นางสนมแพทย์อัจฉริยะ - บทที่ 936 รักษา รับข้าเป็นศิษย์ด้วยเถิด
นางสนมแพทย์อัจฉริยะ บทที่ 936 รักษา รับข้าเป็นศิษย์ด้วยเถิด
การผ่าตัดเป็นเพียงจุดเริ่มต้น เป็นก้าวแรกของการรักษา การผ่าตัดสำเร็จมันไม่ได้หมายความว่าหยุนเซียวจะปลอดภัย แต่มันหมายความว่าหยุนเซียวมีความหวังในการมีชีวิตที่มากขึ้น
ยังไม่ต้องพูดถึงภาวะแทรกซ้อนที่อาจเกิดขึ้นหลังการผ่าตัด พูดแค่เรื่องเนื้องอกจะแพร่กระจายหลังการผ่าตัดและเป็นปัญหาร้ายแรงหรือไม่ แต่ปัญหาเหล่านี้ กุญแจสำคัญมันอยู่ที่วิธีการรักษาและให้การดูแลหลังผ่าตัด
เฟิ่งชิงเฉินพันศีรษะของหยุนเซียวไว้เป็นอย่างดี จากนั้นก็เรียกทงจือและทงเหยาเข้ามา นำเก้าอี้ผ่าตัดเอนลง
เก้าอี้ผ่าตัดกลายเป็นเตียงในชั่วพริบตา เฟิ่งชิงเฉินแขวนสายน้ำเกลือ จากนั้นบอกให้ทงจือและทงเหยาเข็นเตียงไปยังห้องผู้ป่วยเพื่อดูแลและทำการรักษาต่อไป ไม่ใช่อยู่ในกระท่อมไม้หลังเล็กเช่นนี้
“แม่นางเฟิ่ง นี่มัน……” เมื่อเห็นว่าการรักษาของเฟิ่งชิงเฉินเสร็จสิ้น หมอแต่ละคนก้าวออกมาด้านหน้าโดยไม่ได้นัดหมาย ผลักปรมาจารย์แห่งหุบเขาซวนยีออกไปราวกับว่าไม่มีตัวตนอยู่ รีบถามคำถามที่สงสัยอยู่ในใจของพวกเขาออกมา
“แม่นางเฟิ่ง เส้นที่เจ้าวาดก่อนหน้านี้คือสิ่งใด?”
“เจ้านำอะไรออกมาจากศีรษะของคุณชายหยุน?”
“เจ้าผ่าศีรษะของคุณชายหยุนออก คุณชายหยุนจะเป็นอันตรายถึงชีวิตหรือไม่?”
คำถามร้อยเรียงกันมา ไม่มีใครสนใจว่าเฟิ่งชิงเฉินได้ยินคำถามเหล่านั้นหรือไม่ หมอแต่ละคนเพียงแค่นำความสงสัยในใจของตนเองออกมาทีละข้อ เพื่อต้องการคำอธิบายจากเฟิ่งชิงเฉิน
เฟิ่งชิงเฉินชินกับการที่มีคนมากมายเข้ามาถามคำถามวุ่นวายกับนางหลังเสร็จสิ้นจากการผ่าตัด เผชิญหน้ากับหมอที่กระตือรือร้น เฟิ่งชิงเฉินตอบกลับไปอย่างมืออาชีพว่า “กรุณาหลบไปก่อน ผู้ป่วยต้องการพักผ่อน มีเรื่องอะไรหลังจากนี้พวกเราค่อยมาพูดคุยกัน”
ในขณะที่พูดออกมา นางก็ไม่ลืมยกมือทั้งสองข้างของนางขึ้น เมื่อหมอเหล่านั้นเห็นมือของเฟิ่งชิงเฉิน พวกเขาก็นึกถึงสิ่งที่มือของนางสัมผัสมาเมื่อสักครู่ นึกถึงสิ่งที่นางทำ แม้จะไม่มีท่าทีรังเกียจ แต่พวกเขาก็ถอยออกไปแต่โดยดี
