นางสนมแพทย์อัจฉริยะ - บทที่ 898 ลอบสังหาร ตีโอบจวนเฟิ่ง
นางสนมแพทย์อัจฉริยะ บทที่ 898 ลอบสังหาร ตีโอบจวนเฟิ่ง
เกิดเรื่องใหญ่ขึ้นแล้ว!
“เกิดเรื่องอะไรขึ้น?” เฟิ่งชิงเฉินอยู่ด้านหน้าของหวังจิ่นหลิงหนึ่งก้าว นางรีบหันกลับมาด้านหลัง เห็นใบหน้าที่จริงจังของหวังจิ่นหลิงจึงถามออกมาด้วยความเป็นห่วง
“ชิง……”
ในตอนที่หวังจิ่นหลิงกำลังจะพูดออกมา ด้านนอกก็มีเสียงระเบิดดังขึ้นอย่างรุนแรง ทำให้เฟิ่งชิงเฉินตกใจเป็นอย่างมาก “เกิดเรื่องอะไรขึ้น?”
ก่อนปีใหม่จวนก็เพิ่งถูกคนเข้ามาทำลาย เวลานี้ผ่านปีใหม่มาแล้ว ยังจะถูกคนเข้ามาก่อกวนอีก ใครกันที่กล้าถึงเพียงนี้ กล้าเข้ามาทำลายจวนเฟิ่ง
“คุณหนู ท่านเย่นำทหารม้ามากลุ่มหนึ่ง สาปแช่งจะเอาชีวิตท่านอยู่ด้านนอก” ทงจือรีบวิ่งเข้ามาคุกเข่าในทันใด ใบหน้าของนางเป็นสีแดง ไม่รู้ว่าโกรธหรือหนีเข้ามา
“ท่านเย่ต้องการเอาชีวิตข้า? เกิดเรื่องอะไรขึ้น? เร็ว รีบออกไปดู” เฟิ่งชิงเฉินสับสนเล็กน้อย ในตอนที่นางกำลังจัดเตรียมผู้คนเพื่อออกไปเผชิญหน้ากับเย่เย่ หวังจิ่นหลิงก็รั้งนางเอาไว้
“ชิงเฉิน เจ้าเมืองเย่เฉิงถูกคนลอบสังหารตอนออกไปนอกเมือง” หวังจิ่นหลิงเล่าข่าวที่ตนเองเพิ่งจะได้รับรู้ให้กับเฟิ่งชิงเฉินฟัง
เฟิ่งชิงเฉินกล่าวออกมาด้วยความตกใจ “ว่าอย่างไร? เจ้าเมืองเย่เฉิงตายแล้วงั้นหรือ? วันนี้เขาเพิ่งจะเดินทางกลับเมืองเย่เฉิงมิใช่หรือ อยู่ดี ๆ จะตายได้อย่างไร?”
“เจ้าเมืองเย่เฉิงถูกลอบสังหารตอนที่อยู่ห่างจากเมืองประมาณสิบลี้” หวังจิ่นหลิงบอกข่าวที่ตนเองรับรู้ให้กับเฟิ่งชิงเฉินฟัง
“ถูกลอบสังหารทันทีเมื่อเดินทางออกจากเมือง? รอบนอกของเมืองเย่เฉิงเต็มไปด้วยองครักษ์ พวกเขาไร้ความสามารถเช่นนี้เลยงั้นหรือ?” เฟิ่งชิงเฉินกล่าวอย่างเหยียดหยาม
นางรู้เรื่องที่เจ้าเมืองเย่เฉิงเดินทางกลับไปยังเมืองเย่เฉิง เวลานี้เมืองเย่เฉิงกำลังเผชิญหน้ากับปัญหาทั้งภายในและภายนอก ภายใต้การร่วมมือกันของตระกูลซูและยอดชุมชน ทำให้สิ่งของต่าง ๆ ในเมืองเย่เฉิงมีมูลค่าสูง ทำให้ประชาชนมากมายนั้นเดือดร้อน หากเจ้าเมืองเย่เฉิงยังไม่รีบเดินทางกลับไปเกรงว่าอีกไม่นานเขาคงต้องเผชิญหน้ากับเมืองอันว่างเปล่า
แต่คิดไม่ถึงว่าจะมีคนกล้าลอบสังหารเจ้าเมืองเย่เฉิงระหว่างช่วงเดินทางกลับ ต้องกล่าวเลยว่าผู้ลอบสังหารผู้นี้หัวใสเป็นอย่างยิ่ง เมื่อเมืองเย่เฉิงไร้ซึ่งเจ้าเมือง เพียงแค่คนไม่เอาไหนอย่างเย่เย่ เต็มที่ก็สามารถดูแลเมืองเย่เฉิงได้ไม่เกินห้าปี
