นางสนมแพทย์อัจฉริยะ - บทที่ 897 ไหว้ครู เกิดเรื่องใหญ่ขึ้นแล้ว
นางสนมแพทย์อัจฉริยะ บทที่ 897 ไหว้ครู เกิดเรื่องใหญ่ขึ้นแล้ว
ในช่วงเวลาซึ่งโจ่วอันอาศัยอยู่ในหุบเขาซวนยี ห้องทั้งสิบหกห้องในหุบเขาซวนยีถูกทำลาย ทำร้ายปรมาจารย์แห่งหุบเขาซวนยีจนบาดเจ็บไปทั้งร่างกาย คนจัดยาและองครักษ์บาดเจ็บถึงขั้นไม่สามารถลุกขึ้นยืนได้เป็นเวลาครึ่งเดือน หนึ่งในสามส่วนของผู้ให้การรักษาถูกทำให้ไร้ประโยชน์ ทำให้ปรมาจารย์แห่งหุบเขาซวนยีรู้สึกหวาดกลัวเมื่อได้ยินชื่อของโจ่วอัน ทำให้ในระยะเวลาเดือนกว่าที่ผ่านมา ปรมาจารย์แห่งหุบเขาซวนยีไม่กล้าแตะต้องซุนซือสิงเพราะกลัวการปรากฏตัวของโจ่วอัน
ภายใต้การลงมืออันโหดเหี้ยมของโจ่วอัน ในที่สุดเขาก็สามารถสร้างสถานที่พักฟื้นซึ่งดีที่สุดให้กับซุนซือสิงได้ ปรมาจารย์แห่งหุบเขาซวนยีไม่กล้าที่จะวางแผนร้ายหรือทำการทดลองกับร่างกายของซุนซือสิง ไม่เพียงแค่นั้น หลังจากซุนซือสิงฟื้นตัวขึ้นมาแล้ว ปรมาจารย์แห่งหุบเขาซวนยียังตั้งสั่งสอนวิชาแพทย์ให้กับซุนซือสิงอย่างเต็มใจ
เดิมทีก็เป็นเพราะหวาดกลัวอำนาจของโจ่วอัน แต่หลังจากที่ได้เห็นพรสวรรค์ทางการแพทย์ของซุนซือสิง ปรมาจารย์แห่งหุบเขาซวนยีรู้สึกกระสับกระส่าย พยายามทุกวิถีทางที่จะทำให้ซุนซือสิงถือตนเองเป็นอาจารย์
ซุนซือสิงปฏิเสธโดยอ้างว่าตนเองมีเฟิ่งชิงเฉินเป็นอาจารย์อยู่แล้ว ปรมาจารย์แห่งหุบเขาซวนยีจึงกล่าวออกมาด้วยความโกรธ “บนโลกนี้มีผู้คนมากมายเข้ามาอ้อนวอน กราบบูชาข้าเป็นอาจารย์ ข้าปฏิเสธไปโดยตลอด เวลานี้ข้ายินดีรับเจ้าเป็นศิษย์ ถือเป็นโชคอันสูงสุดของเจ้า เหตุใดเจ้ายังกล้าดึงดันและนิ่งเฉย ทำไมเจ้าไม่รีบบูชาข้าเป็นอาจารย์เสีย”
“นั่นเป็นเพราะท่านบังคับให้ผู้อื่นกราบบูชาท่านเป็นอาจารย์ แต่ข้ามีอาจารย์ของข้าอยู่แล้ว” ซุนซือสิงโต้ตอบกลับไปและแสดงจุดยืนของตนเองอย่างชัดเจน
ปรมาจารย์แห่งหุบเขาซวนยีไม่สนใจคำปฏิเสธดังกล่าว พยายามบีบคั้นต่อไป “ซุนซือสิง เจ้าลองให้เวลาข้าอีกเสียหน่อย ข้าไม่ได้ต้องการบังคับให้เจ้าคุกเข่าและบูชาข้าเป็นอาจารย์ตั้งแต่เวลานี้ การบูชาข้าเป็นอาจารย์ มิได้หมายความว่าเจ้าจะมิได้เป็นศิษย์ของเฟิ่งชิงเฉิน เจ้าแค่เรียกข้าว่าอาจารย์ มีอาจารย์เพิ่มอีกหนึ่งคนมันเสียหายอย่างไร ขอแค่เจ้ายอมบูชาข้าเป็นอาจารย์ ข้าสัญญาว่าข้าจะรับเจ้าเป็นศิษย์เพียงผู้เดียว และเจ้าจะเป็นศิษย์คนสุดท้ายของข้า”
เป็นเรื่องยากยิ่งที่จะหาเด็กที่มีความตั้งใจและมีพรสวรรค์ทางการแพทย์มากมายถึงเพียงนี้ ปรมาจารย์แห่งหุบเขาซวนยีรู้สึกอิจฉาเฟิ่งชิงเฉินเป็นอย่างมาก ทำไมนางถึงได้แย่งศิษย์รักของตนไป
ซุนซือสิงยังคนปฏิเสธ ใบหน้าซึ่งเหมือนซาลาเปาของเขาเหี่ยวย่น “ท่านปรมาจารย์ ข้ามีอาจารย์อยู่แล้ว จะให้ข้าบูชาผู้อื่นเป็นอาจารย์อีกได้อย่างไร มิได้ มิได้เป็นอันขาด”