หมอสี่คนลังเลและถอยออกไปสองสามก้าว แต่นั่นมันก็เพียงพอที่เฟิ่งชิงเฉินจะหลบหลีกจากพวกเขาทั้งสี่ ด้านนอกของห้องผ่าตัดมีองครักษ์คอยรับหน้าที่ต่อจากทงจือและทงเหยา ทั้งสองเข็นหยุนเซียวไปยังหน้าประตู จากนั้นก็กลับเข้ามาเก็บอุปกรณ์ผ่าตัดที่เฟิ่งชิงเฉินใช้เมื่อสักครู่
“ปรมาจารย์แห่งหุบเขาซวนยี เจ้ากำลังทำอะไร?” ในตอนที่เฟิ่งชิงเฉินกำลังจะก้าวออกจากห้องผ่าตัดก็ได้ยินเสียงกรีดร้องของทงจือและทงเหยา นางหันกลับไป และเห็น……
ปรมาจารย์แห่งหุบเขาซวนยีผู้ยิ่งใหญ่ มีชื่อเสียงโด่งดังไปทั่วใต้หล้า เป็นที่เคารพของทุกคน เวลานี้เขากำลังนำสว่านลมที่ใช้เปิดกะโหลกของหยุนเซียวสอดเข้าไปในเสื้อของเขา เมื่อได้ยินเสียงตกใจของทงจือและทงเหยา ปรมาจารย์แห่งหุบเขาซวนยีเองก็ตกใจเช่นกัน มีดผ่าตัดและแหนบที่ซ่อนอยู่ในเสื้อของเขาหล่นลงมากระทบกับพื้นจนเกิดเสียงดัง
โจรขโมยของ!
เฟิ่งชิงเฉินโกรธมาก หมอทุกคนมองมาที่เขาโดยพร้อมเพรียงกัน ผ่านไปนานกว่าจะตอบสนอง
ไม่แปลกใจเลยว่าทำไมปรมาจารย์แห่งหุบเขาซวนยีถึงไม่ยอมออกมา ที่แท้เขาก็คิดจะขโมยอุปกรณ์ที่ใช้ในการผ่าตัดเปิดกะโหลกของหยุนเซียวกลับไป หมอทุกคนตบไปที่ต้นขาของตนเองอย่างรุนแรง สาปแช่งอยู่ในใจ “นี่เจ้าทำบ้าอะไรของเจ้า ขนาดข้าเองยังคิดไม่ถึงเลย”
คนที่อยู่ด้านนอกรีบวิ่งเข้ามาเมื่อได้ยินเสียงดังกล่าว คนที่อยู่หน้าสุดก็คือเสด็จอาเก้าและหวังจิ่นหลิง เมื่อหวังจิ่นหลิงเห็นเช่นนั้น เขามีรอยยิ้มระรื่นในแววตาอันอบอุ่น จากนั้นก็หันมามองเสด็จอาเก้าที่อยู่ด้านข้าง
ปรมาจารย์แห่งหุบเขาซวนยีเป็นคนของเสด็จอาเก้า ไม่ว่าเขาจะทำสิ่งใด ทั้งหมดล้วนเกี่ยวข้องกับเสด็จอาเก้า เรื่องนี้ช่างน่าสนใจยิ่งนัก
เสด็จอาเก้าสงบมาก เหลือบตามองไปที่ปรมาจารย์แห่งหุบเขาซวนยี ไม่ได้แสดงออกถึงความคิดหรือท่าทางแต่อย่างใด เขาขยับศีรษะเงียบ ๆ มองไปที่ผนังด้านซ้าย อ่า ผนังเรียบมาก สร้างออกมาได้ดี
“เกิดอะไรขึ้นงั้นหรือ?” ชายวัยกลางคนหน้าตาดีผู้หนึ่งเดินพยุงหญิงสาวแสนสวยที่กำลังตั้งครรภ์เข้ามาเข้ามา แล้วถามออกมาด้วยสีหน้างุนงง
แฮ่ม แฮ่ม……เฟิ่งชิงเฉินเก็บสายตาของนาง กล่าวออกไปอย่างนิ่งสงบ “มิมีอะไร” จากนั้นก็หันไปหาทงจือและทงเหยา “เก็บของให้เรียบร้อย”
เฟิ่งชิงเฉินไม่อยากตอบคำถาม แต่ของในห้องผ่าตัดนั้นไม่อาจหายไปได้แม้แต่เพียงชิ้นเดียว แต่เมื่อเห็นท่าทางอันนิ่งสงบของเสด็จอาเก้า เฟิ่งชิงเฉินก็ทำได้เพียงนิ่งเงียบ แสร้งทำเป็นไม่รู้และไม่เห็นอะไรทั้งนั้น
