นางสนมแพทย์อัจฉริยะ - บทที่ 932 ขัดแย้ง เพื่อเขาเจ้าควรถอบทที่ 932 ขัดแย้ง เพื่อเขาเจ้าควรถอยไปยไป
- Home
- นางสนมแพทย์อัจฉริยะ
- บทที่ 932 ขัดแย้ง เพื่อเขาเจ้าควรถอบทที่ 932 ขัดแย้ง เพื่อเขาเจ้าควรถอยไปยไป
นางสนมแพทย์อัจฉริยะ บทที่ 932 ขัดแย้ง เพื่อเขาเจ้าควรถอยไป
“เฟิ่งชิงเฉิน เฟิ่งชิงเฉิน!”
คนยังไม่ทันมาถึงแต่เสียงกลับมาถึงก่อน ผู้มาเยือนวิ่งเข้ามาโดยไม่สนใจเหล่าองครักษ์และสาวใช้ที่ขวางอยู่ องครักษ์คิดจะเข้ามาหยุดเขาไว้ แต่กลับถูกคนที่เขาพาเข้ามาขวางไว้ และเหล่าสาวใช้ก็ไม่สามารถหยุดเขาได้เลย
สายลับได้ยินเสียงดังกล่าวจึงรีบลุกขึ้นมาดู แต่หลังจากที่เห็นท่าทางของผู้มาเยือน สายลับหาวด้วยความเบื่อหน่าย “มิมีปัญญาสังหารใคร มิต้องเสียเวลา”
“นอกจากเข้ามารบกวนเวลานาน คนผู้นี้ก็ทำสิ่งอื่นใดมิได้อีกแล้ว”
หลังจากสายลับประเมินฝ่ายตรงข้ามเรียบร้อย เขาก็สงบลงและเฝ้าดูสถานการณ์ต่อไป
ไม่มีใครกล้าเข้าไปขวาง ผู้มาเยือนโอหังเป็นอย่างมาก เดินตรงมายังสวนด้านหลัง เข้ามายังเขตที่พักอาศัยของเฟิ่งชิงเฉิน เคาะประตูและเปิดเข้าไป “เฟิ่งชิงเฉิน เฟิ่งชิงเฉิน เจ้าออกมาเดี๋ยวนี้”
เสียงดังจากด้านนอกทำให้เฟิ่งชิงเฉินตื่นขึ้นเพราะความตกใจ พลิกตัวและลงมาจากเตียง ในขณะเดียวกันก็หยิบปืนออกมาจากใต้หมอน เมื่อผู้มาเยือนบุกเข้ามา เฟิ่งชิงเฉินก็เล็งไปที่อีกฝ่าย “ปรมาจารย์แห่งหุบเขาซวนยี?”
เฟิ่งชิงเฉินเห็นผู้มาเยือน นางขมวดคิ้วเล็กน้อย และนึกถึงสิ่งที่นางเคยขอร้องฝ่ายตรงข้าม นางก็เข้าใจในทันใด
ผ่านมาหนึ่งเดือนแล้ว อาการป่วยของซุนซือสิงใกล้จะหายดี ก่อนหน้านี้นางเคยพูดกับเสด็จอาเก้าไว้ เสด็จอาเก้ารับปากเรื่องที่จะให้ซุนซือสิงกลับมา เวลานี้คาดว่าปรมาจารย์แห่งหุบเขาซวนยีน่าจะกลับมาพร้อมกับซุนซือสิง
“ใช่ ข้าเอง” ปรมาจารย์แห่งหุบเขาซวนยีไม่มีความละอายใจที่บุกรุกเข้ามายังบ้านของคนอื่นเลยแม้แต่น้อย เขายืดอกและไล่สาวใช้ที่อยู่ด้านหลังของเขาทั้งหมดออกไป “ไป ออกไปให้พ้น พวกเจ้ามิเห็นหรือไงว่าข้ากำลังคุยเรื่องสำคัญกับเจ้านายของพวกเจ้าอยู่ ไปนั่งตรงโน้น อย่ามายืนขวางหูขวางตาข้า”