“ไม่ใช่เพราะเจ้าเมืองเย่เฉิงไร้ความสามารถ แต่เป็นเพราะศัตรูนั้นแข็งแกร่งเกินไป เหล่าองครักษ์ของเจ้าเมืองเย่เฉิงเสียชีวิตลงภายในการโจมตีเพียงครั้งเดียว ไม่มีแม้แต่ผู้รอดชีวิต” หวังจิ่นหลิงกล่าวด้วยใบหน้าอันเคร่งขรึม
การตายของเจ้าเมืองเย่เฉิงเป็นเรื่องดีสำหรับพวกเขา แต่หากเกี่ยวข้องกับเฟิ่งชิงเฉิน แบบนั้นก็ถือว่าเป็นปัญหา
“ไม่มีแม้แต่ผู้รอดชีวิต ผู้ลงมือช่างโหดเหี้ยม แต่ทำได้ยอดเยี่ยม ในเมื่อไม่มีใครรอดชีวิต เช่นนั้นเย่เย่จะใช้เหตุผลอันใดมาเอาชีวิตข้า เจ้าเมืองเย่เฉิงเสียชีวิตลงในอาณาเขตของตงหลิง นั่นเป็นเรื่องขององค์จักรพรรดิ เย่เย่กำลังพาลและเล่นงานผู้อ่อนแออย่างนั้นหรือ” เฟิ่งชิงเฉินกล่าวอย่างเย้ยหยัน
นางไม่เคยไปสร้างปัญหาให้กับเย่เย่ เย่เย่กลับมาหานางเสียก่อน เป็นการรนหาที่ตายอย่างแท้จริง ภายใต้สถานการณ์อันย่ำแย่ของเมืองเย่เฉิงที่อยู่ตรงหน้า เย่เย่ยังไม่รู้ว่าตนเองไปทำให้ผู้ใดขุ่นเคือง แต่กลับเปิดศึกสุ่มสี่สุ่มห้า ช่างเป็นเรื่องน่าเศร้าสำหรับประชาชนชาวเย่เฉิงเหลือเกิน
“มิใช่ เย่เย่มาหาเจ้าเพราะคิดว่ามือสังหารที่ฆ่าพ่อของเขาเป็นคนของเจ้า” หวังจิ่นหลิงนำเรื่องที่รู้มาเล่าให้เฟิ่งชิงเฉินฟังอีกครั้ง “เย่เย่ได้ยินข่าวการตายของเจ้าเมืองเย่เฉิง เขาก็รีบพาคนออกมาทันที พบว่าด้านหน้าศพของเจ้าเมืองเย่เฉิงมีอักษรเฟิ่งเขียนอยู่ และมีบาดแผลขนาดเท่ากับดอกตะปูบนหน้าผากของเขา และด้านในก็มีสิ่งที่คล้ายกับอาวุธลับที่เจ้าใช้ เขาจึงมั่นใจว่ามือสังหารผู้นั้นคือเจ้า”
วันนี้ช่วงเช้า เฟิ่งชิงเฉินอยู่ในจวนเฟิ่งตลอดเวลา หวังจิ่นหลิงรับรู้มันเป็นอย่างดีว่าเรื่องนี้ไม่ใช่ฝีมือของเฟิ่งชิงเฉิน ดังนั้นเรื่องนี้จึงเป็นการสร้างสถานการณ์เพื่อโยนความผิด
หวังจิ่นหลิงรีบไตร่ตรองเรื่องราวทั้งหมดอย่างรวดเร็วว่าใครกันแน่ที่เป็นคนลอบสังหารเจ้าเมืองเย่เฉิง และต้องการโยนความผิดให้แก่เฟิ่งชิงเฉิน เมื่อลองคิดไปคิดมาก็คิดว่ามีเพียงไม่กี่คน แต่หวังจิ่นหลิงก็ไม่คิดว่าพวกเขาเหล่านั้นจะมีความสามารถมากพอที่จะลงมือสังหารเจ้าเมืองเย่เฉิงตอนที่อยู่นอกเมือง
“แซ่ของข้า อาวุธลับที่ข้าใช้เป็นประจำ? มันเกิดจากความจงใจของอีกฝ่ายอย่างเห็นได้ชัด นี่คิดจะโยนความผิดเรื่องการลอบสังหารเจ้าเมืองเย่เฉิงให้กับข้าอย่างนั้นหรือ?” ดวงตาของเฟิ่งชิงเฉินเต็มไปด้วยแสงแห่งความเยือกเย็น
