นางสนมแพทย์อัจฉริยะ - บทที่ 925 วิธีการ ต่อให้ฟ้าถล่มข้าก็จะขวางมันไว้
นางสนมแพทย์อัจฉริยะ 925 วิธีการ ต่อให้ฟ้าถล่มข้าก็จะขวางมันไว้
มันไม่ใช่เรื่องง่ายที่เสด็จอาเก้าจะลงมือกับขุนนางของเจียงหนาน
แม้ว่าสถานะของพ่อค้าจะต่ำต้อย แต่การต่อกรกับพวกเขาก็ไม่ใช่เรื่องง่าย พ่อค้าซึ่งประสบความสำเร็จเหล่านี้ต่างมีผู้คอยอยู่เบื้องหลัง เจ้าหน้าที่และขุนนางมากมายคอยให้การสนับสนุนพวกเขาอยู่ และการสมรู้ร่วมคิดระหว่างขุนนางกับพ่อค้ามันก็ไม่ใช่เรื่องที่จะสามารถหลีกเลี่ยงได้
ซูเหวินชิงคือพ่อค้าซึ่งร่ำรวยที่สุดในตงหลิง คนที่คอยอยู่เบื้องหลังของเขาก็คือเสด็จอาเก้า ปกติแล้วก็พอจะมีเงินทองไหลมาจากทางซูเหวินชิงบ้าง แต่หากวันใดซูเหวินชิงคิดตีตัวขึ้นมาเสมอ เช่นนั้นเขาจะต้องพบกับภัยพิบัติทางการเมืองครั้งยิ่งใหญ่จากเสด็จอาเก้า เช่นเดียวกัน
หากเสด็จอาเก้าไปยุ่งกับผลประโยชน์ของขุนนางเหล่านี้ พวกเขาก็จะร่วมมือกันกลายเป็นพลังอันยิ่งใหญ่ หากเสด็จอาเก้าต้องการโจมตีเหล่าพ่อค้าในเจียงหนาน เช่นนั้นก็เท่ากับว่าเขาจะทำให้ขุนนางจำนวนมากต้องขุ่นเคือง
เฟิ่งชิงเฉินมองมายังเสด็จอาเก้าด้วยความกังวลเล็กน้อย “เจ้าจะลงไปเจียงหนานงั้นหรือ?”
“ไม่” เสด็จอาเก้ารู้ว่าเฟิ่งชิงเฉินกำลังกังวลเรื่องอะไร เขารู้ดีว่าเฟิ่งชิงเฉินไม่ใช่ผู้หญิงที่เอาแต่หมกตัวอยู่ในห้องอย่างไร้เดียงสา สิ่งเหล่านี้คือการแย่งชิงอำนาจ และนางก็สัมผัสได้ชัดเจนและลึกซึ้งกว่าผู้ชาย
“องค์รัชทายาทต้องการลงไปเจียงหนาน” เสด็จอาเก้ามีความคิดสนใจในเจียงหนานมาตั้งนานแล้ว แต่เหล่าพ่อค้าในเจียงหนานมีความแน่นแฟ้นเป็นอย่างมาก ประกอบกับมีตงหลิงจื่อลั่วและเหล่าขุนนางคอยอยู่เบื้องหลัง เสด็จอาเก้าจึงยังไม่ลงมือจนถึงทุกวันนี้
การลงมือครั้งใหญ่จะทำให้กองกำลังอันแข็งของอีกฝ่ายตอบโต้กลับคืนมา การลงมือที่เล็กเกินไปก็ไม่อาจส่งผลกระทบให้อีกฝ่ายได้ ดังนั้นจึงต้องยืดเวลาออกไปจนกระทั่งเห็นโอกาสและตัวเลือกที่ดีในวันนี้
“องค์รัชทายาทยังคิดจะสู้อีกงั้นหรือ?” เฟิ่งชิงเฉินนึกถึงใบหน้าที่ไม่สงบขององค์รัชทายาท หัวใจของนางรู้สึกเจ็บปวดเล็กน้อย
ไม่ง่ายเลยกว่าองค์รัชทายาทจะปล่อยวางทุกอย่างลงได้ หากกลับเข้ามาในวงจรเดิมอีกครั้ง มันอาจจะได้ไม่คุ้มเสีย
