นางสนมแพทย์อัจฉริยะ - บทที่ 905 สวามิภักดิ์ หากชนะต้องชนะอย่างงดงาม
นางสนมแพทย์อัจฉริยะ บทที่ 905 สวามิภักดิ์ หากชนะต้องชนะอย่างงดงาม
ในคืนนั้น ในนามของราชองครักษ์ที่อาสาเป็นผู้จับกุมมือสังหาร พวกเขาตรวจสอบสิบแปดตระกูลอย่างละเอียด หนึ่งในนั้นมีจวนเฟิ่งอยู่ด้วย ทั้งเมืองอยู่ภายใต้กฎอัยการศึก แต่หลังจากผ่านค่ำคืนอันวุ่นวาย พวกเขากลับจับไม่ได้แม้แต่นกตัวเดียว
ราชองครักษ์ถอยกลับอย่างเปล่าประโยชน์ เดิมทีคิดว่าจักรพรรดิคงแต่ว่ากล่าวตักเตือนพวกเขา แต่ราชองครักษ์คิดไม่ถึงว่าจักรพรรดิจะทรงโกรธเป็นอย่างมาก ราชองครักษ์เทียบกับฝู่หลินไม่ได้แม้แต่น้อย จักรพรรดิไม่พอใจราชองครักษ์ จึงสั่งปลดตำแหน่งสำคัญหลายตำแหน่งออกมาโดยตรงและหนึ่งในนั้นมีคนแซ่หวังเข้าไปแทนที่
หลังเรื่องนี้จบลง หวังจิ่นหลิงรู้เรื่องราวที่เกิดขึ้น มีรอยยิ้มที่อธิบายไม่ได้ปรากฏขึ้นบนใบหน้าของเขา เขารู้ว่าจักรพรรดิต้องการปลอบใจตระกูลหวัง และจักรพรรดิก็พอใจกับการแสดงออกของตระกูลหวังมาก
นี่คือจักรพรรดิ ความโปรดปรานเพียงเล็กน้อยสามารถช่วยขจัดความเสียหายที่เกิดขึ้นกับตระกูลหวังก่อนหน้านี้ได้ และในขณะเดียวกันก็บอกกับหวังจิ่นหลิงว่าตระกูลหวังควรทำบางสิ่งเพื่อตอบแทนความโปรดปรานของจักรพรรดิ
เรื่องที่ราชองครักษ์ตามจับมือสังหารภายใต้กฎอัยการศึกนั้นเป็นเรื่องที่วุ่นวายเป็นอย่างมาก แน่นอนว่าไม่สามารถปิดบังได้ และจักรพรรดิก็ไม่คิดที่จะปิดบังมัน เช้าวันต่อมาจักรพรรดิจึงมีพระราชโองการให้เรียกเย่เย่เข้ามาในพระราชวัง
“ท่านพี่ จักรพรรดิเรียกเจ้ามา แน่นอนว่ามันเกี่ยวข้องกับการเสียชีวิตของบิดาของเจ้า เมื่อได้เข้าเฝ้าองค์จักรพรรดิในพระราชวัง เจ้าห้ามโกรธจักรพรรดิเป็นอันขาด และห้ามพูดออกไปว่าจักรพรรดิควรทำเช่นไร บิดาของเจ้าเสียชีวิตในตงหลิง ต่อให้พวกเรามิทำอะไรเลย จักรพรรดิก็ต้องมอบสิ่งชดเชยให้พวกเราเป็นแน่” ซูหว่านช่วยเย่เย่แต่งตัวและกำชับอย่างระมัดระวัง
แต่ในระยะเวลาสามวันที่ผ่านมา เย่เย่ดูเหมือนจะเปลี่ยนเป็นคนละคน เขาเหมือนกับคนแก่อายุหลายสิบปีในชั่วข้ามคืน ความเย่อหยิ่งในดวงตาของเขาถูกแทนที่ด้วยความอาฆาต ใบหน้าอันหล่อเหลาและงดงามของเขาผอมแห้งและมีสีเข้มขึ้น มองดูโตขึ้นไม่น้อย