“คุณหนู……” พวกนางยืนอยู่ด้านหน้าไม่กล้าเคลื่อนไหว ภายใต้สายตาอันดุร้ายของปรมาจารย์แห่งหุบเขาซวนยี พวกนางทำได้เพียงขอความช่วยเหลือจากเฟิ่งชิงเฉิน
“ออกไปเถิด ปรมาจารย์แห่งหุบเขาซวนยีมิใช่ใครอื่น” เฟิ่งชิงเฉินกัดฟันและเน้นคำว่า “มิใช่ใครอื่น”
คนธรรมดาทั่วไปไม่มีใครเขาบุกเข้ามาบ้านคนอื่นในยามเช้าตรู่เช่นนี้ แต่ปรมาจารย์แห่งหุบเขาซวนยีเป็นคนหน้าด้าน เขาไม่เคยสนใจเรื่องพวกนี้ เห็นเฟิ่งชิงเฉินบอกให้สาวใช้ออกไป เขาก็นั่งลงอย่างไม่ใส่ใจ
เฟิ่งชิงเฉินกัดฟันระงับความโกรธ “ปรมาจารย์แห่งหุบเขาซวนยี ท่านออกไปก่อนได้หรือไม่ มีเรื่องอันใด รอข้าเปลี่ยนเสื้อผ้าก่อนค่อยพูดคุยกัน”
“จะให้ข้าออกไปไหน เวลานี้เจ้าก็สวมเสื้อผ้าอยู่ ข้าอายุมากขนาดนี้ เป็นปู่ของเจ้าได้เลยด้วยซ้ำ มีอะไรน่ากังวล เจ้าวางใจ ต่อให้เสด็จอาเก้ารู้ เขาก็มิว่าอะไรเจ้า อีกอย่าง พวกเราเป็นหมอ หากต้องมาระวังเรื่องใครเป็นชายใครเป็นหญิงทั้งวัน เช่นนั้นก็คงเหนื่อยตาย เจ้ายังเป็นหมออยู่หรือเปล่า?” ปรมาจารย์แห่งหุบเขาซวนยีมองมาที่เฟิ่งชิงเฉินด้วยความเหยียดหยามอย่างรุนแรง ด้วยใบหน้าที่ราวกับว่าเจ้าสูญเสียศักดิ์ศรีความเป็นหมอไปแล้ว
เฟิ่งชิงเฉินแทบจะร้องไห้ออกมา นางคิดไม่ถึงว่าวันหนึ่งจะมีคนมาพูดกับนางเช่นนี้ พูดว่านางระวังเรื่องชายหญิงมากเกินไป นางต้องเปิดกว้างมากขึ้น อย่าสนใจเรื่องเล็กน้อยพวกนี้
เฟิ่งชิงเฉินอยากจะลากตัวเขาไปหาเสด็จอาเก้า ให้เขาอธิบายกับเสด็จอาเก้าว่าในสายตาของหมอ ผู้หญิงกับผู้ชายนั้นไม่จำเป็นต้องสร้างกำแพงขึ้นมากั้น
แน่นอนเฟิ่งชิงเฉินทำได้เพียงแค่คิด แต่ไม่กล้าที่จะลงมือทำ เสด็จอาเก้าใจแคบเพียงใด เรื่องนี้นางได้เห็นมากับตาของตัวเองแล้ว ถึงเวลานั้นคนที่โชคร้ายอาจเป็นนาง
เฟิ่งชิงเฉินสูดลมหายใจเข้าลึก ๆ เพื่อระงับความโกรธที่จะฆ่าคนที่บุกรุกเข้ามา นางหันหลังและหยิบเสื้อคลุมมาสวม นั่งและพูดกับปรมาจารย์แห่งหุบเขาซวนยีว่า “เอาละ ข้าพร้อมแล้ว ปรมาจารย์แห่งหุบเขาซวนยี เหตุใดท่านจึงมาเยี่ยมข้าตั้งแต่เช้าตรู่เช่นนี้?”