“นอกจากเขาจะตาย หากเขาต้องการมีชีวิตอยู่เขาก็ต้องสู้ต่อไป ไม่สู้ก็ต้องตาย” ปากของเสด็จอาเก้าพูดถึงองค์รัชทายาท แต่ในใจของเขากลับกำลังนึกถึงตัวเอง
เรื่องนี้เฟิ่งชิงเฉินเข้าใจมันดี แต่นางเพียงรู้สึกว่ามันไม่คุ้มค่าสำหรับองค์รัชทายาท เฟิ่งชิงเฉินรู้ดีว่าไม่สามารถยื่นมือเข้ามายุ่งกับเรื่องนี้ได้ นางทำได้เพียงถอนหายใจออกมาเล็กน้อย “จะทำเช่นไรได้ในเมื่อเกิดมาอยู่ภายใต้นามของราชวงศ์”
องค์รัชทายาท เสด็จอาเก้า ทั้งสองมีสถานะอันสูงส่ง ไม่สู้ก็ต้องสู้ ไม่แย่งชิงก็ต้องแย่งชิง
“ที่ใดมีคน ที่นั่นมีการต่อสู้ ตระกูลจักรพรรดิก็มีการต่อสู้ของตระกูลจักรพรรดิ คนธรรมดาก็มีปัญหาของคนธรรมดาเช่นกัน” เสด็จอาเก้าลูบศีรษะของเฟิ่งชิงเฉินและอธิบายให้นางเข้าใจ
เฟิ่งชิงเฉินครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง คิดไปคิดมาเหมือนว่าเหตุผลมันก็เป็นเช่นนั้น นางเงียบไปแต่โดยดี ไม่คิดจะพูดอะไรออกมาอีก แต่นางก็ไม่ลืมเรื่องการต่อสู้ของตระกูลหวัง การต่อสู้ของพวกเขาก็ไม่ได้ด้อยกว่าการต่อสู้ของตระกูลจักรพรรดิเลยแม้แต่น้อย เวลานี้หวังจิ่นหานยังคนนอนพักฟื้นอยู่ในจวนและยังไม่ได้กลับตระกูลหวัง
เสด็จอาเก้าเห็นท่าทางอันถ่อมตัวของเฟิ่งชิงเฉิน เขากล่าวปลอบโยน “เรื่องพวกนี้เจ้ามิจำเป็นต้องกังวล นี่คือสนามต่อสู้ของลูกผู้ชาย ผู้ชายของเจ้ามิใช่คนอ่อนแอ ต่อให้มิอาจเอาชนะได้ก็มิมีทางพ่ายแพ้จนน่าเกลียด มาพูดถึงปัจจุบันดีกว่า เจ้ามาหาข้ามีเรื่องอันใดงั้นหรือ?”
เมื่อพูดถึงเรื่องอย่างเป็นทางการ เฟิ่งชิงเฉินรีบเก็บความรู้สึกและอารมณ์ของตนเองกลับไป นางรีบเล่าเรื่องที่เหล่าหมอหลวงขอร้องนางเข้ามาดูการผ่าตัดของหยุนเซียวออกไป และท้ายที่สุดนางก็กล่าวออกมาอย่างน่าสงสาร “หากพวกเขาเป็นเหมือนครั้งที่แล้ว เอาตำแหน่งมากดดันข้า ข้าคงมิมีทางยอมเป็นแน่ แค่ครั้งนี้พวกเขามาหาข้าเพื่อเจรจา พูดคุยอย่างมีเหตุผล ข้าเองก็มิรู้ว่าจะปฏิเสธพวกเขาอย่างไรดี และทักษะทางการแพทย์ก็ควรจะศึกษาและเรียนรู้ไปด้วยกันอยู่แล้ว”
