นางสนมแพทย์อัจฉริยะ - บทที่ 909 เสด็จอาเก้าเห็นข้าดีไม่ได้เลยใช่ไหม
นางสนมแพทย์อัจฉริยะ บทที่ 909 เสด็จอาเก้าเห็นข้าดีไม่ได้เลยใช่ไหม
ฝู่หลิน ตายไม่ได้!
เนื่องจากการยื่นมั่นของเสด็จอาเก้า เพราะเสด็จอาเก้า เปิดปากพูด เฟิ่งชิงเฉิง จึงเข้าไปในวังพร้อมกับเส็จอาเก้าโดยถือกล่องยาแม้ว่าเขาจะไม่เต็มใจอย่างยิ่งก็ตาม
ฝู่หลิน ไม่ได้อยู่ในวัง เหตุผลที่เฟิ่งชิงเฉิง เข้าไปในวังก็เพราะฮ่องเต้ต้องการเห็นหน้าเฟิ่งชิงเฉิง และขู่เขาก่อน
“เฟิ่งชิงเฉิน นายท่านฝู่เป็นขุนนางมือซ้ายของข้า ถ้าเจ้าไม่สามารถรักษาเขาได้ ข้าจะฆ่าเจ้า” ฮ่องเต้กลัวว่าเฟิ่งชิงเฉินจะสร้างปัญหาในระหว่างการรักษา ดังนั้นเขาจึงเตือนเขาเป็นพิเศษก่อน
“นางสนมรับทราบ นางสนมจะใช้สุดความสามารถในการรักษาช่วยชีวิตนายท่านฝู่” ก็ทำได้เพียงการช่วยชีวิตของเขาไว้ ส่วนที่เหลือเฟิ่งชิงเฉิง ก็กล่าวว่าเธอเป็นเพียงแพทย์ ไม่ใช่เทพ
“จำคำพูดของเจ้าไว้ ถ้าเจ้าไม่สามารถรักษาชีวิตนายท่านฝู่ได้ ข้าก็จะสังหารเจ้า” ในขณะนี้ที่ฮ่องเต้พูดเขาก็ไม่ลืมที่จะมองไปทางที่เสด็จอาเก้าที่อยู่ข้างๆเขา เมื่อเห็นเสด็จอาเก้าไม่ได้แสดงท่าทีใดๆ เหมือนว่าไม่ได้ใส่ใจเรื่องความเป็นความตายของเฟิ่งชิงเฉิง สายตาของฮ่องเต้มีความน่าสงสัยแวบเข้ามาและก็ได้ตกลงเรื่องนี้ไว้อย่างเร็ว
“นางสนมเข้าใจแล้วค่ะ” เฟิ่งชิงเฉิง คุกเข่าอยู่บนพื้น ไม่สามารถมองเห็นสีหน้าของฮ่องเต้ได้แต่จากน้ำเสียงของฮ่องเต้เฟิ่งชงเฉิงสามารถรู้ได้ว่าฮ่องเต้ห่วงใยฝู่หลิน จริงๆ
เมื่อมาลองคิดดูแล้ว ถ้าไม่สนใจชีวิตและความตายของฝู่หลิน เขาจะปล่อยให้เสด็จอาเก้าเข้ามาอย่างเฉยเมยได้อย่างไง เพราะรู้ว่าเสด็จอาเก้ามา เธอคงไม่สามารถปฏิเสธได้ มิฉะนั้น เสด็จอาเก้าก็ต้องมีความผิดตามเธอ
ฮ่องเต้พยักหน้าด้วยความพึงพอใจ และโบกมือให้ขันทีที่อยู่ข้างๆ เขา: “ส่งคุณเฟิ่งไปที่คฤหาสน์ฝู่โดยเร็ว และจำไว้ว่าอย่าล่าช้าต่อการให้การรักษาของนายท่านฝู่”
“ข้าน้อยรับทราบ” เสียงแหลมสูงของขันทีทำให้เฟิ่งชิงเฉินน่าเบื่อ ขมวดคิ้วเล็กน้อย ขจัดความไม่พอใจออกไป เฟิ่งชิงเฉินก้มศีรษะและถอยกลับ และเดินตามขันทีออกไปนอกวัง
