นางสนมแพทย์อัจฉริยะ - บทที่ 899 ลงมือ ไม่มีความสามารถอย่ามาอวดดี
นางสนมแพทย์อัจฉริยะ บทที่ 899 ลงมือ ไม่มีความสามารถอย่ามาอวดดี
ดาบของเย่เย่นั้นรวดเร็วเป็นอย่างมาก แต่องครักษ์ของเฟิ่งชิงเฉินก็ไม่ธรรมดา พวกเขาเฝ้าระวังเย่เย่มาโดยตลอด ทันใดที่เห็นเย่เย่ลงมือ พวกเขาก็ตอบโต้กลับไปโดยไม่เกรงใจ
ฝ่ายเริ่มโจมตีกับฝ่ายป้องกันนั้นแตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง กรณีแรกจะติดคุกเมื่อสังหารผู้คน แต่กรณีหลังอย่าว่าแต่ประชาชนเลย แม้แต่ขุนนางหรือรัฐบาลเองก็สามารถเข้าใจได้
การป้องกันเป็นสิ่งพื้นฐาน สิ่งนี้ไม่ว่าจะอยู่ที่ใดก็สามารถใช้ได้อย่างถูกต้อง ดังนั้นเจ้าจะไม่มีทางนิ่งเฉยเมื่อถูกอีกฝ่ายเข้ามาเอาชีวิต และทำแค่เพียงกล่าวหาว่าอีกฝ่ายเป็นฆาตกรรม
เย่เย่พาเหล่าองครักษ์มาบุกถึงจวนเฟิ่ง และลงมืออย่างไม่ลังเล เวลานี้สถานการณ์ทุกอย่างเอื้อประโยชน์ให้แก่เฟิ่งชิงเฉิน เมื่อเฟิ่งชิงเฉินบรรลุเป้าหมาย นางจะเลิกโจมตี ถอยกลับมา และหลีกเลี่ยงการต่อสู้
แต่เมื่อเห็นความแตกต่างระหว่างความแข็งแกร่งของศัตรูกับตนเอง แววตาของเฟิ่งชิงเฉินเผยให้เห็นถึงความกังวล จำนวนคนที่เย่เย่พามานั้นมากกว่าคนของจวนเฟิ่งหลายเท่า เฟิ่งชิงเฉินไม่รู้ว่าจะสามารถยื้อเวลาจนถึงกองทหารมาให้ความช่วยเหลือได้หรือไม่
“มิต้องกังวล นี่คือเมืองจักรพรรดิ อีกไม่นานทหารลาดตระเวนก็จะมาถึงแล้ว มิเป็นไรอย่างแน่นอน” หวังจิ่นหลิงยื่นมือออกไปปลอบโยนหวังจิ่นหลิงและรีบดึงมือออกทันใด
ยังคงมีร่องรอยของความอบอุ่นอยู่ในฝ่ามือของเขา หวังจิ่นหลิงนำมือไขว้หลังอย่างเงียบ ๆ เขากำมือไว้แน่น……
“ข้ารู้ มิเช่นนั้นข้าคงไม่มีทางออกมาท้าทายเย่เย่ เย่เย่หุนหันพลันแล่นเกินไป เจ้าเมืองเย่เฉิงจากไปแล้ว ข้าสงสัยเสียจริงว่าภายใต้การปกครองของเขา เมืองเย่เฉิงจะกลายเป็นเช่นไร” เฟิ่งชิงเฉินรู้ว่าเสด็จอาเก้าวางแผนโจมตีเมืองเย่เฉิงมาโดยตลอด และเหตุการณ์ครั้งนี้ไม่รู้ว่ามีส่วนเกี่ยวข้องกับเสด็จอาเก้าด้วยหรือไม่
“มิว่าจะเปลี่ยนแปลงไปอย่างไร มันก็มิมีทางกลายเป็นเมืองอันว่างเปล่าหรือเมืองร้างเป็นแน่ เพราะคนพวกนั้นมิมีทางยอมเป็นอันขาด” หวังจิ่นหลิงรู้ดี มีผู้คนมากมายต้องการหาผลประโยชน์จากเมืองเย่เฉิง และทุกคนต่างรู้ดี สิ่งที่ล้ำค่าที่สุดของเมืองเย่เฉิงไม่ใช่ดินแดน แต่เป็นทหารม้าและประชาชน
