นางสนมแพทย์อัจฉริยะ - บทที่ 902 สารเลวไป ๆ มา ๆ ไม่กี่คน
นางสนมแพทย์อัจฉริยะ บทที่ 902 สารเลวไป ๆ มา ๆ ไม่กี่คน
ตระกูลซูไม่มีอำนาจหรือทรัพยากรมากมายถึงเพียงนั้น ดังนั้นการคาดเดาของตี๋ตงหมิงจึงไม่สมเหตุสมผล
หวังจิ่นหลิงยังดี เขาแค่ยิ้มและเก็บสายตาของเขา ส่วนเฟิ่งชิงเฉิน นางไม่เกรงใจ โต้กลับคำพูดของตี๋ตงหมิงไปโดยตรง
“ท่านซื่อจื่อ การคาดเดาของท่านมิสมเหตุสมผล จริงอยู่ที่ตระกูลซูมีโอกาสในการสังหาร แต่ตระกูลซูมิมีอำนาจมากพอที่จะทำเช่นนั้น พวกเขามิอาจสังหารเจ้าเมืองเย่เฉิงรวมถึงทหารองครักษ์รอบตัวเขาในดินแดนตงหลิงได้ในพริบตา และหนีหายไปอย่างรวดเร็ว
ต้องรู้ก่อนว่า เจ้าเมืองเย่เฉิงนั้นก็มิธรรมดา และเหล่าทหารของตงหลิงเองก็มิธรรมดาเช่นกัน ต่อให้ตระกูลซูสามารถสังหารพวกของเจ้าเมืองเย่เฉิงได้ แต่พวกเขาก็มิมีทางหลุดพ้นไปจากการไล่ล่าของเหล่าทหารตงหลิงได้ การที่ตระกูลซูคิดจะลอบสังหารเจ้าเมืองเย่เฉิง นั่นถือเป็นเรื่องอันตรายอย่างยิ่ง หากมิมีความจำเป็นอันยิ่งใหญ่ ตระกูลซูมิมีทางทำเรื่องเช่นนั้นแน่นอน
เนื่องจากหากเรื่องนี้ถูกเปิดเผย ตระกูลซูจะต้องเผชิญหน้ากับกองทหารม้าของเมืองเย่เฉิง มิใช่เรื่องจากเลยที่จะจัดการตระกูลซูกองทหารม้าแห่งเมืองเย่เฉิง และตระกูลซูจะต้องพบกับหายนะอันยิ่งใหญ่
และยังมีอีกเรื่องหนึ่ง จริงอยู่ที่ฮูหยินของเจ้าเมืองเย่เฉิงเป็นคนของตระกูลซู แต่เมืองเย่เฉิงมิใช่เมืองที่ตระกูลซูจะสามารถควบคุมได้ สำหรับตระกูลซูแล้ว ราชวงศ์หนานหลิงและตระกูลเย่เป็นที่พึ่งของตระกูลซู ตระกูลซูจะยอมแตกหักกับที่พึ่งพิงอย่างเมืองเย่เฉิงได้อย่างไร
หากเย่เย่ได้แต่งงานกับซูหว่านคงจะดี หรือไม่ก็หากใบหน้าของซูหว่านยังมิเสียโฉมก็คงจะดีกว่านี้ แต่ด้วยสถานการณ์ในเวลานี้ เรื่องของเย่เย่กับซูหว่านคงมิมีทางเป็นไปได้ เจ้าเมืองเย่เฉิงเสียชีวิต เพื่อความมั่นคงของเมืองเย่เฉิง เย่เย่จำเป็นจะต้องแต่งงานกับผู้หญิงของตระกูลอันยิ่งใหญ่เพื่อสยบความวุ่นวายภายในของเมืองเย่เฉิง และเมื่อถึงเวลานั้น ตระกูลซูจะไร้ประโยชน์”
การแต่งงานเป็นวิธีที่ดีที่สุดสำหรับการเชื่อมสัมพันธ์ของทั้งสองตระกูล เมืองเย่เฉิงมีคนของตระกูลซูอยู่แล้ว เพื่อผลประโยชน์ ตระกูลซูจึงอยากให้ความช่วยเหลือเย่เย่ แต่เย่เย่ไม่ต้องการแต่งงานกับซูหว่านเพื่อแลกกับความช่วยเหลือของตระกูลซู
