นางสนมแพทย์อัจฉริยะ - บทที่ 915 หวั่นไหว วันแห่งความรักอันหอมหวาน
มหัศจรรย์ เป็นคุณชาย ชั่วข้ามคืน บทที่ 1113
ตอนนี้ก็ดึกมากแล้ว ลมหนาวจากทะเลได้ถูกพัดผ่านเมืองฮาลิมาร์ค
ถึงกระนั้นคฤหาสน์ของตระกูลมินแชลก็ยังเปิดไปสว่างไสวไปทั่ว สมาชิกของครอบครัวทุกคนกำลังประชุมกันอยู่ด้านใน
“งานที่เธอทำในวันนี้มันยิ่งใหญ่มากเลยนะโซอี้! ในเมื่อเราได้สมุนไพรมาครอบครองแล้ว เราก็สามารถที่จะปรุงยาอายุวัฒนะต่อได้แล้วสินะ!” ชายชราที่เป็นผู้นำครอบครัวป่าวประกาศ ถึงแม้ว่าเขาจะดูเหมือนคนที่อายุมากกว่าเก้าสิบปีแล้ว แต่เขาก็ยังดูแข็งแรง
“การที่คุณปู่จะสามารถมีชีวิตอยู่กับพวกเราได้เกินร้อยปี คงจะเป็นพรอันประเสริฐกับตัวหลานค่ะ คุณปู่!” โซอี้ตอบพร้อมกับยิ้มกว้าง
“อย่างไรก็ตาม ที่น่ายินดีมากกว่านั้นก็คือ หลานแทบจะไม่ได้ใช้ความพยายามอะไรมากมายในการตามหาสมุนไพรในครั้งนี้เลย แถมหลานก็ยังได้เงินอีกสามร้อยดอลล่าร์จากคนโอหังคนนั้นมาใช้ โดยที่ไม่ต้องเสียอะไรเลยสักอย่าง!” โซอี้อธิบายเพิ่มเติม ในขณะที่หัวเราะเสียงดังลั่น
“เรื่องนั้นน่ะ…อย่าพยายามทำเรื่องแบบนั้นอีกเลยในอนาคต…มันอาจจะส่งผลร้ายต่อชะตากรรมของตระกูลของเรา…ฉันหมายถึงทุกคนที่นั่งอยู่ตรงนี้ด้วยนะ จำได้หรือไม่ เรื่องที่เจ้าแห่งวิญญาณได้ทำนายเอาไว้เมื่อสามปีก่อนว่า ตระกูลของเราอาจจะต้องพบกับเหตุการณ์อันเลวร้ายบางอย่างในปีนี้!” ผู้นำครอบครัวกล่าวด้วยรอยยิ้มเจื่อน
“หนูทราบดีค่ะ คุณปู่… พูดถึงคนโอหังนั่น มันเป็นแค่คนจากต่างถิ่น แต่กลับจะมาทำข้อตกลงกับพวกเรา เพื่อแลกกับสมุนไพรและเงิน! มาคิดดูอีกที ทำไมหนูไม่ส่งคนไปจับตัวมันมาเลยล่ะ? ถ้าทำแบบนั้น เราอาจจะหักหลังและหลอกเอาเงินจากมันได้อีกด้วย!”
“เธอโตพอที่จะตัดสินใจด้วยตัวเองได้แล้ว โซอี้…” ผู้นำชราตอบโซอี้ พร้อมกับรอยยิ้มบนใบหน้า เขาส่ายหัวราวกับต้องการที่จะปล่อยวางทุกอย่าง
ผู้นำครอบครัวผู้นี้ได้เพียรพยายามที่จะดูแลตระกูลของเขามาเป็นระยะหลายสิบปีแล้ว เขาไม่รู้สึกเกรงกลัวต่อแรงกดดันใด ๆ จากคนต่างถิ่น ด้วยเหตุนี้ การที่สมาชิกในครอบครัวทำการปล้นเงินจากผู้อื่นอย่างเปิดเผย จึงไม่ได้สร้างความประหลาดใจให้กับเขาเท่าไรนัก
ขณะนั้นเอง คนรับใช้ของบ้านก็เดินเข้ามาจากข้างนอก ในมือของเขากำลังถือบางอย่างที่ดูเหมือนจะเป็นเอกสาร เขาหยุดเดินก่อนที่จะถึงตัวของผู้นำชรา แล้วพูดขึ้นว่า “นายท่านครับ!”
