนรับใช้ของนางเชิญซูโหรวไปยังห้องโถงดอกไม้ ส่วนตนพาหนานหลิงจิ่นสิงไปแนะนำให้รู้จักกับซีหลิงเทียนอวี่เป็นการส่วนตัว สำหรับสิ่งที่จะเกิดขึ้นระหว่างพวกเขานั้น เฟิ่งชิงเฉินไม่จำเป็นต้องกังวลเกี่ยวกับมัน จิ้งจอกเจ้าเล่ห์ทั้งสองจะไม่มีใครเสียเปรียบแน่
น้อยนักที่จะมีสตรีเดินทางมาจวนเฟิ่ง ห้องโถงดอกไม้ของจวนเฟิ่งก็ไม่ค่อยได้ใช้ ซูโหรวนั่งอยู่ที่นั่นค่อนข้างไม่สบายใจ เฟิ่งชิงเฉินจงใจส่งเสียงดังขึ้นที่ประตู ซูโหรวมองหันกลับไปแล้วลุกขึ้นทันที “คุณหนูเฟิ่ง”
ท่าทางที่ดูถ่อมตน ทำให้เฟิ่งชิงเฉินต้องป้องกันตัวเอาไว้
“คุณหนูซูโหรวไม่ต้องมากพิธี นั่งลงเถิด” เมื่อเทียบกับซูโหรวแล้ว ท่าทางของเฟิ่งชิงเฉินดูเปิดกว้างกว่า นางทำท่าทางดั่งสตรีผู้สูงศักดิ์ ซูโหรวรู้สึกคลุมเครือ
ซูโหรวไม่สนใจ รอยยิ้มบนใบหน้าของนางเผยออกมาเล็กน้อย “คุณหนูเฟิ่ง ข้าขอโทษสำหรับสิ่งที่เกิดขึ้นในครั้งก่อน ข้าเองก็ไม่อาจเลือกได้ในตอนนั้น”
ซูโหรวรู้ถึงนิสัยของเฟิ่งชิงเฉินจากหนานหลิงจิ่นสิงแล้ว ดังนั้นนางจึงเอ่ยตรงไปตรงมาทันทีที่นางมาถึง
“คุณหนูซูโหรวเกรงใจกินไปแล้ว ก็แค่เรื่องเล็กน้อย” ครั้งก่อน? หมายถึงการแข่งขันหรืออะไร?
แน่นอนว่าซูโหรวไม่ได้หมายถึงการแข่งขันทักษะการแพทย์ นางมั่นใจมากในความสามารถการสะกดจิตของตน และนางยังมั่นใจว่านางไม่ได้เปิดเผยข้อบกพร่องใดออกมา ดังนั้นคำพูดของซูโหรวจึงไม่มีความหมายเลย
เฟิ่งชิงเฉินหัวเราะเย้ยหยัน ซูโหรวกล่าวได้ไพเราะจริงๆ นางเอ่ยขอโทษออกมาแต่ไม่ได้พูดถึงเรื่องอะไรเป็นพิเศษ เมื่อถึงเวลาอาจง่ายที่จะปฏิเสธ
“คุณหนูเฟิ่งไม่ถือสาก็เป็นดี นี่เป็นของขวัญเล็กๆ น้อยๆ ที่ข้าเตรียมไว้ คุณหนูเฟิ่งลองดูว่าชื่นชอบหรือไม่” ซูโหรวหยิบกล่องผ้าทอออกมาวางบนโต๊ะ
ทั้งขอโทษ ทั้งของขวัญ เฟิ่งชิงเฉินไม่เข้าใจว่าทำไมซูโหรวถึงทำตัวถ่อมตนเช่นนี้
เฟิ่งชิงเฉินเปิดกล่องผ้าทอออก มีขวดหยกสีเขียวมรกตขวดเล็ก ๆ อยู่ในกล่องผ้านั้น ขวดหยกมีขนาดประมาณนิ้วหัวแม่มือ มีความแวววาวดูนุ่มนวล เมื่อมองแวบแรกก็รู้ว่ามีราคา
