นางสนมแพทย์อัจฉริยะ - บทที่ 912 ลงมือ เจ้าก็ภาวนาเอาละกัน
นางสนมแพทย์อัจฉริยะ บทที่ 912 ลงมือ เจ้าก็ภาวนาเอาละกัน
ฮ่องเต้นั้นไม่เชื่อเฟิ่งชิงเฉิน ทุกการเคลื่อนไหว ทุกคำพูดและการกระทำของเฟิ่งชิงเฉินในคฤหัสถ์ฝู่ได้ถูกส่งมายังพระราชวัง และเมื่อฝู่หลินกำลังพิจารณาว่าจะตัดขาเพื่อรักษาชีวิตหรือเปลี่ยนหมอหลวงนั้น ฮ่องเต้ก็รู้ถึงเรื่องที่เฟิางชิงเฉินจะตัดขาของฝู่หลิน
“เสด็จน้องเก้า, เฟิ่งชิงเฉินนี้หมายถึงอะไร?” ฮ่องเต้เอาความโกรธที่มีต่อเฟิ่งชิงเฉินมาลงที่เสด็จอาเก้าทันที
เสด็จอาเก้านั่งหัวแถวด้านล่าง และเมื่อเขาได้ยินคำพูดของฮ่องเต้ เขาก็ค่อย ๆ เงยหน้าขึ้นมองฮ่องเต้: “ข้าน้องไม่ใช่หมอและไม่ใช่เฟิ่งชิงเฉิน ฝ่าบาทถามข้าน้องทำไม”
“เสด็จน้องเก้า ฝู่หลินเป็นขุนนางที่ตงหลินข้าชื่นชม ข้าให้เฟิ่งชิงเฉินรักษาเขาเพราะข้าไว้วางใจ เฟิ่งชิงเฉิน” ใบหน้าของฮ่องเต้มืดมนการที่ต้องสั่งหมอนั้นยังต้องได้รับการอนุญาตจากเสด็จอาเก้า ทำให้เขาไม่พอใจอย่างยิ่ง
“ฝ่าบาท เฟิ่งชิงเฉินก็ไม่ได้ทำให้ท่านต้องผิดหวัง เฟิ่งชิงเฉินเป็นหมอไม่ใช่พระเจ้า ท่านต้องการให้ เฟิ่งชิงเฉินช่วยชีวิตฝู่หลินไม่ใช่หรือตอนนี้เฟิ่งชิงเฉินก็เสนอวิธีช่วยชีวิตในตอนนี้ไม่ใช่หรือ? ทำไม? ฝ่าบาทไม่พอใจเหรอ?”
เสด็จอาเก้าดูเฉยเมย พูดช้าๆ และเต็มไปด้วยการเสียดสี เมื่อเห็นว่าฮ่องเต้ไม่หดหู่ใจ เสด็จอาเก้าก็เย้ยหยันในดวงตาของเขาและพูดว่า: “ฝ่าบาท แม้ว่าท่านจะเป็นฮ่องเต้ ท่านก็ไม่สามารถเปลี่ยนแปลง ชีวิตแก่เจ็บตายได้”
“เสด็จน้องเก้า…” ฮ่องเต้เคร่งเครียด ด้วยสีหน้าโกรธจัด จ้องมองไปที่เสด็จอาเก้า ดวงตาของเขาเต็มไปด้วยเจตนาฆ่าอย่างเย็นชา แม้ว่าจะไม่มีบุคคลภายนอกก็ตาม การเคลื่อนไหวของเสด็จอาเก้าก็เป็นการท้าทายอำนาจของฮ่องเต้
“ข้าน้องอยู่นี้” เสด็จอาเก้ายังคงนิ่งเฉยไม่เกรงกลัวใด ๆ เผชิญหน้ากับจักรพรรดิที่ยิ่งใหญ่ เสด็จอาเก้าก็ยังคงเฉยเมย
ในห้องโถงขนาดใหญ่ไม่มีเสียงใด ๆ เต็มไปด้วยกลิ่นของการเสียดสีของฮ่องเต้และเสด็จอาเก้า แสงของดาบและเงาน่ากลัวมากราวกับฉากตอนที่เล่นหมากรุกและดื่มชาในอุทยานหลวงเมื่อหลายปีก่อนไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน
คู่พี่น้องที่มีเกียรติที่สุดในตงหลินไม่สามารถอยู่ร่วมกันอย่างสันติได้ ความสงบสุขนั้นเป็นเพียงภาพลวงตา
หลังจากเงียบไปนาน ในที่สุดฮ่องเต้ก็ริเริ่มที่พูดออกมาก่อนว่า: “ช่วยไปคฤหัสถ์ฝู่ในนามของข้า และดูอาการบาดเจ็บของฝู่หลินแทนข้า”
นี่เป็นคำสั่งของฮ่องเต้ และไม่มีใครสามารถขัดขืนได้ แต่เสด็จอาเก้าเป็นข้อยกเว้น เสด็จอาเก้าลุกขึ้น หมุนตัวครึ่งวงกลมและเผชิญหน้ากับฮ่องเต้: “ฝ่าบาท ไม่ว่าฝู่หลินจากถูกโปรดปรานจากฮ่องเต้แต่ไหน เขาก็เป็นเพียงแค่ขุนนาง อย่างเขายังไม่เพียงพอที่จะให้กษัตริย์ข้าไปเยี่ยมเอง ถ้าฝ่าบาทกังวล เขาก็อาจจะไปที่นั่นด้วยตัวเอง ข้น้องเหนื่อละขอลาไปก่อน”
หลังจากพูดจบโดยไม่รอให้ฮ่องเต้พูด เขาก็หันหลังกลับและเดินออกไปโดยไม่สนใจอ่องเต้เลย
“น้องเก้า!” ฮ่องเต้หน้าซีดด้วยความโกรธและชี้ไปที่ด้านหลังของเสด็จอาเก้าหากไม่ใช่เพราะการแบกรับชื่อเสียงจักรรดิไว้ ฮ่องเต้อาจพุ่งไปข้างหน้าและชกที่ศีรษะของเสด็จอาเก้า
นี้ก้าวร้าวเกินไปแล้ว เขาเป็นฮ่องเต้ จักรพรรดิแห่งเก้ากษัตริย์ เสด็จอาเก้ากล้าดีอย่างไร!
เสด็จอาเก้านั้นกล้าจริงๆ เสด็จอาเก้าก็ทำเหมือนไม่ได้ยิน ไม่สนใจเจตนาฆ่าและความโกรธของฮ่งเต้ แล้วเดินออกไป เปิดประตูเสียงดัง และปิดประตูดังปังเพื่อระบายความไม่พอใจของเขา
หลังจากที่เสด็จอาเก้าจากไป ฮ่องเต้ก็โกรธมากจนล้มลงบนเก้าอี้ หอบอย่างหนักด้วยท่าทางอาฆาต
การท้าทายครั้งเเล้วครั้งเล่าทำให้ฮ่องเต้เข้าใจว่าเสด็จอาเก้าไม่ได้ควบคุมง่ายอย่างที่เขาแสดง และสิ่งที่เรียกว่าการยอมจำนนนั้นมีไว้ให้เขาเห็นเท่านั้น
ครั้งนี้เขาใช้หลุมฝังศพของเสด็จแม่ของเสด็จอาเก้าเป็นข้ออ้างในการบังคับให้เสด็จอาเก้าทำสิ่งที่เขาไม่ต้องการทำ แม้ว่าเสด็จอาเก้าจะไม่พอใจในตอนแรก แต่เขาก็ยังทำ ทำให้ฮ่องเต้คิดว่าเสด็จอาเก้านั้นเชื่องจริงๆ การกระทำของเสด็จอาเก้าในวันนี้ ล้มล้างคำยืนยันก่อนหน้านี้ของเขา
น้องชายคนที่เก้านั้นไม่ได้ควบคุมง่ายอย่างที่แสดงให้เห็น และหลังจากเหตุการณ์นี้ ความสามัคคีที่ฉาบฉวยระหว่างพี่น้องทั้งสองก็ขาดสะบั้นลงเช่นกัน