“มีอะไรเหรอ?”
“มีเด็กหนุ่มคนหนึ่งกำลังยืนรออยู่ด้านนอก เขาบอกให้กระผมนำกระดาษแผ่นนี้มาให้ท่านดู มันมีลายเซ็นของนายหญิงอยู่ครับ! เขาบอกว่าเขาจะมาเอาในสิ่งที่ได้ตกลงกันไว้แล้ว!” คนรับใช้ตอบ
“หืม! เจ้าเด็กโง่นั่น! ในเมื่อมันตั้งใจมาหาเราถึงที่! งั้นก็ดี! เราไม่จำเป็นจะต้องเสียเวลาไปตามล่าตัวมัน!” โซอี้พูดพร้อมกับยิ้มเยาะ
ผู้นำชราส่ายหัวและยิ้มไปพร้อมกัน จากนั้นเขาก็พูดว่า “นอกจากเรื่องนั้นแล้ว ตอนนี้ฉันอยากรู้ว่าเขาต้องการอะไรจากพวกเรากันแน่…”
หลังจากที่หยิบกระดาษแผ่นนั้นขึ้นมาอ่าน ดวงตาของผู้นำชราก็เบิกโพลงในทันที มันสะท้อนให้เห็นความโกรธแค้นที่อยู่ข้างในอย่างชัดเจน
เขาทุบกระดาษลงบนโต๊ะเสียงดังลั่น ก่อนที่จะตะโกน “เด็กโอหังนั่น! มันมารนหาที่ตายจริง ๆ!
“…เกิดอะไรขึ้นเหรอคะ คุณปู่?” โซอี้ถามด้วยความรู้สึกสงสัย สมาชิกคนอื่น ๆ ในครอบครัวก็รู้สึกเช่นเดียวกันกับเธอ พวกเขาต่างจ้องมองไปที่ผู้นำชราอย่างงุนงง
แทนที่จะรอคำตอบ โซอี้กลับหยิบกระดาษขึ้นมาและอ่านสิ่งที่เขียนไว้ในกระดาษ ซึ่งมีข้อความที่เจอรัลด์เขียนเอาไว้ว่า “ฉันอยากได้ตระกูลมินแชลทั้งตระกูลมาเป็นของฉัน!”
“หืม! ช่างเป็นคนที่ยะโสโอหังเหลือเกิน! เกรงว่ามันจะยังไม่รู้ว่าตระกูลมินแชลนั้นแข็งแกร่งเพียงใด! มันยังกล้าที่จะขอตระกูลเราไปเป็นของมัน!”