เพื่อปกป้องเมืองเย่เฉิง เย่เย่จำเป็นจะต้องแต่งงานกับผู้หญิงในตระกูลใหญ่ตระกูลอื่น แต่ผู้ลงมือสังหารเจ้าเมืองเย่เฉิง ไม่มีทางเป็นตระกูลซูแห่งหนานหลิงอย่างแน่นอน
หวังจิ่นหลิงเองก็เห็นด้วยกับเรื่องนี้ การสังหารเจ้าเมืองเย่เฉิงสำหรับตระกูลซูแล้ว มูลค่าของมันสูงมาก แต่ผลประโยชน์ที่ได้รับมีเพียงเล็กน้อย เรื่องที่เสียมากกว่าได้เช่นนี้ ปกติไม่ค่อยมีใครทำกัน
“มิใช่ตระกูลซู เช่นนั้นจะเป็นผู้ใด? เวลานี้ใครที่อยากสังหารเจ้าเมืองเย่เฉิง คนผู้นั้นมีจุดประสงค์อันใด?” ตี๋ตงหมิงหันมาทางหวังจิ่นหลิงและเฟิ่งชิงเฉิน หวังว่าทั้งสองจะมอบคำตอบให้แก่เขา
“ข้าจะรู้ได้อย่างไร” เฟิ่งชิงเฉินไม่คิดจะตอบคำถามนี้ตั้งแต่แรก แต่แววตาของตี๋ตงหมิงร้อนเป็นไฟ ทำให้นางอดไม่ได้ที่จะเอ่ยปากออกมา
มือสังหารเป็นใคร เรื่องนี้นางเองก็ไม่รู้ แต่จุดประสงค์ของมันนั้นชัดเจน มันก็เหมือนกับที่หวังจิ่นหลิงกล่าวไว้ คือต้องการโยนความผิดให้กับนางและเสด็จอาเก้า ก่อไฟแห่งความแค้นระหว่างพวกเขาทั้งสองกับเมืองเย่เฉิง
“เจ้ามิรู้ เช่นนั้นเจ้าแน่ใจได้อย่างไรว่ามือสังหารมิได้มาจากตระกูลซู เวลานี้มิว่าใครก็มีโอกาสเป็นผู้ลงมือทั้งนั้น” ตี๋ตงหมิงกล่าวออกมาด้วยอารมณ์ เขายังคงคิดว่ามือสังหารจะต้องเป็นคนของตระกูลซู
“ตระกูลซูมิมีความสามารถเช่นนั้นอยู่ในครอบครอง” สามารถสังหารผู้คนภายนอกเมืองจักรพรรดิแห่งตงหลิงได้ และยังรอดพ้นจากการไล่ล่าของทหาร คนผู้นั้นจะต้องไม่ธรรมดาเป็นแน่
“งั้นเจ้าก็บอกข้ามาว่ามือสังหารเป็นผู้ใด? หรือแท้จริงแล้วมือสังหารจะเป็นเจ้า?” ตี๋ตงหมิงโกรธมาก ซักถามอยู่นานแต่กลับไม่ได้ข้อมูลที่มีประโยชน์แต่อย่างใด วกไปวนมา สุดท้ายกลับมาตกอยู่ที่เฟิ่งชิงเฉิน
“หากข้ามีความสามารถเช่นนั้นอยู่ ข้าคงสังหารเย่เย่ไปด้วยแล้ว” เฟิ่งชิงเฉินเองก็ตอบกลับไปด้วยอารมณ์
“เรื่องนี้มันก็จริง เช่นนั้นจะเป็นผู้ใด ผู้ใดที่ต้องการลงมือกับเจ้าเมืองเย่เฉิง และยังเลือกลงมือในดินแดนของตงหลิง การกระทำเช่นนี้มิต่างอะไรกับการตบหน้าแผ่นดินตงหลิง” ตี๋ตงหมิงพึมพำออกมา เฟิ่งชิงเฉินและหวังจิ่นหลิงไม่ได้พูดอะไร
ในตอนที่พวกเขาสองเห็นโจ่วอัน ท่าทางของเขาดูผิดปกติไปเล็กน้อย แต่พวกเขาก็ไม่ได้พูดอะไรออกมา ทำได้แค่เพียงเก็บไว้ในใจ……