อดีตนายน้อยผู้มีจิตใจโอหังและโง่เขลาแห่งเมืองเย่เฉิง ในที่สุดก็เติบโตขึ้น แต่สิ่งที่แลกมากับการเติบโตของเขาช่างมีค่ามากมายมหาศาลจนเกินไป
“ข้ารู้แล้ว หว่านหว่านมิต้องกังวล” เย่เย่เปลี่ยนไปแล้ว แต่สิ่งเดียวที่ยังไม่เปลี่ยนไปคือความรักที่มีต่อซูหว่าน เขาลูบแก้มที่บาดเจ็บของซูหว่านผ่านผ้าโปร่งแสง ความรู้สึกผิดฉายออกมาจากดวงตาของเย่เย่
ซูหว่านยิ้มอย่างอ่อนโยน “ท่านพี่รีบไปเถิด อย่าให้จักรพรรดิต้องรอ”
เย่เย่พยักหน้าและรีบจากไป หลังจากเย่เย่จากไปแล้ว ซูหว่านก็ไม่สามารถฝืนยิ้มได้อีกต่อไป นางยื่นมือออกไปลูบแก้มที่บาดเจ็บของนาง จากนั้นน้ำตาของนางก็ไหลออกมา……
เหมือนที่เฟิ่งชิงเฉินคิด การตายของเจ้าเมืองเย่เฉิงสำหรับเย่เย่และซูหว่านแล้ว มันคือการโจมตีอันหนักหน่วง จากนี้เป็นต้นไปเย่เย่จะต้องแบกรับชะตากรรมทั้งหมดของเมืองเย่เฉิง
เย่เย่ในเวลานี้ต่างจากตอนแรกไปโดยสิ้นเชิง ไม่มีเจ้าเมืองเย่เฉิงคอยปกป้อง หากเย่เย่ต้องการควบคุมเมืองเย่เฉิง เขาจำเป็นต้องขอความช่วยเหลือจากด้านนอก และวิธีซึ่งดีที่สุดคือการแต่งงานเพื่อเชื่อมสัมพันธไมตรี และคนที่เย่เย่จะแต่งงานด้วยนั้นก็ไม่มีทางเป็นซูหว่านอีกต่อไป
เรื่องนี้ไม่ว่าจะเป็นเย่เย่หรือว่าซูหว่าน ทั้งสองต่างรู้ดีอยู่แก่ใจ ต่อให้ไม่ต้องแต่งงานกับกองกำลังภายนอกผู้แข็งแกร่งเพื่อครอบครองประเทศ ไม่ว่าอย่างไรเย่เย่ก็ต้องแต่งงานกับตระกูลใดตระกูลหนึ่งที่แข็งแกร่ง และซูหว่านก็ไม่ใช่ทางเลือกที่ดีของเขา
“เย่เย่ถวายบังคมองค์จักรพรรดิ ขอองค์จักรพรรดิอายุยืนนาน หมื่นปี หมื่น หมื่นปี” เย่เย่มีความรู้สึกซับซ้อนกับตงหลิงเป็นอย่างมาก บิดาของเขาเสียชีวิตลงในดินแดนตงหลิง แต่เวลานี้เขากลับต้องมาพึ่งพาตงหลิง
“มิจำเป็นต้องมาพิธี นั่งลงเถิด” จักรพรรดิใจเย็นกับเย่เย่มาก ทำให้แรงกดดันที่เย่เย่แบกไว้ลดลงพอสมควร เนื่องจากก่อนหน้านี้เขาสร้างความวุ่นวายให้กับจวนเฟิ่ง และในความเป็นจริงเรื่องนั้นมันก็ไม่ได้งดงามเท่าที่ควร
“ขอขอบพระคุณองค์พระจักรพรรดิ ไม่ทราบว่าจักรพรรดิเรียกเย่เย่มาที่นี่เพราะมีเรื่องอันใด?” หลังจากเย่เย่นั่งลง เขาก็ถามออกไปโดยตรง
จักรพรรดิส่งสัญญาณให้ขันทีนำกล่องที่อยู่ด้านข้างมอบให้กับเย่เย่ “ข้ารู้สึกเสียใจกับการจากไปของเจ้าเมืองเย่เฉิงเป็นอย่างมาก คนร้ายผู้นี้ช่างกล้าเสียเหลือเกิน กล้าก่อเหตุในดินแดนตงหลิง ข้ารู้สึกละอายใจต่อเจ้าเมืองเย่เฉิง แต่โชคดีที่ข้าพบมือสังหารแล้ว นี่คือว่าเป็นการปลอบประโลมวิญญาณเจ้าเมืองเย่เฉิงที่ขึ้นอยู่สวรรค์”