ภายใต้การจ้องมองของสวรรค์และโลก ในสายตาของซุนซือสิง การบูชาอาจารย์เป็นเรื่องสำคัญยิ่ง เขาบูชาเฟิ่งชิงเฉินเป็นอาจารย์ หากต้องบูชาปรมาจารย์แห่งหุบเขาซวนยีเป็นอาจารย์เพิ่มอีก สิ่งนี้ก็ไม่ต่างอะไรกับการหักหลังอาจารย์ของตนเอง
ต่อให้เขารู้สึกเคารพในตัวของปรมาจารย์แห่งหุบเขาซวนยีมาถึงเพียงใด เขาก็ไม่สามารถทำเรื่องผิดให้เป็นถูก เห็นดำเป็นขาว และนี่ก็คือการยืนหยัดของซุนซือสิง
ปรมาจารย์แห่งหุบเขาซวนยีไม่คิดจะล้มเลิกความคิด เขาเซ้าซี้ซุนซือสิงทุกวันให้เรียกตนเป็นอาจารย์ ทำให้ซุนซือสิงตกใจจนเอาแต่คุกเข่าวิ่งหนี ร้องคร่ำครวญออกมา “อาจารย์ ท่านอยู่ที่ใด เหตุใดท่านถึงไม่ยอมพาข้ากลับไป แห่งนี้มีแต่คนบ้า ข้ามิอยากอยู่ที่นี่ ข้าอยากกลับ ข้าอยากกลับ……”
ในช่วงเวลาที่ซุนซือสิงทุกข์ทรมานใจอยู่ในหุบเขาซวนยี เฟิ่งชิงเฉินก็ไม่ได้นิ่งเฉย ยอดขายยาป้องกันการแท้งบุตรของตระกูลหยุนลดลงอย่างต่อเนื่อง แม้ว่าหยุนเซียวจะไม่ได้ออกมาอธิบายแต่อย่างใด แต่หากฉลาดพอก็สามารถมองเห็นได้จากเหตุการณ์ซึ่งเกิดขึ้นเมื่อไม่นานมานี้ และในบางเวลาก็มีคนแอบเข้ามาสอดส่องสถานการณ์ของจวนเฟิ่ง
เฟิ่งชิงเฉินเองก็ไม่ได้อธิบายออกไปแต่อย่างใด บอกไปเพียงแค่ว่ายาชุดต่อไปจะถูกส่งออกมาในอีกสามเดือนข้างหน้า เพื่อให้เหล่าคนที่วางแผนจะสร้างความดีให้กับตงหลิงจื่อลั่วหลังปีใหม่ต้องกลืนน้ำลายตนเอง
ช่วยไม่ได้ ความโกรธของปวงชนยากที่จะทำให้จางหาย ผู้ที่สามารถซื้อยาป้องกันการแท้งบุตรตั้งแต่ต้นปีในราคาสองร้อยตำลึงถือเป็นตระกูลที่ร่ำรวยมาก แม้ว่าในยามปกติพวกเขาจะไม่กล้าทำให้เหล่าองค์ชายขุ่นเคือง แต่เช่นเดียวกัน องค์ชายเหล่านั้นก็ไม่กล้าทำให้พวกเขาขุ่นเคือง ทั้งสองฝ่ายจึงต่างคนต่างอยู่
แต่เนื่องจากโกรธที่ตงหลิงจื่อลั่วไม่เหลือที่ไว้ให้ใครเดิน เหล่าขุนนางจึงร้องขอไปอย่างเงียบ ๆ แต่นี่กลับทำให้ฮองเฮาแทบจะบ้า จึงเรียกเหล่าภรรยาของเสนาบดีเข้าวังทุกสองถึงสามวัน และกล่าวออกมาโดยนัยว่า ให้พวกเขาไปขอร้ององค์จักรพรรดิว่ารีบปล่อยให้ตงหลิงจื่อลั่วเป็นอิสระ
เหล่าเสนาบดีไม่มีทางเพิกเฉยต่อการทำสิ่งเล็กน้อยเพื่อผลประโยชน์อันยิ่งใหญ่เช่นนี้ หลังจากเทศกาลโคมไฟจบลง พวกเขาเริ่มพูดกับจักรพรรดิเกี่ยวกับเรื่องของตงหลิงจื่อลั่ว พูดถึงคุณงามความดีของตงหลิงจื่อลั่ว แต่คิดไม่ถึงว่าจักรพรรดิไม่เพียงแต่จะไม่มีวี่แววที่จะเลิกคุมขังของตงหลิงจื่อลั่ว และยังทำการคุมขังองค์รัชทายาทอีกด้วย
เมื่อเฟิ่งชิงเฉินได้ยินพระราชโองการดังกล่าวนางก็ยิ้มออกมาอย่างมีความสุข “จักรพรรดิต้องการให้ลั่วอ๋องกับองค์รัชทายาทหมดประโยชน์ และให้พวกเขาโจวอ๋องมาสู้กัน?”