ในเวลานี้ การมีอยู่ของฝู่หลินยิ่งจำเป็น แม้ว่าลูกหลานของวิหารจะไม่ฉลาดนัก แต่พวกเขาก็มีความสามารถพิเศษบางอย่าง หากความสามารถเหล่านี้ฮ่องเต้สามารถควบคุมได้ ก็จะช่วยได้อย่างแน่นอน
ฝู่หลินยังคงมีประโยชน์มากในตอนนี้ และเขาภักดีอย่างยิ่ง อ่องเต้ไม่เต็มใจที่จะละทิ้งตัวหมากรุกแบบนี้
ฮ่องเต้คิดเกี่ยวกับเรื่องนี้ครั้งแล้วครั้งเล่า แต่ก็ตัดสินใจที่จะพยายามให้หนักขึ้น ฮ่องเต้สูดหายใจเข้าลึก ๆ และยืนขึ้น: “เอาเถอะ เรียกตัวลั่ว…ชิงอ๋องเสด็จเข้าวังแล้ว”
ในอดีตการทำความดีดังในนามของจักรรดิล้วนกระทำโดยตงหลินจื่อลั่วแต่ตอนนี้คงหลินจื่อลั่วอยู่ในการคุมขัง ฮ่องเต้ไม่มีทางเลือกนอกจากต้องเลือกคนอื่น
เสด็จอาเก้าบอกว่าฝู่หลินนั้นยังไม่เพียงพอสำหรับเขาที่จะเยี่ยมด้วยตัวเอง และแน่นอนว่าฮ่องเต้จะไม่ไปเยี่ยมด้วยตัวเอง ถ้าฮ่องเต้ไปด้วยตัวเอง ก็หมายความว่าฮอ่งเต้นั้นไม่เก่งเท่าเสด็จอาเก้า
คฤหาสน์ของเจ้าชายล้วนได้รับพระราชทานจากจักรพรรดิ ยกเว้นคฤหาสน์ของคงหลินจื่อลั่วซึ่งดีที่สุด เจ้าชายคนอื่นๆ ก็เกือบจะเหมือนกัน ในเวลาไม่ถึงครึ่งชั่วโมง ชิงอ๋อง ก็เข้ามาในพระราชวัง
ฮ่องเต้ต้มองไปที่ชิงอ๋ฮงผู้กล้าหาญและมีความสามารถที่คุกเข่าอยู่ และความโล่งใจฉายวาบในดวงตาของเขา
ชิงอ่องได้รับความไว้วางใจจากฮ่องเต้เสมอ ไม่เช่นนั้น เขาจะไม่กลายเป็นเจ้าชายคนเดียวที่รับผิดชอบอำนาจทางทหารในตงหลิน แน่นอนว่าสิ่งนี้เกี่ยวข้องกับภูมิหลังของชิงอ๋อง ด้วย
เสด็จแม่ของ ชิงอ่องมาจากพื้นเพธรรมดาและเธอไม่มีความแข็งแกร่งพอที่จะแย่งชิงตำแหน่งสมบัติอันยิ่งใหญ่ นอกจากนี้ ชิงอ๋องนั้นชอบศิลปะการต่อสู้มากกว่าวรรณกรรมตั้งแต่เด็ก ไม่เพียง แต่ฮ่องเต้ เจ้าชายทั้งหมดก็ไว้ใจมั่นใจต่อชิงอ๋อง
ฮ่องเต้พูดสั้น ๆ เกี่ยวกับอาการของฝู่หลิน จากนั้นสั่งให้ชิงอ่อง ไปเยี่ยมฝุ่หลิน แทนฮอ่งเต้ แน่นอนสิ่งที่สำคัญกว่านั้นคือการเตือนเฟิ่งชิงเฉิน ให้รักษาสุดความมารถ ฮ่องเต้กำลังเฝ้าดูอยู่
แม้ว่าชิงอ๋อง จะเป็นนายพล แต่เขาก็สามารถเติบโตขึ้นมาทั้งชีวิตและกลายเป็นเจ้าชายคนเดียวที่มีอำนาจทางทหารใน คงหลินแน่นอนว่าเขามีจิตใจที่งดงาม เมื่อได้ยินคำแนะนำของฮ่องเต้ ชิงอ๋องก็รู้ว่าธุระนี้ไม่ใช่เรื่องง่าย แต่ไม่ว่าจะยากแค่ไหนก็ทำได้แค่ยอมรับ ใครให้เธอนั้นไม่แข็งแกร่งเท่าเสด็จอาเก้า ที่ไม่พอใจก็สามารถสะบัดแขนเสื้อแล้วจากไป