รถม้าและคนขับกำลังรออยู่ตั้งนานแล้ว ทันทีที่เฟิ่งชิงเฉินเข้าไปในรถม้า รถม้าก็เริ่มควบม้า โดยมีองครักษ์ค่อยเปิดทางอยู่ข้างหน้า การปฏิบัติเช่นนี้เทียบได้กับขุนนางอันดับหนึ่งที่กลับมาที่พระราชวังเลย
“ชีวิตของฝู่หลิน มีค่าจริงๆ” เฟิ่งชิงเฉิง กัดริมฝีปากตัวเองแสดงความไม่พอใจต่อฝู่หลิน
นับตั้งแต่ฝู่หลินมาที่เมืองตงหลินและเข้าร่วมกับฮ่องเต้ พวกเขาเฉยเมยในหลาย ๆ เรื่อง โดยเฉพาะอย่างยิ่งเรื่องภัยพิบัติจากหิมะเฟิ่งชิงเฉิงยุ่งมาเกือบเดือน แต่ในที่สุด ฝู่หลินและฮ่องเต้ก็มาผลดีไป
แม้ว่าแต่ละละเจ้ามีเจ้าของมันเอง และขึ้นอยู่กับความสามารถของตัวเอง เฟิ่งชิงเฉิง ไม่สามารถชอบฝู่หลิน ได้ แม้ว่าในภายหลังฝู่หลิน จะทำการชดเชยในบางสิ่งให้ และหวังว่าจะอยู่อย่างสันติกับเสด็จอาเก้า แต่เฟิ่งชิงเฉิงก็ยังทำไม่ได้ที่จะไม่ระวังตัวฝู่หลิน
ดูนี้สิ การตายของเจ้าเมืองเย่เฉิงได้ผลักพวกเขาไปฝั่งตรงข้ามอย่างสิ้นเชิง เฟิ่งชิงเฉิงรู้สึกว่าเขาและ ฝู่หลินนั้นตัดขาดกันไปแล้ว แต่ในตอนนี้ตัวเองยังต้องช่วยเขาอีก มันน่าขยะแขยงจริงๆ เมื่อคิดเกี่ยวกับเรื่องนี้
สถานที่ที่ฝู่หลิน อาศัยอยู่นั้นได้รับพระราชทานจากฮ่องเต้เมื่อไม่นานมานี้ เพื่อความสะดวกของฮ่องเต้ในการอัญเชิญ ฝู่หลิน ที่พักของฝู่หลินอยู่ไม่ไกลจากพระราชวัง เฟิ่งชิงเฉิงคิดได้ไม่นาน ก็ถึงคฤหัสถ์ฝู่แล้ว
“เชิญคุณเฟิ่ง” ขันทีที่มาพร้อมกับเธอรีบก้าวไปข้างหน้า เปิดม่านและช่วยประคองเฟิ่งชิงเฉินลงจากรถม้า เธอคิดว่าเฟิ่งชิงเฉินจะจงใจทำให้เรื่องยุ่งยากและล่าช้าไปชั่วขณะ แต่ไม่คิดเลยว่าเฟิ่งชิงเฉิง จะตรงไปตรงมาให้ขันทีประคองเธอออกจากรถม้า
ขันทียังคงยืนอยู่ที่เดิม กระพริบตาแล้วมองไปที่เฟิ่งชิงเฉิน คิดกับตัวเองว่าหมอเฟิ่งมีจิตใจที่กว้างใหญ่แบบนี้ แต่เขาได้ยินจากคนแก่ว่า นายท่านฝู่คนนี้ได้หักหลังเสด็จอาเก้าแล้วเข้าร่วมกับฮอ่งเต้แล้วถึงจะมีตำแหน่งในทุกวันนี้
“เจ้ามั่วทำอะไรอยู่ ไปกันเถอะ” เฟิ่งชิงเฉินเดินไปสองสามก้าว และตระหนักถึงว่าขันทีไม่ได้ตามมา จึงรีบหันกลับไปและพูด
ขันทีตกตะลึงอยู่ครู่หนึ่ง และรีบวิ่งไปหาเฟิ่งชิงเฉินทันทีหลังจากได้สติ: “คุณเฟิ่ง เชิญด้านใน”