“ก็มิได้มีเรื่องอันใด ข้ามาที่นี่ก็เพื่อจะมาบอกอะไรกับเจ้าไว้สองสิ่ง เรื่องแรก การผ่าตัดของคุณชายหยุนในวันนี้ ข้าเป็นตัวแทนของจวนอ๋องเก้าในการเข้าร่วมชมการผ่าตัด และเรื่องที่สอง ข้าต้องการลูกศิษย์ของเจ้า ตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไป ซุนซือสิงหมดความสัมพันธ์ระหว่างศิษย์กับอาจารย์กับเจ้า เขาจะบูชาข้าเป็นอาจารย์แทน” ปรมาจารย์แห่งหุบเขาซวนยีอธิบายออกมาง่าย ๆ และน้ำเสียงของเขานั้น เป็นน้ำเสียงที่ไม่ได้ต้องการความคิดเห็นจากเฟิ่งชิงเฉิน มันคือน้ำเสียงที่สั่งให้เฟิ่งชิงเฉินทำตาม
เรื่องแรกเฟิ่งชิงเฉินพอเข้าใจ เสด็จอาเก้าไปรับซุนซือสิงกลับมา ปรมาจารย์แห่งหุบเขาซวนยีเรื่องการผ่าตัดของหยุนเซียว เขาน่าจะอยากเข้าร่วมความชมความตื่นเต้นครั้งนี้ด้วย ไม่เช่นนั้นเสด็จอาเก้าคงไม่ขอสิทธิ์สำหรับหมอหนึ่งคน แต่เรื่องที่สอง?
“อะไรที่เรียกว่าท่านต้องการศิษย์ของข้า?” น้ำเสียงของเฟิ่งชิงเฉินเต็มไปด้วยความโกรธ แววตาดุร้าย ปรมาจารย์แห่งหุบเขาซวนยีขาดความมั่นใจ จึงตะโกนเสียงดังออกมา “ความหมายมันก็เป็นเช่นนั้น ข้าต้องการศิษย์ของเจ้า เวลานี้ข้าต้องการรับเขาเป็นศิษย์ในสำนักเพียงคนเดียว เจ้ารีบเขียนสัญญายุติความเป็นศิษย์อาจารย์กับซุนซือสิง และปล่อยให้ซุนซือสิงมาเป็นศิษย์ของข้า”
ฮึฮึ……เฟิ่งชิงเฉินยิ้มอย่างเยือกเย็น “ปรมาจารย์แห่งหุบเขาซวนยี ท่านฝันไปเถอะ”
“เจ้าว่าไงนะ?” ปรมาจารย์แห่งหุบเขาซวนยีโกรธมาก เงยหน้าขึ้นมองเฟิ่งชิงเฉิน
เฟิ่งชิงเฉินลุกขึ้นยืนพร้อมกับนำมือทุบโต๊ะ เอนตัวไปด้านหน้าและกล่าวว่า “ข้าบอกว่าท่านฝันไปเถอะ ปรมาจารย์แห่งหุบเขาซวนยีมิธรรมดาอยู่แล้ว หากต้องการศิษย์ก็ไปหาเอาเอง”
กล้ามาออกความคิดเห็นกับศิษย์ของนาง ไม่อยากมีชีวิตอยู่แล้วใช่ไหม
“ในสายตาของข้า ข้าว่าเป็นเกียรติและโชคดีแก่ศิษย์ของเจ้าเสียด้วยซ้ำ เฟิ่งชิงเฉิน ข้าจะพูดอีกครั้งเดียว เจ้าจะหลีกทางให้ข้าหรือไม่” อีกฝ่ายเองก็ไม่แพ้กัน ปรมาจารย์แห่งหุบเขาซวนยีลุกขึ้นยืนพร้อมกับทุบโต๊ะ
มันเหมือนกับเป็นการต่อสู้ของวัวกระทิง ไม่มีใครยอมใครทั้งนั้น
“ไม่”
เฟิ่งชิงเฉินตอบกลับไปอย่างมั่นใจ ปรมาจารย์แห่งหุบเขาซวนยีโกรธจนเลือดขึ้นหน้า “เฟิ่งชิงเฉิน เจ้ามีสิทธิ์อะไรมาทำแบบนี้ เจ้ามิรู้หรือไงว่าซือสิงต้องการอยู่กับข้ามากกว่าเจ้า?”