“ครั้งนี้ลั่วอ๋องล้มเหลวในการปฏิบัติภารกิจ จักรพรรดิผิดหวังในตัวเขามาก และเมื่อไม่นานมานี้โจวอ๋องก็ติดต่อกับข้าอยู่บ่อยครั้ง และบอกกับข้าว่าจะเว้นตำแหน่งฮองเฮาไว้ให้กับตระกูลหวังของข้าหนึ่งตำแหน่ง” หลังจากเหตุการณ์ในวันส่งท้ายปีเก่า หวังจิ่นหลิงก็ยังไม่ได้หยุดพัก หลังจากเทศกาลโคมไฟ เขาไม่มีเวลาพักผ่อน เขารีบเดินทางไปยังจวนเฟิ่งเพื่อมาเยี่ยมและดูแลหวังจิ่นหาน
ช่วงระยะเวลาเพียงแค่ครึ่งเดือน หวังจิ่นหลิงขับไล่ทายาทสายตรงของตระกูลออกไปทั้งหมดสิบเก้าสาย และมอบอำนาจและทรัพย์สินของบุคคลเหล่านั้นให้กับคนสนิทของตน และภายใต้ความช่วยเหลือของเสด็จอาเก้า เหล่าคนทรยศของตระกูลหวังถูกจับเข้าไปในคุก ทำให้พวกเขาไร้ซึ่งโอกาสในการกลับตัว แม้อยากตายก็เป็นไปไม่ได้
สำหรับการกระทำช่วงนี้ของหวังจิ่นหลิง เฟิ่งชิงเฉินรับรู้อย่างชัดเจน เนื่องจากช่วงเวลาที่เสด็จอาเก้าว่างงาน เขามาหานางที่นี่อยู่บ่อยครั้ง และทุกครั้งที่นางได้ยินเรื่องราวเหล่านี้ นางรู้สึกนับถือในตัวของหวังจิ่นหลิง ไม่เคลื่อนไหวสุ่มสี่สุ่มห้า แต่เมื่อเคลื่อนไหวก็ทำให้อีกฝ่ายไร้ซึ่งหนทางตอบโต้
เมื่อได้ยินว่าโจวอ๋องเข้ามาตีสนิท เฟิ่งชิงเฉินก็อดไม่ได้ที่จะหัวเราะออกมา “ทันทีที่ลงมือก็ให้ตำแหน่งฮองเฮา โจวอ๋องผู้นี้เป็นคนใจกว้างเหลือเกิน ปัญหาก็คือ เขาไม่คิดว่าตนเองลงมือหุนหันพลันแล่นไปหน่อยหรือ ต้องรู้ก่อนว่าตระกูลหวังของเจ้าไม่เคยแสดงความภักดีต่อผู้ใดนอกจากองค์จักรพรรดิ”
ต่อให้เป็นคนทรยศของตระกูลหวัง เขาก็เป็นสุนัขรับใช้ของพระจักรพรรดิ และฟังคำสั่งของจักรพรรดิ ที่จักรพรรดิยอมทนกับตระกูลหวังมาได้นานถึงเพียงนี้ ทั้งหมดก็เป็นเพราะตระกูลหวังไม่เคยเข้ามาเกี่ยวข้องกับการแย่งชิงอำนาจ พวกเขาเพียงแค่รับใช้ราชวงศ์เท่านั้น
“เรื่องของโจวอ๋องอย่าว่าแต่ข้าเลย แม้แต่ตัวเขาเองก็ไม่เชื่อ นี่เป็นเพียงการล่อลวง เป็นการทดสอบที่จักรพรรดิมอบให้กับตระกูลหวังและโจวอ๋อง