ความเงียบเข้ามาปกคลุม หลังจากผ่านไปครู่หนึ่ง หวังจิ่นหลิงถึงจะกล่าวออกมาว่า “ชิงเฉิน เรื่องนี้เป็นเพียงแค่จุดเริ่มต้นเท่านั้น เจ้ารักษาตัวให้ดี ข้าขอตัวกลับไปยังตระกูลหวังก่อน ข้าจะให้คนตรวจสอบว่าช่วงนี้มียอดฝีมือผู้ใดปรากฏตัวออกมาบ้าง”
สามารถสังหารเจ้าเมืองเย่เฉิงและเหล่าองครักษ์ได้อย่างรวดเร็ว จะต้องไม่ธรรมดาอย่างแน่นอน เฟิ่งชิงเฉินพูดถูก ตระกูลซูแห่งหนานหลิงไม่มีความสามารถเช่นนั้นอยู่ และผู้ที่มีความสามารถดังกล่าวอยู่ก็มีเพียงไม่กี่คน……
“ตกลง หากได้ข่าวให้ติดต่อข้าทันที” สิ่งที่เฟิ่งชิงเฉินกำลังรออยู่ก็คือคำพูดนี้
นั่งอยู่ที่นี่ต่อไปก็ไม่ได้อะไร ไม่สู้ส่งคนออกไปตรวจสอบจะดีกว่า แม้สถานที่เกิดเหตุจะถูกทำลายไปแล้ว แต่การหาข้อมูลที่จำเป็น มันก็ยังพอมีความเป็นไปได้อยู่ อีกฝ่ายลงมือตอนที่อยู่ห่างจากเมืองจักรพรรดิประมาณสิบลี้ เช่นนั้นคนผู้นั้นก็ยังน่าจะอยู่ไม่ไกลจากเมืองจักรพรรดิ
หวังจิ่นหลิงพยักหน้า จากนั้นก็เดินไปหาตี๋ตงหมิงเพื่อพาเขากลับไปด้วย ป้องกันไม่ให้เด็กคนนี้สร้างความวุ่นวายให้กับเฟิ่งชิงเฉิน
ทันทีที่หวังจิ่นหลิงจากไป เฟิ่งชิงเฉินก็เรียกทงจือและทงเหยาเข้ามา สั่งให้พวกนางทั้งสองส่งคนไปตรวจสอบว่าช่างนี้เย่เย่ติดต่อกับใครบ้าง และช่วงนี้เจ้าเมืองเย่เฉิงทำอะไรมาบ้าง
เป้าหมายของมือมืดที่อยู่เบื้องหลังคือการโยนความผิดให้กับนางและเสด็จอาเก้า จากการคำนวณแล้ว ผู้ที่น่าเป็นไปได้มีเพียงไม่กี่คน
ทงจือและทงเหยารู้ว่าเรื่องนี้นั้นรุนแรงเพียงใด ทั้งสองถอยกลับไปด้วยใบหน้าอันเคร่งขรึม และเริ่มรวบรวมข้อมูลในช่วงเวลาที่ผ่านมา
หลังจากเฟิ่งชิงเฉินออกคำสั่งออกไปแล้ว นางก็เดินไปหาโจ่วอัน เนื่องจากความสงสัย เช่นนั้นก็จำเป็นต้องทำให้ความสงสัยกระจ่าง หากกำจัดไม่ได้ก็แค่แยกตัวเขาออกไป
ใช้โอกาสตอนที่ตงหลิงจื่อลั่วทำลายจวนเฟิ่ง เฟิ่งชิงเฉินจึงสร้างห้องสำหรับประดิษฐ์ผลงานให้กับโจ่วอันไว้โดยเฉพาะ ดังนั้นเฟิ่งชิงเฉินจึงพาโจ่วอันเดินดูความเรียบร้อยของห้องดังกล่าว
ห้องสำหรับประดิษฐ์ผลงานมีกระดาษและอุปกรณ์จัดเตรียมไว้เรียบร้อย ทุกอย่างล้วนเป็นสิ่งพื้นฐาน แต่สามารถอำนวยความสะดวกให้กับโจ่วอันได้อย่างเต็มที่
“โจ่วอัน เจ้าลองดูว่ามีตรงไหนที่เจ้ามิพอใจหรือไม่ หากต้องการอะไรเพิ่มเติม เจ้าบอกข้ามาได้เลย ข้าจะให้คนสร้างให้เจ้าใหม่” เฟิ่งชิงเฉินแนะนำห้องสำหรับประดิษฐ์ผลงานให้กับโจ่วอัน โจ่วอันเดินตามอยู่ด้านหลังนางมาโดยตลอดและไม่ได้พูดอะไร