ใบหน้าของปรมาจารย์แห่งหุบเขาซวนยีเต็มไปด้วยความเคร่งขรึม ไม่สนใจว่าเฟิ่งชิงเฉินจะคิดอย่างไร กล่าวออกมาอีกว่า “เฟิ่งชิงเฉิน เจ้าน่าจะรู้จักชื่อเสียงของข้าดี ขอแค่ข้าพูดออกไป พูดว่าหลังจากนี้ซุนซือสิงจะเป็นศิษย์สายตรงเพียงคนเดียวของข้า เขาก็จะมีชื่อเสียงขึ้นมาทันใด ได้รับเกียรติจากทุกคน ส่วนเจ้า เจ้าให้อะไรเขาได้บ้าง? เฟิ่งชิงเฉิน เพื่อผลดีกับซือสิง เจ้าควรให้เขาติดตามข้า”
สิ่งที่ปรมาจารย์แห่งหุบเขาซวนยีพูดออกมาเป็นความจริงทุกประการ การมีอาจารย์ที่ดีก็เหมือนกับการมีพื้นฐานที่ดี แต่……
“ศิษย์ของข้าก็คือความภูมิใจของข้า ด้วยความสามารถของซือสิงเอง เขาก็สามารถได้รับเกียรติจากผู้คนและสร้างชื่อเสียงให้ตัวเองได้” เฟิ่งชิงเฉินรู้ว่าการที่ให้ซุนซือสิงบูชาปรมาจารย์แห่งหุบเขาซวนยีเป็นศิษย์จะส่งผลดีต่ออนาคตของเขา แต่นางก็ทำใจไม่ได้
หากไม่มีซุนซือสิง นางจะไปหาศิษย์ที่เชื่อฟังและมีพรสวรรค์เช่นนี้ได้ที่ไหน
“เจ้ารู้หรือไม่ว่า หากปราศจากข้า เขาจะต้องก้าวเดินไปยังเส้นทางที่คดเคี้ยว ลำบากตรากตรำกว่าคนทั่วไป และต้องเสียเวลามากเพียงใด”
ปรมาจารย์แห่งหุบเขาซวนยีหยุดเล็กน้อยเมื่อเขาพูดถึงตรงนี้ เขาเห็นว่าสีหน้าของเฟิ่งชิงเฉินไม่สู้ดีนัก จึงหัวเราะออกมาอย่างเยือกเย็น จากนั้นกล่าวว่า “เฟิ่งชิงเฉิน เจ้าจะเห็นแก่ตัวเช่นนี้ไม่ได้ ซือสิงมีพรสวรรค์ทางการแพทย์ที่ยอดเยี่ยม เขาควรมุ่งมั่นและทุ่มเทไปกับการเรียนวิชาแพทย์ มิใช่ทำเรื่องวุ่นวายมิเว้นวัน มีข้าอยู่ ข้าสามารถช่วยให้ซือสิงปราศจากปัญหาเหล่านั้นได้ แต่เจ้า เจ้าทำได้งั้นหรือ?”
เพื่อลูกศิษย์ที่ดี เพื่อต้นอ่อนที่ดี เข้าสู้ตาย!
“เฟิ่งชิงเฉิน เจ้ามิเพียงแต่มิสามารถปูทางไปสู่ความสำเร็จให้ซุนซือสิงได้ แต่เจ้ายังทำให้ซุนซือสิงพบเจอกับความยากลำบาก กลายเป็นอุปสรรคในชีวิตของเขา เรื่องอาการบาดเจ็บของซือสิง เจ้ากล้าพูดหรือไม่ว่ามันมิเกี่ยวอะไรกับเจ้า? หากมิใช่เพราะเจ้า ซือสิงจะได้รับบาดเจ็บเช่นนี้หรือไม่ เฟิ่งชิงเฉิน แค่ตัวเจ้าเอง เจ้ายังเอาตัวมิรอด แล้วเจ้าจะเอาอะไรมาปกป้องซุนซือสิง เฟิ่งชิงเฉิน เพื่ออนาคตที่ดีของซือสิง เจ้าควรจะยอมรับความจริง ปล่อยเขาไป และให้เขามาเป็นศิษย์ของข้า”
เขาไม่เชื่อว่าปรมาจารย์แห่งหุบเขาซวนยีที่สง่างามอย่างเขาจะไม่สามารถเปลี่ยนซุนซือสิงและเฟิ่งชิงเฉินได้ เขารู้ดีว่าเฟิ่งชิงเฉินรักและห่วงใยซุนซือสิงมากแค่ไหน เช่นนั้นเพื่ออนาคตที่ดีของซุนซือสิง อย่างไรเฟิ่งชิงเฉินก็ต้องยินยอม……