เวลานี้ตาเฒ่าตัวดีอย่างปรมาจารย์แห่งหุบเขาซวนยีเองก็ได้สติกลับมาแล้วเช่นกัน เขาไม่มีท่าทีละอายใจหรือรู้สึกผิดเมื่อผู้อื่นจับได้ ปรมาจารย์แห่งหุบเขาซวนยีรีบพูดออกมาด้วยความโกรธว่า “มองอะไรของพวกเจ้า ไม่เคยเห็นคนขโมยของหรือไง”
ใช่ ไม่เคยเห็น ทุกคนเงยหน้าขึ้นไปมองฟ้า กล้าพูดเรื่องการขโมยของคนอื่นออกมาอย่างกล้าหาญเช่นนี้ ปรมาจารย์แห่งหุบเขาซวนยีช่างเป็นคนไร้เหตุผลและแตกต่างจากผู้อื่นอย่างแท้จริง เฟิ่งชิงเฉินไม่เห็นคนแบบนี้อยู่ในสายตา นางหันไปมองทงจือและทงเหยาด้วยสายตา เพื่อบอกให้พวกนางไม่จำเป็นต้องเกรงใจ
“ทุกคนออกไปก่อนแล้วค่อยว่ากัน ในห้องผ่าตัดมีแต่กลิ่นเลือด หากอยู่ที่นี่นานอาจจะส่งผลเสียต่อทุกคน คุณชายหยุนเองก็ต้องพักผ่อนเพื่อฟื้นฟูร่างกาย” เฟิ่งชิงเฉินกล่าวออกมาอย่างเด็ดขาดถึงสิ่งที่นางต้องการ ไม่ได้ต่อว่าปรมาจารย์แห่งหุบเขาซวนยีแต่อย่างใด ปรมาจารย์แห่งหุบเขาซวนยีเองก็รู้ว่าเขาคิดผิดจึงไม่พูดอะไรออกมา เพียงแค่จ้องไปยังทงจือและทงเหยาด้วยแววตาอันโหดร้าย โทษที่พวกนางเข้ามาเร็วเกินไป
“แม่นางเฟิ่ง เซียวเอ๋อร์เป็นอย่างไรบ้าง?” ชายวัยกลางคนและผู้หญิงซึ่งกำลังตั้งครรภ์เดินตามหลังเฟิ่งชิงเฉินมาพร้อมถามออกมาด้วยความเป็นห่วง
“พวกท่านคือ?” เฟิ่งชิงเฉินหยุดเดินและหันกลับไป
“ข้าคือพ่อของหยุนเซียว นี่คือภรรยาของข้า” ชายวัยกลางคนกล่าวอย่างนุ่มนวลและใกล้ชิด คำพูดของเขาฟังดูสนิทสนม ส่วนภรรยาของเขาเองก็มองมาที่เฟิ่งชิงเฉินด้วยสายตาที่อบอุ่นและใจดี
นางคิดถึงเรื่องก่อนหน้านี้ตอนที่ตระกูลหยุนส่งของกำนัลมาเพื่อสู่ขอนางแทนหยุนเซียว เมื่อเห็นสายตาของทั้งสองก็ไม่ยากที่จะเข้าใจ
“ที่แท้ก็เป็นผู้นำตระกูลหยุนกับหยุนฮูหยิน ชิงเฉินเสียมารยาทแล้ว” นางกับหยุนเซียวเป็นหุ้นส่วนทางการค้าระหว่างกัน แน่นอนว่าเฟิ่งชิงเฉินไม่สามารถปฏิบัติกับพ่อแม่ของเขาเหมือนกับญาติผู้ป่วยธรรมดาทั่วไปได้
“มิเป็นไร มิเป็นไร พวกเรามาโดยพลการ ทั้งหมดก็เป็นเพราะพวกเราเป็นห่วงหยุนเซียว” ความรู้สึกเสียใจปรากฏออกมาบนใบหน้าของหยุนฮูหยิน เนื่องจากเกรงว่าเฟิ่งชิงเฉินจะลำบากใจ