จนกระทั่งเฟิ่งชิงเฉินแนะนำจนจบ โจ่วอันถึงกล่าวออกมาว่า “ยอดเยี่ยมมาก”
“ถูกใจเจ้าก็ดีแล้ว ข้ายังกังวลว่าเจ้าจะมิชอบ เนื่องจากข้าก็มิเคยเห็นห้องสำหรับทำงานของเจ้ามาก่อน ข้าจึงสร้างมันขึ้นมาด้วยความคุ้นชินของข้า” เฟิ่งชิงเฉินเดินมายังหน้าประตู ล็อคกุญแจ จากนั้นมอบกุญแจให้กับโจ่วอัน “นี่คือกุญแจห้อง มีทั้งหมดสองชุด จะมอบให้เจ้าทั้งหมด หากมิมีคำสั่งจากเจ้า คนของจวนเฟิ่งจะมิเข้ามาก้าวก่าย”
โจ่วอันรับกุญแจมากอย่างเงียบ ๆ จ้องมองเฟิ่งชิงเฉิน เขากำลังรอ รอให้เฟิ่งชิงเฉินเอ่ยปากถามออกมา แต่เฟิ่งชิงเฉินกลับไม่ถามออกมา ตอนที่เฟิ่งชิงเฉินบอกว่าตนเองขอตัวก่อน ในที่สุดโจ่วอันก็ถามออกมาว่า “เจ้าไม่ถามอย่างนั้นหรือ?”
“ถาม? ถามอะไร?” เฟิ่งชิงเฉินหยุดฝีเท้าของนางในทันที น้ำเสียงของนางเย็นชาเป็นอย่างมาก
“การที่ข้าปรากฏตัวออกมาโดยบังเอิญ” โจ่วอันสงสัยเป็นอย่างมาก เหตุใดเฟิ่งชิงเฉินถึงสงบได้ถึงเพียงนี้ นางน่าจะคาดเดาอะไรบางอย่างได้ ไม่เช่นนั้นคงไม่พาเขามายังที่แห่งนี้
“จริงอยู่ว่ามันบังเอิญมาก แต่เรื่องนี้มันเกี่ยวข้องกันอย่างไร มีเพียงไม่กี่คนเท่านั้นที่รู้ว่าเจ้าไปที่ใดมา พวกเขาต่างคิดว่าเจ้าแอบอยู่ข้างกายข้าเพื่อทำหน้าที่คุ้มกัน” เฟิ่งชิงเฉินยังไม่ได้หันกลับไป นางแสดงออกถึงความสงสัยของนางชัดเจนถึงเพียงนี้ หากโจ่วอันไม่สังเกตเห็นถึงจะแปลก
“แล้วเจ้ามิสงสัยหรืออย่างไรว่าผู้ที่ลงมือสังหารเจ้าเมืองเย่เฉิงเป็นใคร?” โจ่วอันขมวดคิ้ว เมื่อนึกถึงการเดิมพันของเขากับคนผู้นั้น เขาไม่เชื่อว่าเฟิ่งชิงเฉินจะไม่คิดมากเกี่ยวกับเรื่องนี้
“สงสัย แต่ข้ารู้ว่าผู้ที่ลงมือสังหารมิใช่เจ้าอย่างแน่นอน” เฟิ่งชิงเฉินหันกลับมา จ้องมองโจ่วอันด้วยใบหน้าอันนิ่งสงบ
หากโจ่วอันเป็นคนลงมือสังหารจริง เขาไม่มีความจำเป็นจะต้องทิ้งร่องรอยของกระสุนเอาไว้ แค่โจ่วอันใช้วิชาดาบของเขาก็สามารถทำให้คนของเมืองเย่เฉิงสงสัยได้แล้วว่าทั้งหมดเป็นฝีมือของนาง เนื่องจากผู้ที่อยู่เบื้องบนต่างรู้ว่าโจ่วอันมีหน้าที่คอยปกป้องนางอยู่ เจ้าเมืองเย่เฉิงเสียชีวิตลงด้วยน้ำมือของโจ่วอันก็เปรียบเสมือนกับเสียชีวิตลงภายใต้เนื้อมือของนาง
“เพราะเหตุใด?” โจ่วอันสงสัย ดูจากท่าทางแล้ว การเดิมพันครั้งนี้เขาเป็นฝ่ายแพ้