“สวยมาก ข้าชอบมัน ขอบใจแม่นางซูโหรว” ของขวัญต้องรับไว้ แต่แค้นก็ต้องชำระเช่นกัน นี่คือสิ่งที่เฟิ่งชิงเฉินได้เรียนรู้จากเสด็จอาเก้า ความสัมพันธ์ระหว่างนางกับซูโหรวเป็นเรื่องยากที่จะพูด ตราบใดที่ซูโหรวยังไม่เข้าวัง พวกนางยังคงเป็นคู่แข่งกัน นางยินดีที่จะปล่อยซูโหรวไป แต่ซูรูอาจไม่เต็มใจปล่อยนางไป
ซูโหรวถอนหายใจด้วยความโล่งอก รอยยิ้มบนใบหน้าของนางก็สดใสขึ้นอีกครั้ง “ก่อนที่ข้าจะมาที่นี่ ข้ากังวลว่าคุณหนูเฟิ่งจะไม่ชอบมัน แต่ตอนนี้เมื่อข้าเห็นว่าคุณหนูเฟิ่งชอบ ข้าจึงรู้สึกโล่งใจ
“คุณหนูเฟิ่งไม่ทราบหรอก ข้าได้ยินองค์ชายจิ่นสิงกล่าวตอนในหนานสิงว่าคุณหนูเฟิ่งไม่เพียงเป็นคนดีเท่านั้น แต่ยังเก่งเรื่องยาอีกด้วย ข้าก็อยากรู้จักยิ่งนัก สตรีแบบใดกันที่มีความสามารถเก่งกาจเพียงนี้ หากได้เจอสักครั้งในชีวิตนี้ ข้ายอมตายก็ไม่เสียใจ”
พี่ชิงเฉินคงไม่รู้หรอกว่าทั้งเรื่องพิณ หมากรุก การเขียนตัวอักษรและภาพวาด ทักษะเหล่านี้ของพี่หว่านหว่านล้วนได้รับการสั่งสอนจากปรมาจารย์ที่มีชื่อเสียงในหนานหลิง ไม่มีใครสามารถเอาชนะนางได้ ข้าจึงคิดไม่ถึงว่าพี่ชิงเฉินจะเก่งกว่านาง”
ด้วยดวงตาอันน่ารักและน้ำเสียงที่ไร้เดียงสา นางเปลี่ยนการเรียกจากคุณหนูเฟิ่งเป็นพี่ชิงเฉิน ต้องบอกว่าแม่นางซูโหรวนั้นไม่ได้ว่านอนสอนง่ายและน่ารักอย่างที่เห็นภายนอก
หากเป็นในอดีต เฟิ่งชิงเฉินคงจะกล่าวอย่างไม่ไว้หน้าว่า “อย่าเรียกข้าว่าพี่ชิงเฉิน ข้าไม่มีน้องสาว” แต่ตอนนี้ซูโหรวเรียกนางอย่างนี้นางก็ปล่อยให้เรียกไป เพราะนางไม่ได้เสียอะไรสักหน่อย
นอกจากนี้ อีกฝ่ายจะได้เป็นสนมของจักรพรรดิในอีกไม่กี่เดือนข้างหน้า ตามสถานะของนางในฐานะบุตรสาวของตระกูลซูในหนานหลิง ถึงอย่างไรก็เป็นสนมได้แน่ ไม่ใช่เรื่องง่ายที่นางจะให้จักรพรรดิหันมาเข้าข้างนาง นางไม่อยากให้จักรพรรดิถูกซูโหรวเป่าหูยามนอนข้างหมอน เพื่อให้จักรพรรดิเกลียดนางอีก และอาจให้คนบุกเข้ามาฆ่านางก็เป็นได้
เฟิ่งชิงเฉินกล่าวอย่างอ่อนโยนว่า”น้องซูโหรวช่างเกรงใจยิ่งนัก คุณหนูซูหว่านมีพรสวรรค์ ชิงเฉินชื่นชมเป็นอย่างมาก ชิงเฉินสามารถเอาชนะคุณหนูซูหว่านได้เพราะโชค แต่เรื่องมารยาท ศิลปะการต่อสู้และทักษะทางการแพทย์ ชิงเฉินล้วนแพ้นาง”