“แต่น่าเสียดาย เวลานี้เมืองเย่เฉิงไม่ใช่เมืองเย่เฉิงอย่างที่เคยเป็น คิดจะโยนความผิดหาว่าข้าสังหารเจ้าเมืองเย่เฉิง เช่นนั้นก็ต้องย้อนกลับไปมองตนเองก่อนว่ามีความสามารถเช่นนั้นอยู่หรือไม่ ข้าอยากจะรู้เหลือเกินว่า เย่เย่ที่ไม่มีเจ้าเมืองเย่เฉิงคอยให้การสนับสนุนจะทำอะไรได้บ้าง”
ใบหน้าของเฟิ่งชิงเฉินเต็มไปด้วยความเยือกเย็น เดินออกไปด้านนอกอย่างภาคภูมิ หวังจิ่นหลิงรีบลุกขึ้นและเดินตามออกไป “ข้าจะออกไปเป็นเพื่อนเจ้า”
เขาจะปล่อยให้เฟิ่งชิงเฉินออกไปเผชิญกับเรื่องเช่นนี้ด้านนอกเพียงลำพังได้อย่างไร อย่าอ้างว่าเวลานี้เขาอยู่ในจวนเฟิ่ง ต่อให้เขาไม่อยู่ในจวนเฟิ่ง เมื่อได้ยินเรื่องดังกล่าวเขาก็จะรีบเดินทางมาทันที
เฟิ่งชิงเฉินไม่ได้ปฏิเสธแต่อย่างใด นางเดินไปด้านนอกพร้อมกับหวังจิ่นหลิง
“คุณหนู” องครักษ์ก้าวออกมาด้านหน้าและรายงานเรื่องราวที่เกิดขึ้นให้กับเฟิ่งชิงเฉินทราบ
เย่เย่ไม่ใช่หวังจิ่นหลิง เย่เย่ทำเรื่องอะไรด้วยความเลือดร้อน และหุนหันพลันแล่นเกินใคร
หลังจากที่เย่เย่กลับมาจากนอกเมือง สั่งให้คนเก็บศพของเจ้าเมืองเย่เฉิงกลับไป ตนเองก็ได้พาองครักษ์ที่เหลืออยู่ของเจ้าเมืองเย่เฉิงเดินทางมายังจวนเฟิ่งด้วยความอาฆาต ตะโกนว่าจะเอาชีวิตของเฟิ่งชิงเฉินโดยไม่มีการพูดคุย สั่งให้คนบุกทำลายประตูของจวนเฟิ่ง แต่ประตูสีชาดจะถูกทำลายง่ายขนาดนั้นได้อย่างไร ทำลายอยู่นาน นอกจากรอยบุบรอยข่วนที่เกิดขึ้นมันก็ไม่ส่งผลแต่อย่างใด
เห็นผู้คนที่เย่เย่พามากำลังทุบทำลายประตู ด้วยวิธีการของเย่เย่ เฟิ่งชิงเฉินไม่เห็นค่ามันแม้แต่น้อย เฟิ่งชิงเฉินยืนอยู่ตรงกลาง ออกคำสั่งอย่างดุดัน “เปิดประตู อย่าปล่อยให้เย่เย่คิดว่าพวกเราหวาดกลัว”
“ขอรับ” เมื่อเห็นเฟิ่งชิงเฉินปรากฏตัวออกมา เหล่าองครักษ์ของจวนเฟิ่งเต็มไปด้วยความมั่นใจ เปิดประตูออกไปเผชิญหน้ากับผู้มาเยือนอย่างไม่หวาดกลัว
เย่เย่มีอะไรน่ากลัว จวนเฟิ่งต่างรู้ดีอยู่แก่ใจ มีเฟิ่งชิงเฉินคอยถือหางอยู่ ขอแค่เป็นคนของจวนเฟิ่ง หากเกิดเรื่องอะไรขึ้นมา เฟิ่งชิงเฉินไม่มีทางมองดูพวกเขาอย่างนิ่งเฉย มีเฟิ่งชิงเฉินอยู่ ขอแค่พวกเขาไม่ทำอะไรผิดต่อสวรรค์ก็ไม่จำเป็นต้องกลัวอะไร
ตุบ ตุบ……เพลาไม้หมุนจนเกิดเสียงดังแสบหู แต่เสียงนั้นถูกกลบด้วยเสียงทุบตีประตู หวังจิ่นหลิงเห็นแววตาที่เต็มไปด้วยความเย้ยหยันของเฟิ่งชิงเฉิน มุมปากของเขาก็เปิดขึ้นเล็กน้อย