“เรื่องนี้มันก็จริง เมืองอันว่างเปล่าไม่คู่ควรแก่การลงมือของคนพวกนั้น แต่ทหารม้าเหล็กและประชาชนแห่งเมืองเย่เฉิงจะรับใช้และจดจำตระกูลเย่ในฐานะเจ้าเมืองเท่านั้น ดังนั้นมิว่าคนเหล่านั้นจะต้องการเมืองเย่เฉิงมากเพียงใด พวกเขาก็มิมีทางทำลายตระกูลเย่ และไม่มีทางทำลายเมืองเย่เฉิง” เฟิ่งชิงเฉินพยักหน้า เมื่อเห็นเย่เย่ที่จ้องมองมาที่นางราวกับสัตว์ป่า ความรู้สึกหวาดกลัวแวบเข้ามาในหัวใจของเฟิ่งชิงเฉิน
แววตาที่เย่เย่จ้องมองนางมันช่างน่ากลัวเสียเหลือเกิน เขาคิดว่านางเป็นคนสังหารบิดาของเขาโดยแท้จริง เย่เย่คงไม่โกรธถึงขั้นพาทหารม้าเหล็กแห่งเมืองเย่เฉิงออกมาเพื่อบดขยี้นาง
ด้วยนิสัยอันบ้าคลั่งของเย่เย่ มันก็ไม่ใช่ว่าจะเป็นไปไม่ได้ เฟิ่งชิงเฉินขมวดคิ้วเล็กน้อยพร้อมถามออกไปว่า “จิ่นหลิง เจ้าคิดว่าใครเป็นคนใส่ร้ายข้า ดูจากท่าทางของเย่เย่แล้ว เขาคงมั่นใจเป็นอย่างมากว่าข้าคือผู้ที่สังหารบิดาของเขา”
คนที่โยนความผิดให้นาง จะต้องคิดจะเอาชีวิตของนางเป็นแน่
หวังจิ่นหลิงขมวดคิ้วเล็กน้อย มือที่กำอยู่แน่นคลายออก “นี่ไม่ใช่การโยนความผิดให้กับเจ้า แต่เป็นการโยนความผิดให้กับเสด็จอาเก้า”
“เจ้ากำลังจะบอกว่า มีคนต้องการเพิ่มความแค้นที่เย่เย่มีต่อเสด็จอาเก้างั้นหรือ? งั้นเหตุใดจึงไม่โยนความผิดให้แก่เสด็จอาเก้าโดยตรง แต่กลับดึงข้าเข้ามาเกี่ยว” เฟิ่งชิงเฉินหันกลับไป ถามออกมาด้วยใบหน้าแห่งความสงสัย
“ยิงปืนนัดเดียวได้นกสองตัว เมื่อราดน้ำสกปรกลงบนร่างกายของเจ้า เสด็จอาเก้าก็มิอาจล้างมันให้สะอาดได้ แน่นอนว่านี่เป็นเพียงการคาดเดาของข้า มันอาจมิใช่เรื่องจริง เรื่องนี้พวกเราจะต้องพูดคุยปรึกษากับเสด็จอาเก้าเสียก่อน เวลานี้เย่เย่ไร้ซึ่งสติในการควบคุมตนเอง รอให้เขาสงบสติอารมณ์ลงก่อนค่อยไถ่ถามหาความเชื่อมโยงไปถึงตัวของเสด็จอาเก้า”
ความแค้นระหว่างเฟิ่งชิงเฉินและเย่เย่นั้นเปิดเผยให้เห็นอย่างชัดเจน เฟิ่งชิงเฉินมีโอกาสที่จะสังหารเจ้าเมืองเย่เฉิง และภายใต้ความช่วยเหลือของเสด็จอาเก้า นางก็มีพลังมากพอที่จะสังหารเจ้าเมืองเย่เฉิง
หมากกระดานนี้เป็นหมากที่ยากจะเดิน แต่สำหรับเย่เย่แล้วมันเป็นหมากที่มีประโยชน์เป็นอย่างมาก เย่เย่มีอคติต่อเฟิ่งชิงเฉิน และคิดว่าสิ่งที่ตนคิดนั้นเป็นความจริง นอกจากจะหาผู้ลอบสังหารที่แท้จริงพบ ไม่ว่าอย่างไรเย่เย่ก็คงคิดว่าผู้ที่สังหารบิดาของเขาก็คือเฟิ่งชิงเฉิน
“หายนะครั้งนี้ข้าคงต้องเป็นผู้แบกรับเป็นแน่ มิรู้ว่าเรื่องราวจะจบลงเมื่อใด และมิรู้ว่าทางจักรพรรดิทรงมีความคิดเช่นไร” เฟิ่งชิงเฉินกุมขมับตนเอง รอให้ตี๋ตงหมิงพาทหารมาสยบความวุ่นวาย และพาพวกเขาไปสงบสติอารมณ์