“นั่นเป็นเพียงเรื่องบังเอิญ พี่ชิงเฉินมีกิริยาท่าทางที่อ่อนช้อย ท่าทีโดดเด่น ไม่จำเป็นต้องแข่งขันก็รู้ได้ว่าพี่ชิงเฉินไม่ได้แย่ไปกว่าองค์หญิงเลย นอกจากนี้ เมื่อกล่าวถึงการแพทย์และศิลปะการต่อสู้ ใครก็รู้ว่าพี่ชิงเฉินมีมือวิเศษคู่ที่ช่วยรักษาดวงตาคุณชายใหญ่ และอาการเจ็บป่วยของคุณชายชุยได้”
พี่ชิงเฉินมีมือวิเศษที่สามารถรักษาโรคได้ทุกโรค ทั้งยังสามารถฝึกม้าที่ดุร้ายได้ ถึงตอนนี้ สตรีชั้นสูงทั้งหลายยังคงกล่าวถึงการที่ท่านฝึกม้าสีโลหิตในสนามประลองครั้งนั้นไม่ขาดปาก” ซูโหรวดูเหมือนว่ากำลังไม่พอใจที่เฟิ่งชิงเฉินแพ้ แต่เฟิ่งชิงเฉินรู้ว่านางกำลังลองเชิง
ดูเหมือนว่าการแข่งขันขี่ม้าและยิงธนูหลังฤดูใบไม้ผลิจะมีความสำคัญต่อซูโหรวมาก ทว่าทุกคนก็รู้ว่าทักษะการขี่ม้าของเฟิ่งชิงเฉินนั้นไม่ธรรมดา
เมื่อเผชิญหน้ากับสายตาที่ดูเร่าร้อนของซูโหรว เฟิ่งชิงเฉินจึงได้เพียงยิ้มไม่ได้พูดอะไร นางชี้ไปที่จานผลไม้บนโต๊ะ “น้องซูโหรวลองชิมสิ นี่คือผลไม้แห้งระดับพิเศษที่จวนข้าทำออกมา”
“โอ้ ข้าจะลองชิมดู” ซูโหรวไม่คิดว่าเฟิ่งชิงเฉินจะเปลี่ยนเรื่องกะทันหันเช่นนี้ แต่โชคดีที่นางตอบสนองได้รวดเร็ว เมื่อเห็นว่าเฟิ่งชิงเฉินไม่ต้องการเอ่ยถึงเรื่องนี้ นางจึงไม่เอ่ยถึงอีกต่อไป
“รสหวานเปรี้ยวกำลังดี มีความสัมผัสของเนื้อผลไม้เมื่อกัดเข้าไป พี่ชิงเฉินน่าทึ่งยิ่งนัก สามารถทำอะไรก็ได้ ผลไม้แห้งนี้รสชาติดีกว่าตอนที่ป้าของข้าตั้งท้องน้องชายได้กินเสียอีก พี่ชิงเฉินทำขึ้นเป็นพิเศษเพื่อพระสนมเอกหรือ?” ใบหน้าอันสวยงามของซูโหรว ดวงตาน่ารักของนางเปล่งประกายแวววาว ทำให้ใครก็ตามคงหลงใหลหากได้เห็น
เฟิ่งชิงเฉินยอมรับว่าบุตรสาวของตระกูลซูไม่ธรรมดาจริงๆ นางเอ่ยถึงพระสนมเซี่ยขึ้นมาได้เพียงผลไม้หนึ่งจาน ไม่น่าแปลกใจที่หลังจากหนานหลิงจิ่นสิงพานางมาแล้วไม่ได้แนะนำอะไร เป็นเพราะซูโหรวมีความสามารถเช่นนี้นี่เอง
ซูโหรวจ้องมองมาที่นาง แววตาในดวงตาของนางสามารถดูดวิญญาณของผู้คนรอบข้างได้ เฟิ่งชิงเฉินมั่นใจได้ว่าซูโหรวต้องการใช้กลอุบายเดิมซ้ำอีกครั้งเพื่อสะกดจิตนาง