ดง ดง ดง……เหมือนกับที่เฟิ่งชิงเฉินคิด ผู้ที่ทำการทุบตีทำลายประตูอยู่ด้านนอกไม่ได้เตรียมการป้องกัน เมื่อประตูเปิดออกอย่างกะทันหัน ภายใต้แรงเฉื่อยของประตู ทำให้ผู้คนเหล่านั้นเสียหลักและล้มลงกับพื้น
ราวกับโดมิโนหลายร้อยชิ้น ทุกคนถูกประตูดันจนล้มลงอย่างไม่มีข้อยกเว้น ล้มลงอยู่ต่อหน้าจวนเฟิ่ง หมดสภาพที่จะทำการต่อสู้
“ฮ่าฮ่าฮ่า” ภายใต้ความคิดของเจ้านาย เหล่าองครักษ์ของเฟิ่งชิงเฉินหัวเราะออกมาดังลั่น พวกเขาลืมไปแล้วว่ามารยาทคือสิ่งใด หัวเราะเยาะอีกฝ่าย ส่วนคนที่ล้มลงอยู่ไม่ไกล พวกเขาไม่มีความเกรงใจ เตะ ถีบลงไปบนร่างกายของพวกเขา ทำร้ายองครักษ์ของเมืองเย่เฉิงจนร้องโอดครวญ
“เฟิ่งชิงเฉิน!” เย่เย่เดินออกมาจากองครักษ์ที่ล้อมรอบเขาไว้ ดวงตาทั้งสองข้างแดงก่ำ จ้องมองเฟิ่งชิงเฉินด้วยใบหน้าที่เต็มไปด้วยความเหี้ยมโหด ดุร้ายราวกับหมาป่า เหมือนกับพร้อมที่จะฉีกร่างของเฟิ่งชิงเฉินให้เป็นชิ้น ๆ ในทุกเมื่อ
เฟิ่งชิงเฉินไร้ซึ่งความหวาดกลัว นางตอบกลับไปว่า “ท่านเย่!”
“เฟิ่งชิงเฉิน นางผู้หญิงสารเลว เจ้าต้องชดใช้ชีวิตพ่อของข้าด้วยชีวิตของเจ้า” เย่เย่ชักดาบออกมาชี้มายังหน้าของเฟิ่งชิงเฉิน
“คุณหนู” องครักษ์จวนเฟิ่งก้าวออกมา ปกป้องเฟิ่งชิงเฉินไว้ตรงกลาง กลัวว่าเย่เย่จะหุนหันพลันแล่นและทำร้ายผู้คนในที่สาธารณะ และเมื่อจักรพรรดิทราบว่าพ่อของเข้าเพิ่งจะเสียชีวิต ทำให้เขาขาดสติ จักรพรรดิก็อาจจะหลับตาไว้ข้างหนึ่ง
“ไม่เป็นไร พวกเจ้าถอยออกไป ข้าอยากรู้ว่าคุณชายแห่งเมืองเย่เฉิงจะโอหังได้มากถึงเพียงใดเมื่ออยู่ในเมืองจักรพรรดิแห่งตงหลิง” เฟิ่งชิงเฉินโบกมือ บอกให้เหล่าองครักษ์ถอยออกไป ก้าวออกมาเผชิญหน้ากับเย่เย่ เมื่อเผชิญหน้ากับจิตสังหารอันเยือกเย็นของเย่เย่ เฟิ่งชิงเฉินทำแค่เพียงยิ้มออกมา
“ท่านเย่ จวนเฟิ่งมิต้อนรับท่าน หากมิมีเรื่องอันใด ขอให้ท่านหันหลังและก้าวไปด้านหน้า หลังจากก้าวไปได้ห้าสิบก้าวให้หันซ้าย จากนั้นก็รีบไสหัวไปให้ไกล อย่ามายืนขวางหูขวางตาข้าอยู่หน้าจวนเฟิ่ง”
“เฟิ่งชิงเฉิน เจ้าวางใจ หลังจากข้าสังหารเจ้าแล้ว ข้าจะจากไปทันที เพราะข้ารู้สึกขยะแขยงแค่อยู่ที่นี่เพิ่มแม้เพียงเสี้ยววินาที”
เวลานี้เย่เย่ไร้เหตุผลอย่างสิ้นเชิง เห็นเฟิ่งชิงเฉินห่างจากตนเองเพียงแค่สามก้าว เขายกดาบขึ้นและชี้ปลายดาบมายังกึ่งกลางคิ้วทั้งสองข้างของเฟิ่งชิงเฉิน……