“เช่นนั้นเจ้าก็ให้พวกเขาเข้ามาดู” แม้ว่าเสด็จอาเก้าจะดูยุ่ง แต่เขาก็ยังมีเวลาว่างไปสนใจเรื่องของเฟิ่งชิงเฉิน เขารู้ว่าฝู่หลินฟื้นและพ้นจากขีดอันตราย เขารู้ว่าเฟิ่งชิงเฉินมีความสัมพันธ์อันดีกับหมอหลวงเหล่านั้น และก็รู้เกี่ยวกับเรื่องเล็ก ๆ น้อย ๆ ในใจของเฟิ่งชิงเฉิน เพียงแค่เขาไม่ได้แสดงออกมาให้เห็น
“แต่……” สีหน้าของเฟิ่งชิงเฉินดูลำบากใจ “เจ้าเองก็รู้ วิธีการรักษาของข้านั้นเกินว่าจะจินตนาการ ข้ากลัวว่า……”
“กลัวสิ่งใด?” เสด็จอาเก้าขมวดคิ้ว เสด็จอาเก้าเคยเห็นวิธีการรักษาของเฟิ่งชิงเฉินตอนที่นางรักษาขาทั้งสองข้างให้กับซีหลิงเทียนอวี่ นอกจากวิธีการและอุปกรณ์อันน่าแปลกประหลาดของนางแล้ว เสด็จอาเก้าก็ไม่รู้สึกว่ามีอะไรที่รับไม่ได้
“กลัวว่าจะถูกพวกเขาเรียกว่าแม่มด กลัวว่าพวกเขาจะหาว่าข้าใช้เวทมนต์ และกลัวว่าข้าจะถูกไฟคลอกตาย” เฟิ่งชิงเฉินเล่าเรื่องความกังวลของตนเองออกมา และสุดท้ายสายตาของนางก็จับจ้องไปยังร่างของเสด็จอาเก้า
ต้องการคำปลอบโยนและการปลอบใจ
เสด็จอาเก้าเองก็ไม่ทำให้เฟิ่งชิงเฉินผิดหวัง เขายื่นมือออกไปลูบศีรษะของเฟิ่งชิงเฉิน “มีข้าอยู่เจ้าจะกลัวอะไร วิธีการรักษาของเจ้าเป็นทักษะพิเศษ คนพวกนั้นจะรับได้หรือมิได้แล้วมันอย่างไร เหตุใดเจ้าจะต้องไปสนใจพวกเขา”
“ข้ากลัวว่าข้าจะสร้างปัญหา” ใช่ ความหมายของเฟิ่งชิงเฉินคือนางกลัวปัญหา หากนางต้องหยุดการรักษาของนางเพราะเรื่องเช่นนี้นางคงไม่มีความสุข
เวทีแสดงของนางก็คือทักษะทางการแพทย์!
“เช่นนั้นเจ้าก็ปฏิเสธคำขอของพวกเขาไป” เสด็จอาเก้าเข้าใจความหมายของเฟิ่งชิงเฉินดีจึงจงใจกล่าวออกไป
เฟิ่งชิงเฉินยิ้มอย่างขมขื่น “หากข้าปฏิเสธ และซ่อนตัวอยู่ในความมืดเช่นนี้ตลอดไป มันก็มีแต่ทำให้ยิ่งน่าสงสัยขึ้นไปอีก”
“เช่นนั้นก็ทำในสิ่งที่เจ้าอยากทำ ที่เหลือปล่อยให้เป็นหน้าที่ของข้า ต่อให้ฟ้าถล่มข้าก็จะขวางมันไว้” ในตอนที่เสด็จอาเก้ากล่าวออกมา เขาไม่ได้เพิ่มอารมณ์หรือน้ำเสียง เขากล่าวออกมาตามปกติแต่กลับสร้างความน่าเชื่อถือเป็นอย่างมาก
เฟิ่งชิงเฉินเข้าใจดีว่าคำพูดของเสด็จอาเก้าคือคำสัญญา เมื่อพูดออกมาแล้วเขาจะทำอย่างที่พูดแน่นอน ความกังวลบนใบหน้าของเฟิ่งชิงเฉินจางหายไป รอยยิ้มอันสดใสปรากฏออกมา “เช่นนั้นทุกอย่างคงต้องปล่อยให้เป็นหน้าที่ของเจ้าแล้ว”
บรรลุเป้าหมาย!