“ปล่อยให้มันเข้ามา! มันจะได้สัมผัสกับพลังอำนาจอันยิ่งใหญ่ของตระกูลเรา! เราจะไม่ยอมให้เรื่องนี้จบลงง่าย ๆ เว้นเสียแต่ว่ามันจะเอาเงินพันล้านดอลล่าร์มาจ่ายเท่านั้น! หนึ่งในสมาชิกวัยกระเตาะของครอบครัวขู่คำราม จากนั้นสมาชิกคนอื่น ๆ ก็เริ่มทำตาม
หลังจากที่ทุกช่วยประณีตกว่านี้ได้หรือไม่”
“แม่นาง นั่นมันเส้นเลือด เวลาที่แม่นางตัดมัน ช่วยช้ากว่านี้ได้หรือไม่”
“แม่นาง นั่นมันเลือดและเนื้อ เมื่อแม่นางเหยียดนิ้วออกไปคุ้ยเส้นเลือดด้านใน อย่าทำให้มันรุนแรงนักได้หรือไม่”
“แม่นาง……”
การจัดการกับบาดแผลภายนอกไม่เกี่ยวอะไรกับความงดงาม เฟิ่งชิงเฉินที่เป็นหมอทหารคุ้นชินกับมันเป็นอย่างดี วิธีการอันเรียบง่าย ป่าเถื่อนก็ไม่เห็นเป็นไร ขอแค่ทุกอย่างเป็นไปด้วยความรวดเร็วและเกิดผลมากที่สุดก็เพียงพอ ส่วนช่วงเวลาที่ลงมือจะมีนองเลือดมากแค่ไหน เฟิ่งชิงเฉินไม่เคยคิดถึงเรื่องนี้มาก่อน
ผ้าพันแผลที่เปื้อนเลือดม้วนเป็นก้อนกลม เศษเนื้อเสียวางอยู่เต็มถาดสีเงิน หากคนไม่รู้เข้ามาเห็นคงคิดว่าเฟิ่งชิงเฉินกำลังแยกส่วนศพ
มันช่างเต็มไปด้วยกลิ่นความเลือด!
แอว๊ก……หมอหนุ่มสองสามคนเมื่อเห็นภาพดังกล่าวก็อดไม่ได้ที่จะขย้อนออกมา ชิงอ๋องมองอย่างไม่มีความสุข พวกหมอตกใจมากรีบปิดปาก
ในบรรดาหมอหลวงสิบกว่าคนที่อยู่ตรงนี้ มีเพียงสามคนเท่านั้นที่เชี่ยวชาญเรื่องของบาดแผลภายนอก นอกจากสามคนนี้แล้ว สีหน้าของหมอหลวงคนอื่นก็ดูไม่ดีนัก
แต่อย่างไรเสียพวกเขาก็มีทักษะทางการแพทย์ เมื่อเห็นวิธีการรักษาของเฟิ่งชิงเฉิน พวกเขาก็รู้ได้ทันใดว่าเฟิ่งชิงเฉินนั้นไม่ธรรมดา แม้จะรู้สึกขยะแขยงเล็กน้อย แต่พวกเขาก็ยังยืดคอและเดินหน้าต่อไป ฉวยโอกาสช่วงที่ชิงอ๋องไม่ได้สังเกต พูดคุยกับคนรอบตัวและแลกเปลี่ยนความรู้สึกเป็นครั้งคราว
“หากเส้นเลือดที่แม่นางเฟิ่งดึงออกมานั้นไม่ถูกเย็บกลับเข้าไป ในอนาคตจะต้องเกิดปัญหาเป็นแน่”
“เจ้าพูดถูก แม่นางเฟิ่งจริงจังเป็นอย่างมาก แม้แต่เนื้อเน่าติดกระดูกนางก็ยังนำออกมา ดวงตาคู่นั้นของงานช่างละเอียดอ่อนเหลือเกิน”
“มิใช่ว่าแม่นางเฟิ่งมีดวงตาที่ดี เจ้าไม่เห็นวัตถุเล็ก ๆ ที่นางถืออยู่ในมือหรืออย่างไร ข้าสงสัยว่าของสิ่งนั้นสามารถขยายภาพได้ เจ้ายังจำวันที่แม่นางเฟิ่งสลักอักษรลงบนเมล็ดข้าวได้หรือไม่?”