“เจ้ามิทำงานที่ไร้ประโยชน์ มิทำงานที่ขาดทุน และสุดท้าย มิมีใครจ่ายเงินให้เจ้าเพื่อสังหารเจ้าเมืองเย่เฉิง” การสังหารสำหรับโจ่วอันแล้วไม่ใช่เรื่องยากอะไร แต่การสังหารเจ้าเมืองเย่เฉิงนั้นถือเป็นปัญหาอย่างหนึ่ง
ภูมิหลังของเจ้าเมืองเย่เฉิงคือคนทั้งเมืองเย่เฉิง การที่สร้างศัตรูมากมายถึงเพียงนี้ มันไม่ใช่นิสัยของคนอย่างโจ่วอัน
“เจ้ามั่นใจหรือว่าเขาจะไม่ยอมจ่ายให้ข้า” คำว่า “เขา” นอกจากเสด็จอาเก้าแล้วก็ไม่มีใครอื่น
“วิธีการใส่ร้ายเช่นนี้มันชัดเจนและเลวร้ายเกินไป มันมิใช่วิธีการของเขา และอีกอย่าง หากเขาต้องการลงมือ เขามิมีทางเลือกลงมือด้านนอกเมืองจักรพรรดิ” ไม่ใช่ว่าเฟิ่งชิงเฉินไม่เคยคิดมาก่อน มันมีความเป็นไปได้ว่าเบื้องหลังของเรื่องนี้อาจจะเป็นเสด็จอาเก้า แต่เมื่อลองคิดดูให้ดีแล้ว ความเป็นไปได้นั้นมีน้อยมาก
หากเสด็จอาเก้าต้องการสังหารเจ้าเมืองเย่เฉิง เขาไม่มีทางเลือกสังหารในเวลานี้ และไม่มีทางเลือกสถานที่เป็นนอกเมืองจักรพรรดิ การลงมือด้านนอกเมืองจักรพรรดิตงหลิง มันเป็นการหยามเกียรติของจักรพรรดิโดยแท้จริง คนช่างวางแผนอย่างเสด็จอาเก้า เขาไม่มีทางเลือกลงมือกับเจ้าเมืองเย่เฉิงเวลานี้เป็นแน่
“เลวร้าย? หากคนผู้นั้นได้ยินคำพูดของเจ้า เขาคงโกรธเป็นแน่ เจ้ามิอยากรู้จริงหรือว่าคนที่บงการเรื่องทั้งหมดเป็นใคร? พอดีข้าบังเอิญไปเห็นเข้า” โจ่วอันนึกถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นนอกเมืองจักรพรรดิในวันนี้ แววตาของเขาเต็มไปด้วยแสงสว่าง
การโจมตีนั้นไร้ความปรานีและรอบคอบเป็นที่สุด นี่เป็นครั้งที่สองที่เขาได้เห็น และทำให้เขารู้สึกได้ว่าอีกฝ่ายเป็นคู่ต่อสู้ที่สูสีกับเขา หากไม่ใช่เพราะว่าผิดเวลา เขาอยากจะสู้กับอีกฝ่ายดูสักครั้ง
“มันแพงเกินไป ข้ากลัวว่าจะจ่ายมิไหว” เอาเถอะ นางยอมรับว่านางอยากรู้ หากนางไม่อยากรู้ นางคงไม่มาถามโจ่วอันเช่นนี้
คงลงมือสังหารไม่ใช่โจ่วอัน แต่โจ่วอันจะต้องรับรู้อะไรบางอย่างเป็นแน่ แต่หากต้องการข้อมูลจากปากของโจ่วอันคงเป็นเรื่องยาก ดังนั้นนางจึงเลือกที่จะใช้ห้องประดิษฐ์อุปกรณ์ในการดึงดูดโจ่วอัน เห็นได้ชัดว่าผลลัพธ์ไม่ค่อยดีเท่าที่ควร
“ข้าเองก็หวังว่าข้อมูลนี้จะทำเงินให้ข้าได้จำนวนหนึ่ง แต่น่าเสียดาย ข้าได้รับปากกับอีกฝ่ายเอาไว้ หากเจ้าสงสัยในตัวของเสด็จอาเก้า ข้าจะต้องบอกชื่อคนลงมือให้กับเจ้า หากเจ้ามิสงสัยในตัวของเสด็จอาเก้า ข้าก็มิสามารถพูดอะไรได้ทั้งนั้น” โจ่วอันรู้สึกเสียดาย เขารู้สึกชื่นชมคนผู้นั้นจากใจจริง