“ซีหลิง? จะเป็นคนของซีหลิงได้อย่างไร?” เย่เย่จ้องมองหลักฐานซึ่งอยู่ด้านหน้าด้วยแววตาที่เต็มไปด้วยความประหลาดใจ
เย่เย่ไม่ใช่คนโง่เขลาอีกต่อไป เขาไม่ได้เชื่อทุกคนที่จักรพรรดิพูด อีกอย่างเรื่องที่บอกว่ามือสังหารเป็นคนของซีหลิง เรื่องนี้มันน่าเหลือเชื่อเกินไป
เย่เย่รู้ดีกว่าเมืองเย่เฉิงกับซีหลิงไม่ได้มีความแค้นอะไรต่อกัน ซีหลิงจะยอมเสี่ยงอันตราย ลงมือสังหารเจ้าเมืองเย่เฉิงในดินแดนของตงหลิงได้อย่างไร
“พูดถึงเรื่องนี้ มันก็คงเป็นความผิดของข้าเอง” จักรพรรดิถอนหายใจ จากนั้นให้ขันทีหยิบกล่องอีกกล่องหนึ่งยื่นให้เย่เย่
เย่เย่เปิดออกดู เขาลุกขึ้นมาจากที่นั่งทันใด “นี่มันอะไรกัน? พ่อของข้าลงนามในสนธิสัญญากับตงหลิง โดยอ้างว่าตนเองเป็นผู้สวามิภักดิ์ ตงหลิงสามารถนำทหารเข้าไปในเมืองเย่เฉิงได้ทุกเมื่อ นี่มัน เป็นไปได้อย่างไร”
นี่เป็นการสูญเสียอำนาจและความอัปยศของเมืองเย่เฉิงโดยสิ้นเชิง หากสนธิสัญญาฉบับนี้มีผลบังคับใช้ ตระกูลเย่จะไม่ใช้ผู้ครอบครองเมืองเย่เฉิงอีกต่อไป แต่จะกลายเป็นขุนนางผู้สวามิภักดิ์ต่อตงหลิง และทหารของตงหลิงก็สามารถเข้าไปในเมืองเย่เฉิงได้ทุกเมื่อ ทำให้ตระกูลเย่มีอำนาจในการควบคุมเมืองเย่เฉิงน้อยลง
ปฏิกิริยาของเย่เย่เป็นไปตามที่จักรพรรดิคาดไว้ จักรพรรดิไม่โกรธ แต่รอยยิ้มบนใบหน้าของเขาหายไป เขาพูดออกมาด้วยท่าทางเหมือนผู้ทำการค้า “นายน้อยแห่งเมืองเย่เฉิง มิว่าพ่อของเจ้าจะเป็นคนลงลายมือบนสนธิสัญญาฉบับนี้หรือไม่ เจ้าสามารถนำมันไปพิสูจน์ได้ และข้าก็มิมีความจำเป็นจะต้องนำเรื่องเช่นนี้มาโกหกเจ้า
เจ้าอาจจะยังมิรู้ถึงสถานการณ์ของเมืองเย่เฉิงในเวลานี้ เมืองเย่เฉิงกำลังจะกลายเป็นเมืองอันว่างเปล่า ต่อให้ตระกูลเย่ของเจ้าครอบครองทั้งเมืองเย่เฉิงไว้แล้วมันจะมีประโยชน์อันใด ตระกูลเย่ของเจ้ามิมีทางเลี้ยงดูทหารม้าเหล็กได้เป็นแน่
แน่นอน สนธิสัญญาฉบับนี้ข้ากับเจ้าเมืองเย่เฉิงเป็นผู้ลงนามด้วยตัวเอง เวลานี้เจ้าเมืองเย่เฉิงได้เสียชีวิตลงไปแล้ว ข้าเองก็มิใช่คนที่ชอบกดขี่ข่มเหง ข้าหวังว่าเมืองเย่เฉิงคงเต็มใจที่จะเป็นขุนนางผู้สวามิภักดิ์แก่ตงหลิง หากนายน้อยแห่งเมืองเย่เฉิงมิยินยอม ข้าก็จะถือว่าสนธิสัญญาฉบับนี้มิเคยมีอยู่”