ส่วนคนอื่นเฟิ่งชิงเฉินก็ไม่ได้ใส่ใจถึงขนาดนั้น ต่อให้จักรพรรดิยินยอม เสด็จอาเก้าก็ไม่มีทางยอมส่งนางไปตายเพื่อสยบความโกรธของเย่เย่
“อย่าได้กังวล เรื่องราวมันไม่ได้รุนแรงอย่างที่เจ้าคิด และเจ้ายังมีพวกข้าอยู่” แววตาของหวังจิ่นหลิงเต็มไปด้วยความมุ่งมั่น คำพูดของเขาสามารถปลอบโยนจิตใจของผู้คนได้ ทำให้เฟิ่งชิงเฉินไม่ได้ตื่นตระหนกมากจนเกินไป และหัวใจของนางก็ผ่อนคลายลงมาก
ในช่วงเวลาแห่งความวุ่นวาย เย่เย่ไร้ซึ่งสติสัมปชัญญะ ไม่ว่าผู้ที่เข้าใกล้จะเป็นศัตรูหรือมิตร เขาก็ไม่สนใจทั้งนั้น เอาแต่พุ่งเข้าใส่เฟิ่งชิงเฉินเพื่อต้องการล้างแค้นให้แก่บิดาของเขา
เห็นการพูดคุยกันระหว่างเฟิ่งชิงเฉินกับหวังจิ่นหลิง ความโกรธของเขาพุ่งสูงขึ้น ไม่สนเหล่าองครักษ์ที่กำลังขวางทางเขาอยู่ ยกดาบขึ้นและพุ่งมายังเฟิ่งชิงเฉิน
“เฟิ่งชิงเฉิน ข้าจะสังหารเจ้าเพื่อบูชาให้แก่วิญญาณของพ่อข้า”
ไร้ซึ่งความหวาดกลัว หัวใจของเย่เย่ในเวลานี้เต็มไปด้วยความปรารถนาแห่งการฆ่า ความเกลียดชังเป็นแรกผลักดัน ปลดปล่อยความแข็งแกร่งที่ไม่เคยมีมาก่อน พุ่งเข้าใส่เฟิ่งชิงเฉินเพื่อหวังจะเอาชีวิต
องครักษ์ของจวนเฟิ่งก้าวออกมาขวาง รับดาบยาวของเย่เย่ไว้ พยายามผลักให้เขาถอยกลับไป แต่ดูเหมือนว่าเย่เย่จะไม่รู้จักว่าอะไรคือความเจ็บปวด ไม่ว่าบนร่างกายของเขาจะมีบาดแผลมากน้อยเพียงใด เขายังคงยืนหยัด จับดาบไว้แน่นเพื่อมุ่งจะเอาชีวิตของเฟิ่งชิงเฉิน
“ชิงเฉิน ระวัง” หวังจิ่นหลิงยื่นมือออกไปดึงเฟิ่งชิงเฉินเข้ามาไว้ในอ้อมแขน จากนั้นม้วนตัว ปกป้องเฟิ่งชิงเฉินไว้ในอ้อมกอดของเขา
“จิ่นหลิง……” สีหน้าของเฟิ่งชิงเฉินเปลี่ยนไปอย่างมาก นางรีบผลักหวังจิ่นหลิงออกไป แต่เวลานี้บัณฑิตอย่างหวังจิ่นหลิงกลับเต็มไปด้วยพลัง กอดเฟิ่งชิงเฉินไว้ในอ้อมแขน ไม่ยอมให้เฟิ่งชิงเฉินเคลื่อนไหว เฟิ่งชิงเฉินจึงตะโกนสาปแช่งออกมา “หวังจิ่นหลิง”
จะปล่อยให้เกิดเรื่องแบบนี้ขึ้นไม่ได้เป็นอันขาด จะปล่อยให้เกิดเรื่องขึ้นกับคนอื่นเพียงเพราะต้องการปกป้องนางไม่ได้
ดวงตาของเฟิ่งชิงเฉินเป็นสีแดง และในช่วงเวลาวิกฤตนี้ ร่างเงาสีดำบินลงมาจากท้องฟ้า ในตอนที่ดาบกำลังฟันลงด้านหลังของหวังจิ่นหลิง ซึ่งเป็นช่วงเวลาที่เย่เย่ไม่ทันตั้งตัว แรงอันทรงพลังได้ดึงร่างของเย่เย่ออกไปทำให้การโจมตีดังกล่าวไม่เกิดผล
อ่า……เย่เย่กรีดร้อง ล้มลงไปภายใต้แรงปะทะอันรุนแรง