“อืม” เฟิ่งชิงเฉินตอบ ขันทีเช็ดเหงื่อเย็น ๆ ของเขาอย่างเงียบ ๆ โดยไม่ได้มีเจตนาตำหนิ พลางคิดในใจว่าถ้าเฟิ่งชิงเฉิงพูดอีกสองสามคำ เขาก็จะถูกตั้งข้อหาว่าทำให้การรักษาขงนายท่ายฝู่ล่าช้า
เป็นเรื่องดีที่นายท่านฝู่ไม่ได้เป็นอะไร ถ้ามีอะไรเกิดขึ้น แม้เขาจะมีสิบชีวิตก็ไม่สามารถชดใช้ได้ เมื่อนึกถึงสิ่งนี้ ขันทีน้อยก็รู้สึกขอบคุณเฟิ่งชิงเฉินมากเช่นกัน ในขณะที่ไม่มีใครสนใจ เขาก็หรี่เสียงลงอย่างเงียบๆ เว้นระยะห่างระหว่างตัวเขากับเฟิ่งชิงเฉิงแล้วกระซิบว่า: “คุณ เฟิ่ง แผลที่ขาของนายท่านฝู่เมื่อคืนนี้ทรุดโทรมลงอย่างกระทันหัน และบาดแผลก็เต็มไปด้วยหนองและเลือด
กลิ่นเหม็นนั้นแย่มาก หมอหลวงทำอะไรไม่ถูก ลากมาจนถึงวันนี้ถึงกล้าที่จะรายงานให้ฮ่องเต้ในตอนเช้า บาดแผลของนายท่านฝู่อาจอันตรายถึงชีวิตก็ได้ ”
ขันทีกำลังเตือน เฟิ่งชิงเฉิน ว่าถ้าไม่มั่นใจ ก็ไม่ต้องรักษาดีกว่าต้องมุ่งไปข้างหน้า และถ้าเกี่ยวข้องกับเรื่องนี้นิดหน่อย เขาก็ไม่สามารถแก้ตัวได้อีกเลย
เฟิ่งชิงเฉิน หยุดชั่วคราวและยิ้มให้ขันที ราวกับว่าเขายอมรับความโปรดปรานของอีกฝ่ายเฟิ่งชิงเฉิน รู้วิธีจัดการกับข่าวที่เปิดเผยโดยคำพูดของขันที
คฤหัสถ์ฝู่มีขนาดไม่ใหญ่มากนัก เฟิ่งชิงเฉินมาถึงลานหลักอย่างรวดเร็ว ลานหลักล้อมรอบไปด้วยคนรับใช้และเภสัช และถัดไปอีกเล็กน้อยคือกลุ่มหมอหลวง เมื่อเห็น เฟิ่งชิงเฉิน เข้ามาพวกเขาก็เคลื่อนไหวออกไปโดยอัตโนมัติ อย่างกับกระทำผิด
ไม่รู้ว่าใครเป็นคนตะโกนว่า “เฟิ่งชิงเฉิน มาแล้ว”หมอหลวงและเภสัชในห้องหันกลับไปทีละคน เมื่อพวกเขาเห็นเฟิ่งชิงเฉินมา ดวงตาของพวกเขาก็สว่างขึ้นและพวกเขาก็ไม่พูดอะไร รีบถือกล่องยาตัวเองและถอยออกไปทั้งสองข้าง เหลือที่ว่างตรงกลางให้เฟิ่งชิงเฉิน
ฮึ่ม… เฟิ่งชิงเฉินไม่แสดงสีหน้าใดๆ เขามองทุกคนอย่างเย็นชาและไม่พูดอะไร
เธอรู้ว่าคนเหล่านี้คิดอะไรอยู่พวกเขาแค่ต้องการใช้เธอเป็นตัวแทยตัวตาย หากมีอะไรเกิดขึ้นกับฝู่หลิน ความรับผิดชอบทั้งหมดจะตกเป็นของเธอ
นี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่เธอเจอเรื่องแบบนี้ เมื่อเธอไปโรงพยาบาลครั้งแรก เธอถูกเพื่อนร่วมงานผลักไสให้เป็นตัวแทนตัวตาย หากถูกเพิกถอนจากใบอนุญาตแพทย์ เขาจะไม่สามารถเป็นหมอได้อีกในชีวิตนี้