ความเฉยเมยและความเย่อหยิ่งของจักรพรรดิทำให้เย่เย่ตกตะลึง เขาไม่รู้ว่าควรตอบอะไรกลับไปในชั่วขณะ เขาทำได้เพียงจ้องมองสนธิสัญญาฉบับนี้อย่างเหม่อลอย
เมืองเย่เฉิงยอมให้ตงหลิงสามารถทำทหารม้าเข้าไปในเมืองได้ห้าหมื่นนาย อนุญาตให้ประชาชนของตงหลิงเข้าไปอยู่ในเมืองเย่เฉิงได้ ทำการค้าในเมืองเย่เฉิง และในแต่ละปีตงหลิงจะมอบเงินให้เมืองเย่เฉิงสามแสนตำลึง แต่มันไม่ได้รับประกันว่าตระกูลเย่จะอยู่บนจุดสูงสุดของเมืองเย่เฉิงตลอดไป
สนธิสัญญาฉบับนี้ทำให้ตระกูลเย่สูญเสียอำนาจในการควบคุมเมืองเย่เฉิงไป แต่สำหรับอีกมุมมองหนึ่ง สนธิสัญญาฉบับนี้ไม่ใช่การช่วยเมืองเย่เฉิง แต่เป็นการไว้หน้าตระกูลเย่ เมืองเย่เฉิงยอมสวามิภักดิ์ต่อตงหลิง ทำให้ตระกูลเย่สามารถปกป้องทหารม้าเหล็กไว้ได้ แต่ยังคงอยู่ในตำแหน่งของเจ้าเมือง
มีทหารม้าอยู่ในมือ ในอนาคตก็ยังมีโอกาสที่จะพลิกตัว ในวันที่เจ้าเมืองเย่เฉิงลงชื่อในสนธิสัญญาฉบับนี้ ไม่ใช่การยอมจำนนสุ่มสี่สุ่มห้า เวลานั้นเมืองเย่เฉิงเผชิญหน้ากับปัญหาเศรษฐกิจครั้งใหญ่ เมืองเย่เฉิงไม่สามารถเลี้ยงดูทหารม้าได้ หากมิยอมจำนนต่อตงหลิง ก็ไม่รู้ว่าเมืองเย่เฉิงจะทนต่อไปได้อีกนานแค่ไหน ยอมจำนนต่อตงหลิง อย่างน้อยก็ทำให้เมืองเย่เฉิงยืดชีวิตต่อไปได้อีกหลายปี
เนื้อหาในสนธิสัญญาฉบับนี้เป็นเพียงแค่ชั่วคราว การต่อสู้ทางการเมืองไม่เคยสิ้นสุดเพราะกระดาษเพียงแผ่นเดียว ความแข็งแกร่งต่างหากคือคำตอบสุดท้าย ไม่ใช่ว่าตระกูลเย่ได้เงินจากตงหลิงมาเพื่อทำให้ทหารม้าเหล็กแข็งแกร่ง จากนั้นขับไล่ทหารม้าของตงหลิงออกไป แต่เป็นการที่ตงหลิงแทรกซึมเข้ามาได้สำเร็จ ค่อย ๆ ควบคุมเมืองเย่เฉิงไปทีละน้อย รวมถึงควบคุมทหารม้าเหล็กของเมืองเย่เฉิงด้วย
หากเก่งในเรื่องของการทำลายแผนการของศัตรู ใช้กำลังทหารเพียงเล็กน้อยก็สามารถบดขยี้เมืองเย่เฉิงและทหารม้าเหล็กของพวกเขาได้ เรื่องนี้สำหรับตงหลิงแล้วมันถือเป็นแผนการที่คุ้มค่า
แน่นอน ตงหลิงจะสามารถเอาชนะเมืองเย่เฉิงได้หรือไม่เรื่องนี้ก็ยังไม่แน่นอน เนื่องจากคนของตระกูลเย่เป็นคนพื้นเมืองและเกิดมาพร้อมกับเมืองเย่เฉิง การตงหลิงเข้ามาแทรกแซงในเรื่องการจัดการของเมืองเย่เฉิง มันไม่ใช่เรื่องง่าย เมื่อถึงเวลานั้นก็ต้องมาดูกันว่าใครจะทำได้ดีกว่ากัน