“ตกลง ทุกอย่างปล่อยให้เป็นหน้าที่ของข้า” เสด็จอาเก้ากล่าวอย่างคล้อยตาม
ความคิดของเฟิ่งชิงเฉินจะรอดพ้นจากสายตาของเสด็จอาเก้าไปได้อย่างไร เฟิ่งชิงเฉินต้องการให้คนรู้จักและยอมรับทักษะทางการแพทย์ของนางให้มากขึ้น การทำให้หมอหลวงเหล่านี้ยอมรับมันเป็นเพียงก้าวแรก ขอแค่เหล่าหมอหลวงยอมรับและเข้ามาศึกษา ใช้มันในการรักษาคนไข้ คนไข้ก็ไม่มีทางจะไม่ยอมรับมัน
หากไม่ใช่เช่นนี้ แค่เฟิ่งชิงเฉินปฏิเสธคำขอของหมอหลวงเหล่านั้นไปก็สิ้นเรื่อง เหตุใดจะต้องมาขอร้องตนถึงที่ มันก็เป็นเพียงการหาที่พึ่งพิง หากเรื่องราวไม่เป็นไปตามที่คิดไว้ เขาจะได้พอช่วยพูดอะไรได้บ้าง
เฟิ่งชิงเฉินเองก็ไม่ได้คิดถึงเรื่องนี้ นางคิดว่านางสามารถหลบซ่อนความคิดนี้ของนางจากสายตาของเสด็จอาเก้าได้ เฟิ่งชิงเฉินเห็นเสด็จอาเก้าไม่พูดอะไร นางรู้สึกมีความสุข เข้าไปกอดเอวของเสด็จอาเก้า ซบไปที่อกของเสด็จอาเก้า หลับตาลงและกล่าวว่า “ดีจริงที่มีเจ้าอยู่”
นางไม่มีพ่อแม่ ไม่มีพี่น้อง สามารถพึ่งพาตนเองได้ในทุกเรื่อง ใครที่เห็นนางต่างชื่นชมในความสามารถของนาง แต่พวกเขาเหล่านั้นไม่รู้ว่านางต้องแลกมันมาด้วยอะไรบ้าง
หากเป็นไปได้คงไม่มีผู้หญิงคนไหนอยากมีความสามารถมากมายถึงเพียงนี้ เพราะการมีคนให้พึ่งพา มีคนคอยเอาใจใส่ย่อมดีกว่า
“เช่นนั้นคืนนี้เจ้าก็ค้างที่นี่” เสด็จอาเก้าเองก็ยิ้มและโอบกอดนาง หากเฟิ่งชิงเฉินเงยหน้าขึ้นงานจะต้องเห็นใบหน้าอันสั่นไหวของเสด็จอาเก้าเป็นแน่
เอิ่ม……
ความคิดและความรู้สึกทั้งหมดในหัวของเฟิ่งชิงเฉินหายไปเพราะคำพูดนั้นของเสด็จอาเก้า แววตาของนางกลมโต ยื่นมือออกไปจิ้มหน้าอกของเสด็จอาเก้า จากนั้นกล่าวออกมาด้วยความโกรธเล็กน้อย “คนลามก คิดแต่เรื่องพวกนี้ทั้งวันเลยหรืออย่างไร……”
“ข้าคิดอะไรงั้นหรือ?” สีหน้าของเสด็จอาเก้าดูเหมือนไม่ได้รับความเป็นธรรม ท่าทางเหมือนถูกทำให้เจ็บปวด
“เสแสร้ง เสแสร้ง เจ้าอย่าทำเป็นเสแสร้ง ฮึ……หากมิได้คิดเช่นนั้น เจ้าจะให้ข้าค้างที่นี่งั้นหรือ” ใบหน้าของเฟิ่งชิงเฉินเป็นสีแดง น่าดึงดูดเป็นอย่างมาก
เสด็จอาเก้าเองก็เข้าใจว่าเฟิ่งชิงเฉินหมายถึงอะไร เขายิ้มและจับปลายนิ้วของเฟิ่งชิงเฉินไว้ ลูบปลายนิ้วของนางอย่างอ่อนโยน ก้มหัวลงและกระซิบข้างหูของนางเบา ๆ “ข้าคิด หรือว่าเจ้ามิคิด? อยู่ค้างที่นี่ดีหรือไม่……”