“มีเหตุผล มีเหตุผล ช่างเป็นของที่ยอดเยี่ยม หากสามารถซื้อมาได้คงจะดีมิใช่น้อย” หมอหลวงอยากได้แว่นขยายในมือของเฟิ่งชิงเฉิน
“เส้นเลือดที่เล็กขนาดนั้นยังสามารถมองเห็นและลงเข็มได้ เฟิ่งชิงเฉินช่างมีความชำนาญเป็นยอด เมื่อก่อนข้าเคยดูถูกว่านางเป็นเพียงแค่ผู้หญิงถือเข็ม แต่เวลานี้ได้เห็นทักษะเย็บแผลของนาง ทุกอย่างช่างยอดเยี่ยม และสามารถช่วยเหลือชีวิตผู้คนได้” หมอหลวงผู้มีเคราสีขาวมีใบหน้าซึ่งเต็มไปด้วยอารมณ์ ดูจากท่าทางของเขาแล้วเกรงว่าเมื่อกลับถึงบ้านคงบอกให้ภรรยาหรือไม่ก็ลูกสาวเพื่อเล่าเรียนวิธีการเย็บแผล
ชิงอ๋องพยายามเฝ้าดูและจดจำทุกการเคลื่อนไหวของเฟิ่งชิงเฉิน คิดว่าหลังจากกลับไปเขาจะไปพูดคุยกับหมอและทหารของเขาว่าคนเหล่านั้นสามารถเล่าเรียนได้หรือไม่ หากพวกเขาสามารถเล่าเรียนวิธีการรักษาบาดแผลภายนอกของเฟิ่งชิงเฉินได้ เช่นนั้นจำนวนทหารที่บาดเจ็บล้มตายจะลดลงเป็นอย่างมาก
ชิงอ๋องไม่มีเวลาว่างที่จะมาสนใจหมอหลวงพวกนี้ เสียงการพูดคุยของเหล่าหมอหลวงเริ่มดังขึ้น ดังขึ้น สมาธิทั้งหมดของเฟิ่งชิงเฉินจดจ่ออยู่กับแผลที่ขาของฝู่หลิน แน่นอนว่าไม่รับรู้ถึงสถานการณ์ภายนอก จนกระทั่งเหงื่อรวมตัวกันและไหลลงมาจากหน้าผากของนาง นางถึงกล่าวออกมาว่า “มานี่คนหนึ่ง ช่วยเช็ดเหงื่อบนหน้าผากให้ข้าหน่อย”
คำพูดนี้เหมือนกับคำสาป ทำให้หมอหลวงทุกคนตกใจจนและเงียบเสียง ชิงอ๋องลุกขึ้นยืนอย่างกะทันหัน และดวงตาที่งุนงงของฝู่หลินก็กลับมาชัดเจนอีกครั้ง
ทุกคนเริ่มเคลื่อนไหว แต่ไม่มีใครก้าวเข้าไปเช็ดเหงื่อให้เฟิ่งชิงเฉิน เห็นเหงื่อที่ตกลงมา เฟิ่งชิงเฉินจึงกล่าวออกมาอีกครั้ง
“ช่างยอดเยี่ยมเหลือเกิน” เหล่าหมอหลวงที่อยู่ใกล้ ๆ รีบก้าวออกมาด้านหน้า แต่มีคนผู้หนึ่งที่ว่องไวกว่าพวกเขา
“ข้าเอง” ชิงอ๋องก้าวออกมารุดหน้าเหล่าหมอหลวงเหล่านั้นพร้อมกับหยิบผ้าขนหนูติดตัวไป
เฟิ่งชิงเฉินเงยหน้าขึ้นในเวลาที่เหมาะสมเพื่อให้ชิงอ๋องสามารถเช็ดหน้าได้อย่างสะดวก
ใบหน้าอันงดงามไร้ซึ่งการตกแต่ง ดวงตาอันสดใส ลูกตาสีดำรวมตัวกันชัดเจน มันเต็มไปด้วยสมาธิ ชิงอ๋องรู้สึกว่าหัวใจของเขาเต้นไม่เป็นจังหวะ