ซูโหรวมั่นใจในความสามารถของตัวเองมากจริงๆ เฟิ่งชิงเฉินพูดด้วยรอยยิ้มว่า “น้องซูโหรว ผลไม้แห้งที่พระสนมและจักรพรรดินีเสวย ล้วนจัดหาโดยหมอหลวง จะเห็นของเล็กๆ น้อยๆ เหล่านี้ในสายตาได้อย่างไร หากว่าน้องซูโหรวชอบ ข้าจะให้คนเอาไปให้”
เฟิ่งชิงเฉินมั่นใจได้ว่านางไม่อาจทำใจให้ชอบซูโหรวได้จริงๆ เมื่อเทียบกับซูโหรวแล้ว นางชอบซูหว่านเสียมากกว่า อย่างน้อยซูหว่านก็มีความภาคภูมิใจในตัวตนเอง แต่ซูโหรวกลับเต็มไปด้วยวิธีสกปรก หน้าเนื้อใจเสือ
“ขอบคุณพี่ชิงเฉิน” ซูโหรวตอบด้วยรอยยิ้ม ซูโหรวรู้วิธีการโต้ตอบกับผู้คนดี การมอบของกันไปมาเช่นนี้ ทั้งยังแตกต่างกันมากด้านราคา ทำให้ความสัมพันธ์ทั้งสองก็ใกล้ชิดกันมากขึ้น
น่าเสียดายที่นี่เป็นเพียงความคิดเพียงฝ่ายเดียวของซูโหรว เฟิ่งชิงเฉินไม่คิดว่านางและซูโหรวจะกลายเป็นเพื่อนกันได้
จากนั้นซูโหรวก็เอ่ยสนทนาไปเรื่อยเปื่อย โดยมากจะเป็นการถามไถ่เรื่องวังหลังและพระสนมเอก แต่ก็ไม่ใช่เรื่องสำคัญอะไร เพียงแค่สอบถามก็สามารถรู้ถึงเรื่องเหล่านี้ได้
หากไม่เคยถูกซูโหรวเอาเปรียบมาก่อน เฟิ่งชิงเฉินคงคิดว่าซูโหรวถามในสิ่งไร้ประโยชน์ เพราะนางกลัวว่าไม่สามารถปรับตัวเข้ากับคนในวังได้ จึงอยากรู้เรื่องราวเกี่ยวกับในวังล่วงหน้า
สิ่งที่ซูโหรวถามนั้นไม่ได้มีความหมายมากนัก แต่สามารถทำให้ผู้คนค่อย ๆ ผ่อนคลายจากการป้องกันตัวได้
ยิ่งเป็นเช่นนี้ เฟิ่งชิงเฉินก็ระแวดระวังอยู่ในใจ แต่ภายนอกนางตอบทุกสิ่งที่ซูโหรวถาม ยิ่งเฟิ่งชิงเฉินตอบอย่างตรงไปตรงมามากเท่าไหร่ แวตาในดวงตาของซูโหรวก็ยิ่งเจิดจ้า จนกระทั่ง……
ดวงตาของซูโหรวเป็นเหมือนกระแสน้ำวน นางจ้องมองไปที่เฟิ่งชิงเฉินอย่างแน่วแน่ ราวกับพยายามดูดวิญญาณของเฟิ่งชิงเฉิน ขณะเดียวกันดวงตาของเฟิ่งชิงเฉินกลับว่างเปล่าไร้ชีวิตชีวา ไม่มีสมาธิ ราวกับตุ๊กตามนุษย์ที่ไร้วิญญาณ
ชั่วขณะหนึ่ง เฟิ่งชิงเฉินตระหนักได้ว่านางถูกสะกดจิตจริงๆ จิตใจของนางตกอยู่ในภวังค์และว่างเปล่า โชคดีที่เฟิ่งชิงเฉินคอยระวังซูโหรวอยู่เสมอ เมื่อนางรู้สึกว่ามีบางอย่างผิดปกติไป จึงได้เอื้อมมือไปหยิบปิ่นดอกเหมยมาปักขาของตนเอง
เฟิ่งชิงเฉินโชคดีมาก เพราะนางไม่อยากแยกจากมันจึงได้พกปิ่นปักผมดอกเหมยที่เสด็จอาเก้ามอบให้มาด้วย มิฉะนั้นนางคงไม่สามารถหาอาวุธแหลมคมได้ในตอนนี้ และนางคงไม่อาจตื่นขึ้นจากภวังค์