เรื่องที่เกิดขึ้นครั้งที่แล้ว แม้มิได้อธิบายออกมาอย่างชัดเจน แต่ทุกคนต่างรู้ดีว่าราชวงศ์มีส่วนเข้ามาเกี่ยวข้องกับการแย่งชิงอำนาจในตระกูลหวังอย่างไม่เป็นธรรม
แน่นอน นี่ไม่ใช่การทดสอบเสียทั้งหมด นี่ถือเป็นสิ่งปลอบโดยที่จักรพรรดิมอบให้กับตระกูลหวังด้วยเช่นกัน เขาต้องการยืมปากของโจวอ๋องมาบอกให้ตระกูลหวังได้รับรู้ว่าตราบใดที่ตระกูลหวังประพฤติตัวเรียบร้อยไม่ออกนอกลู่นอกทาง เป็นไปได้ว่าในอนาคตตระกูลหวังอาจเป็นอีกหนึ่งตัวเลือก” หวังจิ่นหลิงกล่าวออกมาพร้อมรอยยิ้ม ความเหนื่อยล้าในดวงตาของเขาจางหายไป ทำให้ผู้คนต่างสัมผัสได้ถึงสายลมในฤดูใบไม้ผลิ
ไม่สนว่าจะเกิดเรื่องอะไรขึ้น ไม่สนว่าจะผ่านเรื่องอะไรมามากน้อยเพียงใด หวังจิ่นหลิงก็ยังคงเป็นหวังจิ่นหลิงที่ชีวิตเต็มไปด้วยพลัง เมื่อเห็นว่าหวังจิ่นหลิงไม่ได้รับผลกระทบกับเรื่องที่เกิดขึ้นในตระกูลแต่อย่างใด เฟิ่งชิงเฉินก็รู้สึกโล่งใจลงมิน้อย
“เรื่องซับซ้อนที่พวกเจ้ากำลังเผชิญอยู่นั้น ข้ามิเข้าใจ และขี้เกียจที่จะเข้าไปยุ่ง จิ่นหานกำลังอยู่ในช่วงฟื้นตัว เวลานี้เข้าฟื้นสภาพกลับมาเบื้องต้นโดยสมบูรณ์ เข้าไปเยี่ยมเขาด้วยกันเถิด” เรื่องเหล่านี้เสด็จอาเก้าเคยวิเคราะห์ให้นางฟังมาก่อนหน้านี้แล้ว เวลานี้นางก็เห็นเป็นเพียงเรื่องตลกเท่านั้น
แค่คำพูดจะไปเชื่อได้อย่างไร หากคิดว่าจักรพรรดิคิดจะปลอบโยนตระกูลหวังด้วยสิ่งเหล่านี้ เห็นทีคงเป็นได้เพียงเรื่องตลก คิดว่าหวังจิ่นหลิงเป็นคนไร้เดียงสาหรืออย่างไร
“ดี” หวังจิ่นหลิงลุกขึ้นยืน อย่างสงบ หากความกังวลและความกระตือรือร้นในดวงตาของเขาไม่ได้ทรยศต่อเขา เฟิ่งชิงเฉินคงคิดว่าหวังจิ่นหลิงไม่สนใจอะไรเลย
“อย่ากังวล การฟื้นตัวของจิ่นหานนั้นยอดเยี่ยม เขาจะสามารถขี่ม้าไปรอบเมืองจักรพรรดิเหมือนก่อนได้ในอีกไม่ช้า” เฟิ่งชิงเฉินนับถือในพลังกายของหวังจิ่นหานเป็นอย่างมาก การฟื้นฟูของเขานั้นรวดเร็วกว่าที่นางคิดเอาไว้อย่างเหลือเชื่อ
ยากที่หวังจิ่นหลิงจะมีเวลาว่าง เมื่อว่างเขามักจะมาเยี่ยมหวังจิ่นหาน แต่คิดไม่ถึงว่าในเวลานั้น คนรับใช้ของเขากลับวิ่งเข้ามาตะโกนว่าเกิดเรื่องใหญ่ขึ้น!