“ข้าน้อยรับทราบ” ชิงอ๋องก้มศีรษะเพื่อขอบคุณ ระงับความหงุดหงิดในดวงตาของเขา และภายใต้ความคาดหวังของฮ่องเต้ พกสิ่งตอบแทนมากมายเดินไปอย่างคฤหัสถ์ฝู่
“ท่านอ๋อง” บนหอคอยสูงในพระราชวัง เสด็จอาเก้าและขันทีส่วนตัวยืนอยู่ที่นั่น มองดูชิงอ๋องจากไป
เสด็จอาเก้าหลับตาลง ใบหน้าดูเหนื่อยล้า ริมฝีปากบาง้ากออกเล็กน้อย: “ส่งทหาม้าทมิฬไป”
“ข้าน้อยเข้าใจแล้ว ” ใบหน้าของขันทีจับจ้องเขม็ง เขาพยักหน้าอย่างหนัก และเดินจากไปอย่างรวดเร็ว ย่างก้าวของเขาเบา หายใจยาว และรู้ได้ทันทีว่าเขาเป็นผู้ฝึกศิลปะการต่อสู้และทักษะของเขา อยู่ในระดับไม่ต่ำ
ทหารม้าทมิฬมีเพียงหนึ่งพันคน แต่คนทั้งพันคนเหล่านี้ได้รับการคัดเลือกอย่างดีจากคนนับหมื่น พลังของหนึ่งพันคนไม่น้อยไปกว่ากองทัพที่ทรงพลังกองนึง
ทหารม้าทมิฬคนหนึ่งไม่สามารถต่อสู้กับคนร้อยคนเพียงลำพังได้ แต่ถ้ามีคนเป็นพันโจมตีพร้อมกัน พวกเขาสามารถต่อสู้กับคนนับหมื่นด้วยคนเป็นพันได้อย่างแน่นอน
ในฐานะทีมที่ทรงพลังที่สุดและเป็นความลับที่สุดในภายใต้ของเสด็จอาเก้า ทหารม้าทมิฬเป็นครั้งแรกที่ปรากฏตัวบนสนามของจิ่วโจว และการโจมตีของทหารม้าทมิฬจะต้องนองเลือด…
แต่เฟิ่งชิงเฉินไม่รู้เรื่องทั้งหมดนี้ เมื่อเสด็จอาเก้าออกคำสั่งให้ระดมทหารม้าทมิฬ เฟิ่งชิงเฉินกำลังทำความสะอาดซากเนื้อจายบนบาดแผลของฝู่หลิน โรยยาฆ่าเชื้อบนบาดแผลก่อนที่มันจะเสื่อมสภาพ
แม้ว่าจะเป็นการตัดขา แต่บาดแผลก็ต้องได้รับการดูแลอย่างดีก่อน มิฉะนั้น มันจะน่าสังเวชหากติดเชื้อฝู่หลิน ไม่รู้เรื่องนี้ ฝู่หลิน เฝ้าดูเฟิ่งชิงเฉิน เอาซากเนื้อจายที่ขาออกทีละชิ้นแล้วทายาที่บาดแผลโดยคิดว่าขาของเขารอดแล้ว
ฝู่หลินไม่กล้าแม้แต่จะหายใจ หัวใจของเขากำแน่น เต็มไปด้วยความคาดหวัง แต่ก็กลัวความผิดหวัง
เฟิ่งชิงเฉิน เข้าใจความคิดของ ฝู่หลิน เธอบอก ฝู่หลิน หลายครั้งว่า เธอแค่ทำความสะอาดบาดแผลของเขา ไม่ใช่ว่าสามารถรักษาขาของเขาไว้ได้ แต่ ฝู่หลิน ฟังไม่เข้าหูเลย เขาเลือกที่จะฟังเฉพาะสิ่งที่เขาอยากได้ยิน .. .