ความรู้สึกของนางกลับคืนสู่ความชัดเจนปกติ แต่เฟิ่งชิงเฉินยังคงปล่อยให้ดวงตาของนางว่างเปล่า จ้องมองไปที่ซูโหรวอย่างว่างเปล่าเพื่อรอดูการกระทำต่อไปของซูโหรว
ซูโหรวหมดความอดทนและถามเฟิ่งชิงเฉินสองสามคำถาม หลังจากยืนยันได้ว่าเฟิ่งชิงเฉินถูกสะกดจิตแล้ว นางก็เริ่มตัดบท หยิบปิ่นปักผมสีทองออกมาจากแขนเสื้อของนาง ยื่นไปตรงหน้าเฟิ่งชิงเฉิน
“เมื่อเจ้าเห็นปิ่นทองคำนี้ ให้พาเจ้าของปิ่นทองคำเข้าวังทันทีเพื่อพบกับพระสนมเอกเซี่ย จงมองมันให้ดี!” ซูโหรวจับปิ่นทองไว้แน่น ให้เฟิ่งชิงเฉินดูซ้ำๆ
นี่เป็นวิธีการสะกดจิตที่ลึกซึ้ง ผู้ถูกสะกดจิตจะไม่รู้ว่าตนถูกสะกดจิต เมื่อถูกเตือนความจำเท่านั้น จึงจะดำเนินการตามคำสั่งสะกดจิต
ทักษะนี้แตกต่างกันกับการสะกดจิตธรรมดา อีกฝ่ายจะถูกสะกดจิต และตื่นขึ้นได้จากของบางอย่างเท่านั้น แน่นอว่าทักษะล้ำเลิศนี้ไม่ใช่ทุกคนที่มี ปกติแล้วจะใช้กับสายลับ
สายลับที่ประสบความสำเร็จ ก็คือผู้ที่ไม่รู้ด้วยซ้ำว่าตนเป็นสายลับ จะมีเพียงการได้เห็นของบางอย่างที่กำหนดไว้เท่านั้น จึงจะจำได้ว่าตนเป็นใคร สายลับเช่นนี้มักประสบความสำเร็จสูง แต่สิ่งที่ต้องเสียก็มากเช่นกัน
เมื่อเห็นท่าทางของซูโหรวตอนนนี้ เฟิ่งชิงเฉินต้องยอมรับว่านางมองซูโหรวต่ำไป
ความสามารถของผู้มีความสามารถเก่งขึ้นได้ในสามวัน ตอนนี้ซูโหรวเก่งขึ้น เฟิ่งชิงเฉินรู้สึกบางอย่าง นางรีบคิดว่าตอนถูกสะกดจิตควรเป็นอย่างไร ตวรตอบอย่างไร จากนั้นแสดงออกมาให้ซูโหรวดู
ซูโหรวเก็บปิ่นทองนั้นไปด้วยความพอใจ ดูท่าทางของซูโหรวคิดว่าเหนื่อยล้าแล้ว เดิมทีเฟิ่งชิงเฉินคาดว่าทุกอย่างจะจบ แต่คิดไม่ถึงว่าซูโหรวจะหยิบแส้ม้าสีแดงออกมา
“เจ้าขี่ม้าสง่าตัวหนึ่ง จากนั้นวิ่งไปข้างหน้าอย่างรวดเร็ว แส้ม้าสีแดงสะบัด จากนั้นเจ้าก็ตกลงมาจากม้า”
โหดเหี้ยมจริง ต้องการให้นางตกลงมาจากหลังม้ายามแข่งขัน ทั้งยังกลิ้งลงมาจากหลังม้าที่วิ่งอยู่ หากตกลงไปจริงๆ เฟิ่งชิงเฉินไม่ตายก็คงพิการ
ซูโหรวต้องการฆ่านาง
เฟิ่งชิงเฉินออกแรงแทงปิ่นดอกเหมยนั้นเข้าไปอีกสองนิ้ว นางจะถูกซูโหรวสะกดจิตไม่ได้……