เห็นได้ชัดว่าเฟิ่งชิงเฉินไม่มีทางสงสัยในตัวของเสด็จอาเก้า เขาถึงยอมรับการเดิมพันครั้งนี้ และทำให้เป็นเพียงคนเดียวที่รับรู้เรื่องราวแต่ไม่สามารถพูดมันออกไปได้
เฟิ่งชิงเฉินกัดฟันแน่น “ในเมื่อเจ้าพูดมิได้ เช่นนั้นเจ้าจะพูดเรื่องนี้ออกมาตั้งแต่แรกเพื่อเหตุใด”
ยากมากกว่าจะเชื่อมต่อเรื่องราวทั้งหมด แต่ทุกอย่างกลับถูกทิ้งไว้เช่นนี้ นางจะต้องถูกจับเข้าคุกจริง ๆ งั้นหรือ ในฐานะฆาตกร
“ข้ามิพูด เจ้าเองก็สามารถคาดเดาได้ คนที่ไป ๆ มา ๆ มีอยู่เพียงไม่กี่คน เจ้าก็พูดเองมิใช่หรือ ผู้ที่กล้าลงมือสังหารผู้อื่นนอกเมืองจักรพรรดิตงหลิงมีอยู่แค่ไม่กี่คน” โจ่วอันจ้องมองเฟิ่งชิงเฉินที่กำลังกัดฟันแน่น จากนั้นเดินออกไปด้วยความพึงพอใจ
ในที่สุดเขาก็ได้ระบายอารมณ์ในเรื่องที่ถูกส่งตัวไปหุบเขาซวนยีได้สำเร็จ ส่วนเรื่องการตายของเจ้าเมืองเย่เฉิง โจ่วอันไม่ได้กังวล เสด็จอาเก้าจะปล่อยให้คนอื่นทำเรื่องที่เป็นอันตรายต่อเฟิ่งชิงเฉินอย่างนิ่งเฉยได้อย่างไร
เหมือนกับการคาดเดาของโจ่วอัน เมื่อได้รับข่าวการตายของเจ้าเมืองเย่เฉิง สีหน้าของเสด็จอาเก้าไม่เปลี่ยนแปลงแต่อย่างใด สั่งให้คนสืบหาทั้งภายในและภายนอกเกี่ยวกับการเคลื่อนไหวช่วงนี้ของคนในเมืองจักรพรรดิ โดยเฉพาะคนที่เขาคิดว่าอาจเป็นผู้ลงมือ
ไม่มีทางที่จะเป็นฝีมือของหนานหลิง ความสัมพันธ์ของหนานหลิงกับเจ้าเมืองเย่เฉิงนั้นดีมากโดยตลอด ซีหลิงเองก็ไม่มีทางเป็นไปได้เนื่องจากเวลานี้ภายในของซีหลิงกำลังวุ่นวาย ส่วนเป่ยหลิงนั้นไกลเกินไป กองกำลังของพวกเขายังไม่เข้ามาในเขตของตงหลิงเลยด้วยซ้ำ
แคว้นฉู่ เมืองหยุน เมืองเหลียนเฉิง และเมืองอื่นอีกแปดเมืองไม่มีโอกาสที่จะลงมือ พวกเขาไม่ได้ประโยชน์อะไรจากการตายของเจ้าเมืองเย่เฉิง เช่นนั้นความเป็นไปได้เพียงอย่างเดียวก็คือตงหลิง แต่ดูจากบาดแผลของรอยดาบแล้ว น่าจะเป็นมือสังหารอย่างแท้จริง หากไม่ใช่ว่าโจ่วอันอยู่กับปู้จิงหยุนตลอดเวลา เสด็จอาเก้าคงสงสัยว่าโจ่วอันเป็นผู้ลงมือสังหาร
เสด็จอาเก้าหลับตาทั้งสองข้างลง กระดิกนิ้วมือบนโต๊ะเบา ๆ ผ่านไปครู่หนึ่งถึงจะลืมตาขึ้นมา มุมปากของเขาเผยให้เห็นถึงรอยยิ้มอันเยือกเย็น จากนั้นก็รีบเดินออกไปด้านนอก……