“นายน้อย ระวัง” เหล่าองครักษ์ของเมืองเย่เฉิงต่างหยุดมือ ก้าวออกมาด้านหน้าเพื่อประคองร่างของเย่เย่ที่เต็มไปด้วยเลือด
“หวังจิ่นหลิง เจ้าทำให้ข้าตกใจแทบแย่ เมื่อสักครู่มันอันตรายแค่ไหนเจ้ารู้หรือไม่ เย่เย่เสียสติไปแล้ว เจ้าเองก็เสียสติไปด้วยแล้วหรือไง” อันตรายได้รับการแก้ไข เฟิ่งชิงเฉินผลักหวังจิ่นหลิงออกไปด้วยแรงที่มี ดวงตาอันงดงามคู่นั้นของนางเบิกกว้าง
ข้ารู้ว่ามันอันตรายมากเพียงใด ดังนั้นข้าจึงออกไปขวางหน้าเจ้าเอาไว้ คำพูดนี้ไม่ได้ออกไปจากปากของหวังจิ่นหลิง เขาแค่กล่าวออกไปว่า “มิต้องกังวล ข้าก็มิได้เป็นไรมิใช่หรือ”
“มิเป็นไรอะไรของเจ้า หากจั่วอั้นมาช่วยไว้ไม่ทัน เวลานี้เจ้าคงได้รับบาดเจ็บสาหัสไปแล้ว” เฟิ่งชิงเฉินโกรธมาก ตอนที่เย่เย่โจมตีมื่อสักครู่ นางเองก็สามารถตอบสนองได้ แม้ไม่แน่ใจว่าสามารถหลบการโจมตีได้ทั้งหมดหรือไม่ แต่นางก็มีวิธีตอบโต้ของนาง สามารถหลบการโจมตีตรงจุดสำคัญ แต่ก็ไม่คิดว่าหวังจิ่นหลิงจะออกมาขวางหน้านางเช่นนี้
นางยอมบาดเจ็บด้วยตนเองดีกว่าที่จะเห็นหวังจิ่นหลิงต้องมารับบาดเจ็บเพราะการปกป้องนาง
“เมื่อสักครู่เป็นเพียงอุบัติเหตุ มันจะมิเกิดเหตุการณ์เช่นนั้นอีกเป็นครั้งที่สอง” หวังจิ่นหลิงกล่าวออกมาเพื่อปลอบโยนเฟิ่งชิงเฉิน ด้วยคำพูดที่อ่อนโยนซึ่งปราศจากความกลัว หลังจากที่รอดพ้นจากความตายและแน่ใจแล้วว่าเฟิ่งชิงเฉินไม่เป็นอันตราย หวังจิ่นหลิงจึงหันไปหาชายชุดดำ และกล่าวขอบคุณจั่วอั้นอย่างไร้ซึ่งความรู้สึก “ขอบคุณสำหรับความช่วยเหลือ หวังจิ่นหลิงผู้นี้รู้สึกซาบซึ้งใจเป็นอย่างมาก”
“ไม่จำเป็นต้องขอบคุณ ข้าไม่ได้คิดจะช่วยเจ้า ไม่มีความสามารถก็อย่าทำตัวเป็นพระเอก มันมีแต่จะสร้างปัญหา” จั่วอั้นยืนกอดอกและกล่าวออกมา
คำพูดนี้ไม่มีความเกรงใจเลยแม้แต่น้อย เฟิ่งชิงเฉินมองมาที่หวังจิ่นหลิงด้วยความกังวล กังวลว่าหวังจิ่นหลิงจะโกรธหรือรู้สึกไม่พอใจ โชคดีที่หวังจิ่นหลิงถูกเลี้ยงดูมาเป็นอย่างดี จึงไม่ได้ติดใจกับคำพูดของจั่วอั้นเลยแม้แต่น้อย
“เจ้าพูดถูก หวังจิ่นหลิงสร้างแต่ปัญหา เวลานี้ด้านนอกยังเต็มไปด้วยความวุ่นวาย ข้าคิดว่าเจ้าควรจะลงมือเพื่อสยบความวุ่นวายด้านนอกเสีย”
หวังจิ่นหลิงกล่าวออกมาจากใจจริง จั่วอั้นจ้องมองมาที่เขาราวกับไม่เชื่อว่าอีกฝ่ายจะใจเย็นได้ถึงเพียงนี้เมื่อเผชิญหน้ากับปากอันเลวร้ายของเขา สามารถสงบได้ถึงเพียงนี้ สามารถชี้นำเขาได้อย่างไร้ร่องรอย เขาไม่รู้สึกรังเกียจเลย……