เขายื่นมือออกไปเช็ดเหงื่อของเฟิ่งชิงเฉินด้วยความงุนงง และดึงผ้าขนหนูกลับมาโดยไม่รู้ตัว ชิงอ๋องเองก็ไม่รู้ว่าตัวเองเช็ดหน้าให้เฟิ่งชิงเฉินเสร็จตั้งแต่เมื่อใด เขารู้แค่ว่าเฟิ่งชิงเฉินก้มหน้าลงไปอีกครั้งเพื่อรักษาบาดแผลให้ฝู่หลิน สายตาที่จับจ้องของเขาราวกับบนโลกนี้มีพื้นที่เพียงแค่จุดซึ่งเฟิ่งชิงเฉินยืนอยู่
ชั่วขณะหนึ่ง ชิงอ๋องพบว่าตนเองกำลังอิจฉา อิจฉาบาดแผลที่แย่งความสนใจของเฟิ่งชิงเฉินไปจากเขา แต่เขารู้สึกอิจฉาเสด็จอาเก้ามากกว่า
ชิงอ๋องอดคิดไม่ได้ หากตนเองถูกเฟิ่งชิงเฉินจ้องมองด้วยสายตาจริงจัง เขาจะรู้สึกเช่นไร?
เพียงแค่คิดชิงอ๋องก็รู้ว่าหัวใจของเขาเต้นเร็วกว่าปกติ และเริ่มจะควบคุมตัวเองไม่อยู่
เป็นเช่นนี้ไปได้อย่างไร!
ชิงอ๋องตื่นตระหนก รีบดึงสติของตนกลับคืนมา เขาต้องการหนีออกไป ออกไปให้ไกลจากเฟิ่งชิงเฉิน แต่เมื่อเขาเงยหน้าขึ้นและเห็นฝู่หลินกำลังมองเฟิ่งชิงเฉินด้วยสายตาอันจริงจัง สายตาแบบนั้นมัน……
มันช่างเร่าร้อนเหลือเกิน!
ฝู่หลินเขา……
ชิงอ๋องมองไปที่ฝู่หลิน จากนั้นก็มองไปที่เฟิ่งชิงเฉิน
เขายอมรับว่าท่าทางที่จริงจังของเฟิ่งชิงเฉินนั้นมีเสน่ห์เป็นอย่างมาก และยอมรับว่าเมื่อสักครู่เขาเองก็รู้สึกหวั่นไหว แต่เขาควบคุมสติและบอกกับตัวเองว่า ความรู้สึกเช่นนี้เป็นความรู้สึกที่ไม่ควรมี เนื่องจากเฟิ่งชิงเฉินเป็นคนของเสด็จอาเก้า
เขาสามารถชื่นชม สามารถนับถือ แต่สิ่งที่เขาไม่สามารถทำได้คือความรู้สึกรักใคร่ เพราะหากเป็นเช่นนั้น ทางเดียวที่รอเขาอยู่ก็คือความตาย
จื่อลั่วคือบทเรียนจากอดีต บุตรชายอันเป็นที่รักของจักรพรรดิถูกทำให้แปดเปื้อนในพริบตา ครอบครัวและคนสนิททั้งหมดถูกตัดขาดโดยเสด็จอาเก้า คู่ต่อสู้เช่นเสด็จอาเก้า คือคู่ต่อสู้ที่เขาไม่อาจต่อกรได้
หากความรู้สึกของฝู่หลินที่มีต่อเฟิ่งชิงเฉินเป็นเพียงความรู้สึกซาบซึ้งของผู้ช่วยชีวิต เช่นนั้นคงดี เพราะหากมีความคิดอื่น เส้นทางข้างหน้าของฝู่หลินคงจะไม่เป็นอย่างที่เขาวาดฝัน ฝู่หลินไม่ใช่เชื้อพระวงศ์หรือลูกหลานของจักรพรรดิ เมื่อเสด็จอาเก้าลงมือขึ้นมา เขาคงไม่มีความเมตตา