แพทย์ดูเหมือนจะเป็นอาชีพที่มีเสน่ห์ แต่มีเพียงพวกเขาเท่านั้นที่รู้ว่างานหนักและความมืดเบื้องหลังพวกเขา เมื่อมีคนเสียชีวิตหรือเกิดอุบัติเหตุทางการแพทย์ หากคุณไม่มีภูมิหลัง ไม่ว่ามันจะเป็นความผิดของคุณหรือไม่ก็ตาม ตราบเท่าที่คุณมีส่วนเกี่ยวข้องกับเหตุการณ์นี้แล้วมีความเป็นไปได้สูงที่จะมีคนถูกผลักไสให้เป็นตัวแทนตัวตายได้ เบาที่สุดคือการถูกพิกถอนจากคุณสมบัติของแพทย์และหากร้ายแรงกว่านั้นก็จะต้องรับผิดชอบทางอาญา
แพทย์ที่ถูกเพิกถอนจากคุณสมบัติความเป็นแพทย์ไม่ว่าคุณจะเก่งแค่ไหนก็ไม่มีโรงพยาบาลไหนยอมจ้างคุณและไม่มีคนไข้คนไหนยอมรักษาตัวกับคุณ ตั้งแต่สมัยโบราณจนถึงปัจจุบันอาชีพแพทย์มีมา เหมือนกัน และหมอหลวงก็อันตรายกว่าถ้าได้คนไข้ที่ไม่สมควรตาย ก็ต้องใช้ชีวิตตัวเองมาชดใช้
เมื่อ เฟิ่งชิงเฉินมองไปที่หมอหลวง พวกหมอหลวงก็มองมาที่เธอเช่นกัน อาการของฝู่หลินหมอหลวงเหล่านี้ไม่มีทางรักษาได้ และพวกเขากังวลว่าพวกเขาจะไม่สามารถหาคนมาตายแทนได้ การปรากฏตัวของเฟิ่งชิงเฉิน ทำให้หมอหลวงได้ถอนหายใจด้วยความโล่งอก
หากฝู่หลินเป็นอะไรไป หมอหลวงเหล่านี้จะรวมตัวกันและผลักภาระความรับผิดชอบทั้งหมดให้กับ เฟิ่งชิงเฉิน
ดูเหมือนว่าจะผ่านมานานแล้ว แต่ในความเป็นจริงทั้งสองฝ่ายเพียงแค่มองหน้ากัน และครั้งเดียว ทั้งคู่ก็เข้าใจความคิดของกันและกัน เฟิ่งชิงเฉินยิ้มอย่างช่วยไม่ได้
เสด็จอาเก้านี้ก็หาเรื่องให้เธอเก่งจริงๆ ตอนที่เข้าวังรักษาตงหลินจื่อลั่วก็เหมือนกัน และตอนนี้ก็เหมือนกัน เสด็จอาเก้าเห็นเธอดีไม่ได้เลยนะ
“เห้อ…” เฟิ่งชิงเฉินยืนอยู่ตรงกลาง สูดลมหายใจเข้าลึก เลียริมฝีปากของเธอ และยิ้มให้ทุกคน: “ทำความเคารพหมอหลวงทุกท่าน”
“สวัสดี คุณเฟิ่ง”
“สวัสดี คุณหมอเฟิ่ง”
“คุณเฟิ่ง (หมอเฟิ่ง) ไม่ต้องทำความเคารพ การช่วยคนนั้นสำคัญกว่า เชิญ เชิญ เชิญ…”
หมอหลวงทุกคนยิ้มและทักทายเฟิ่งชิงเฉิน ทันที แต่พวกเขาให้ตำแหน่งการวินิจฉัยแก่ เฟิ่งชิงเฉินโดยพร้อมกัน นี้ทำให้เฟิ่งชิงเฉินจำเป็นที่ต้องจับต้องฝู่หลิน
ตราบใดที่เฟิ่งชิงเฉิน สัมผัส ฝู่หลินไม่ว่าเธอจะใช้การรักษายังไง ก็ต้องรับความผิดนี้…