ไม่มีอาหารฟรีอยู่บนโลกใบนี้ ตงหลิงไม่มีทางช่วยเมืองเย่เฉิงโดยไร้เหตุผล เป็นเพราะความเข้าใจดังกล่าว เขาจึงเชื่อว่ามีความเป็นไปได้ที่พ่อของเขาจะเป็นคนลงนามในสนธิสัญญาฉบับนี้กับตงหลิง
ทหารม้าห้าหมื่นนายของตงหลิงอยู่ในเมืองเย่เฉิง ยังไงก็ยังไม่ใช่คู่ต่อสู้ของทหารม้าเหล็กแห่งเมืองเย่เฉิง มันไม่มีผลกระทบถึงอำนาจของผู้นำแห่งเมืองเย่เฉิง ประชาชนของเมืองเย่เฉิงจำนวนมากสูญหาย ระบบการค้ายุ่งเหยิง หากประชาชนของตงหลิงยินดีย้ายเข้ามา สิ่งเหล่านี้ก็เป็นผลดีต่อการพัฒนาของเมืองเย่เฉิง
เย่เย่ไม่ได้ตอบคำถามของจักรพรรดิ แต่เขากำลังคำนวณความคุ้มค่าอยู่ในใจ สนธิสัญญาฉบับนี้เขาควรยอมรับมันหรือไม่? เขาควรหรือไม่ที่จะยอมสวามิภักดิ์ต่อตงหลิง?
จักรพรรดิเองก็ไม่ได้รีบร้อน เฝ้าดูท่าทางของเย่เย่ด้วยความสงบ จักรพรรดิรู้ว่าเย่เย่จะตกลงเป็นแน่ เนื่องจากเย่เย่ในเวลานี้กำลังไร้ซึ่งหนทาง
สำหรับเย่เย่แล้ว การที่ซีหลิงเป็นผู้สังหารเจ้าเมืองเย่เฉิงนั้นทำให้เย่เย่ไม่อาจร่วมมือกับซีหลิงได้อีกต่อไป ทางด้านหนานหลิงเองก็กำลังมีปัญหาภายใน หนานหลิงจิ่นฝานไม่สามารถดูแลตัวเองได้ เช่นนั้นเขาจะเอาเวลาที่ไหนมาดูแลตระกูลเย่? ส่วนเป่ยหลิง พวกเขายังต้องการความช่วยเหลือจากประเทศอื่น ๆ ดังนั้นพวกเขาจะช่วยเมืองเย่เฉิงได้อย่างไร
สถานการณ์ในเมืองเย่เฉิงย่ำแย่ ก่อนหน้านี้ราคาสินค้าพุ่งสูงขึ้น ทำให้สูญเสียเงินจำนวนมาก ประชาชนเร่งรีบกักตุนสิ่งจำเป็นในชีวิตประจำวัน ทำให้อาหารและเครื่องใช้ที่เหลืออยู่ไม่เพียงพอ
การซื้อสินค้าในเมืองเย่เฉิงเป็นที่นิยม แต่เนื่องจากพ่อค้าทยอยออกจากเมืองเย่เฉิงไปทีละคน ไม่ร่วมมือกับเมืองเย่เฉิงอีกต่อไป ทำให้เมืองเย่เฉิงไม่สามารถซื้อสินค้าจากภายนอกได้ และข้าวของท้องถิ่นก็ไม่สามารถส่งออกได้ เวลานี้เมืองเย่เฉิงไม่มีแหล่งเงินทุนสำรอง จากทรัพยากรที่เมืองเย่เฉิงมีอยู่ในเวลานี้ เต็มที่ก็สามารถเลี้ยงดูทหารม้าเหล็กได้ไม่เกินครึ่งปี และนี่เป็นกรณีที่ตงหลิงไม่ได้สร้างความกดดันแต่อย่างใด หากเมืองเย่เฉิงไม่ยอมจำนนต่อตงหลิง เช่นนั้นจักรพรรดิคงไม่ยอมอ่อนข้อให้