ชิงอ๋องรีบหยุดความคิดของเขา ควบคุมหัวใจอันวุ่นวายของตัวเอง ถอยออกไปด้านข้างอย่างเงียบ ๆ และเข้ามาเช็ดเหงื่อให้กับเฟิ่งชิงเฉินยามที่นางต้องการ นอกจากนั้นชิงอ๋องก็ไม่คิดเรื่องอื่นเลย
ตั้งแต่เล็กจนโต เขาก็เข้าใจมาโดยตลอดว่าอะไรคือหน้าที่ อะไรคือสถานะ ในฐานะองค์ชายที่ไม่ได้รับการสนับสนุนจากมารดาและเสด็จพ่อซึ่งเป็นจักรพรรดิอันยิ่งใหญ่ หากเขาคิดจะมีชีวิตอยู่ เขาจะต้องยึดมั่นในตัวตนและหน้าที่ของตัวเอง ห้ามละเลยหรือคิดไปมากกว่านั้นเป็นอันขาด
ชิงอ๋องยืนอยู่อย่างนั้นจนกระทั่งห้าเริ่มมืด หรือพูดอีกอย่างก็คือ เฟิ่งชิงเฉินรักษาบาดของฝู่หลินจนถึงมืด และในเวลานี้ ฝู่หลินได้หมดสติไปแล้ว
หลังจากจัดการบาดแผลที่อันเรียบร้อย สีหน้าของเฟิ่งชิงเฉินดูขาวซีด นางยืนอยู่ด้วยร่างกายซึ่งเต็มไปด้วยเลือด การรักษาที่มีความเข้มข้นสูงต้องใช้พลังงานเป็นอย่างมาก แม้เฟิ่งชิงเฉินยังอยากที่จะยืนหยัดต่อไป แต่นางก็เหนื่อยจนแทบทนไม่ไหวแล้ว
นางทุบขาทั้งสองข้างของตนเอง หยิบเข็มออกมาจากกล่องยา จากนั้นดูดยาเข้าไปในเข็มและฉีดเข้าไปในแขนพร้อมกับฉีดน้ำตาลเข้าไปในร่างกายของฝู่หลิน สุดท้ายนำยาแก้อักเสบและลดไข้ออกมาวางไว้บนโต๊ะ อธิบายและมอบหมายให้หมอหลวงเป็นผู้ดูแลฝู่หลินต่อไป
สิ่งที่นางสามารถทำได้มีเพียงเท่านี้ ที่เหลือก็ต้องปล่อยให้ฝู่หลินพึ่งพาตนเอง จะมีชีวิตอยู่ต่อไปได้หรือไม่ นางไม่ได้เป็นคนตัดสิน ทุกอย่างเป็นลิขิตจากสวรรค์
ชิงอ๋องเห็นท่าทางอันเหนื่อยล้าของเฟิ่งชิงเฉินเขาก็ไม่บังคับให้นางอยู่ดูแลฝู่หลินต่อไป ชิงอ๋องออกมาส่งเฟิ่งชิงเฉินกลับจวนเฟิ่งด้วยตัวเอง จากนั้นถึงกลับเข้าไปในพระราชวังเพื่อรายงานผล
ทันทีที่เข้าประตู พ่อบ้านก็รับวิ่งเข้ามา ยื่นจดหมายให้หนึ่งฉบับพร้อมกล่าวว่า “คุณหนู คุณชายซูส่งจดหมายมาให้ท่าน”
“คุณชายซู? ซูเหวินชิง?”
“ขอรับ” พ่อบ้านพยักหน้า
เฟิ่งชิงเฉินรับจดหมายไว้ เปิดอ่านพร้อมกับยิ้มออกมา……
ค่ำคืนของวันพรุ่งนี้ นางไม่ได้เห็นแสงสว่างอย่างที่คิด