จักรพรรดิจับตามองเย่เย่อยู่ตลอด เวลาที่เย่เย่ดูเหมือนจะลังเล จักรพรรดิก็แอบเพิ่มความกดดัน ในมุมมองของจักรพรรดิ การจำนนของเมืองเย่เฉิงเป็นเพียงเรื่องของเวลา การตายของเจ้าเมืองเย่เฉิงนั้นอยู่ในการคำนวณของจักรพรรดิอยู่แล้ว
เมื่อเทียบกับเจ้าเมืองเย่เฉิง จักรพรรดิอยากจะร่วมมือกับคนอย่างเย่เย่มากกว่า หากเจ้าเมืองเย่เฉิงยังอยู่ โอกาสชนะของตงหลิงมีไม่มาก แต่หากเป็นเย่เย่ อย่างน้อยตงหลิงก็มีโอกาสชนะถึงเจ็ดส่วน
จักรพรรดิใช้มือสังหารของซีหลิงแอบลอบสังหารเจ้าเมืองเย่เฉิง จากนั้นก็โยนความผิดให้กับเสด็จอาเก้าและเฟิ่งชิงเฉิน หลังจากสอบสวนและทราบว่าเป็นฝีมือของมือสังหารจากซีหลิง ในช่วงเวลาที่เย่เย่รู้สึกสงสัย เขาก็โยนสนธิสัญญาการสวามิภักดิ์ของเมืองเย่เฉิงต่อตงหลิงออกมา
จักรพรรดิไม่ได้พูดอะไรออกไป เย่เย่จ้องมองสิ่งเหล่านี้ เขาก็รู้ได้ทันใดว่าซีหลิงคงไม่พอใจที่เมืองเย่เฉิงยอมสวามิภักดิ์ต่อตงหลิง จึงส่งคนมาสังหารเจ้าเมืองเย่เฉิงในดินแดนของตงหลิงและโยนความผิดให้กับตงหลิงและเสด็จอาเก้า ทำให้เมืองเย่เฉิงและตงหลิงต้องบาดหมาง
เมื่อการร่วมมือกับระหว่างเย่เย่และตงหลิงพังทลาย ภายใต้สถานการณ์ที่เมืองเย่เฉิงไร้ทางเลือก พวกเขาทำได้เพียงหันไปพึ่งพาซีหลิง ในใจของเย่เย่ ซีหลิงยิงปืนนัดเดียวได้นกถึงสองตัว ไม่เพียงแค่ใช้ประโยชน์จากเย่เย่เพื่อจัดการเฟิ่งชิงเฉิน และทำลายความร่วมมือระหว่างเมืองเย่เฉิงกับตงหลิง แต่ยังสามารถทำให้เมืองเย่เฉิงยอมจำนน และถูกใช้งานโดยพวกเขา
เวลานี้เย่เย่ถูกจักรพรรดิชักจูงโดยสมบูรณ์ เป็นไปตามการคำนวณของจักรพรรดิ เย่เย่ไตร่ตรองอยู่ครู่หนึ่ง เขาคุกเข่าลงตรงหน้าจักรพรรดิ “เย่เย่ยินดีที่จะสวามิภักดิ์ต่อตงหลิง และประชาชนของเมืองเย่เฉิงก็เป็นประชาชนของตงหลิงเช่นกัน”
“ฮ่าฮ่าฮ่า ดี ดีมาก เจ้าลุกขึ้นเถิด” เมื่อได้ยินคำตอบที่ต้องการ จักรพรรดิลุกขึ้นด้วยความพอใจ เดินผ่านโต๊ะด้านหน้าของเย่เย่ เข้ามาเพื่อช่วยพยุงเย่เย่ให้ลุกขึ้น
“เฉิน ขอขอบพระคุณฝ่าบาทเป็นอย่างมาก” ในเวลาที่เย่เย่กล่าวคำว่า “เฉิน” ออกมา มันดูไม่เป็นธรรมชาติเล็กน้อย แต่จักรพรรดิก็ไม่ได้ใส่ใจแต่อย่างใด สิ่งที่เย่เย่แสดงออกต่อหน้าจักรพรรดิ มันเพียงพอแล้ว
หากเขาไม่ทำเช่นนี้ จักรพรรดิคงไม่มีทางปล่อยให้เขากลับเมืองเย่เฉิงและครอบครองตำแหน่งเจ้าเมืองเย่เฉิงอย่างสบายใจ……