เดิมทีหยุนเซียวไม่ต้องการให้พวกเขามา แต่นี่มันเรื่องความเป็นความตายของหยุนเซียว จะให้พวกเขานั่งอยู่เฉย ๆ ได้อย่างไร พวกเขาไม่กล้าเข้ามาด้านในเพราะกลัวจะเป็นการรบกวนเฟิ่งชิงเฉิน ดังนั้นจึงรออยู่ด้านนอก เมื่อได้ยินข่าวว่าหยุนเซียวเข้าไปในห้องผ่าตัดแล้ว พวกเขาถึงจะเข้ามา จากนั้นก็รออยู่ด้านนอกจนกระทั่งฟ้ามืด
“มิเป็นไร ข้าเข้าใจว่าพวกท่านกังวล พวกท่านโปรดวางใจ การรักษาหยุนเซียวเป็นไปอย่างราบรื่น ขอแค่หลังจากนี้ไม่เกิดเหตุไม่คาดฝันกับการรักษา มินานเขาก็จะกลับมาแข็งแรงเหมือนเดิม แต่เวลานี้เขายังมิฟื้น เวลานี้จึงมิสะดวกที่พวกท่านจะเข้าไปเยี่ยมเขา เมื่อถึงเวลา ข้าจะแจ้งพวกท่านไปในภายหลัง” ทุกคนต่างมีความรู้สึกเป็นของตัวเอง เมื่อเห็นคู่รักที่นิสัยดี อัธยาศัยอยู่ตรงหน้า เฟิ่งชิงเฉินก็ไม่สามารถแสดงใบหน้าอันเยือกเย็นออกไปได้ แน่นอนว่าทุกอย่างมันควรจะเป็นเช่นนี้ นางเป็นหมอ นางจำเป็นต้องให้ความสำคัญกับคนไข้มากกว่า
“ผู้นำตระกูลหยุน หยุนฮูหยิน ข้าจำเป็นต้องไปติดตามผลการรักษาของหยุนเซียว ต้องขอโทษด้วยที่ข้ามิสามารถอยู่พูดคุยกับพวกท่านได้เป็นเวลานาน” เฟิ่งชิงเฉินโค้งคำนับอย่างสุภาพ หันหลังและจากไปโดยไม่รอการตอบรับของทั้งสอง
นี่เป็นการกระทำที่เสียมารยาทเป็นอย่างมาก แต่เวลานี้ไม่มีใครกล่าวหาว่าเฟิ่งชิงเฉินผิด พวกหมอที่เดินตามมาก็ไม่รอช้าเช่นกัน
“แม่นางเฟิ่ง พวกข้าขอไปด้วย”
ทั้งสี่คนไม่สนใจว่าเฟิ่งชิงเฉินจะเห็นด้วยหรือไม่ พวกเขารีบเดินตามมา พวกเขายังมีข้อสงสัยอยู่อีกมากมาย พวกเขายังอยากรู้ว่าเหตุใดเมื่อผ่ากะโหลกของหยุนเซียวออกมา จากนั้นทำกลับให้เป็นเหมือนเดิมแล้วหยุนเซียวถึงยังไม่ตาย
แน่นอนว่าพวกเขามีความสงสัยมากขึ้นเกี่ยวกับการติดตามผลการรักษาและวิธีรักษาในภายหลัง โรคที่เกี่ยวกับสมองสามารถรักษาให้หายขาดได้ด้วยอย่างนั้นหรือ?
คำถามเหล่านี้มีเพียงเฟิ่งชิงเฉินผู้เดียวเท่านั้นที่สามารถให้คำตอบกับพวกเขาได้ เวลานี้นอกจากไล่ตามเฟิ่งชิงเฉินแล้ว พวกเขาก็ไม่คิดจะทำอย่างอื่น
“เฟิ่งชิงเฉิน เจ้ารอก่อน รอข้าก่อน ข้าเองก็อยากไปดูเหมือนกัน” ในห้อง ปรมาจารย์แห่งหุบเขาซวนยีได้ยินเสียงของหมอทั้งสี่คน เขารีบวิ่งออกมา ความเร็วของเขานั้นดูเร็วเกินกว่าที่อายุของเขาจะทำได้ ชั่วพริบตาก็หายไปจากหน้าทุกคน
และในตอนที่ทุกคนรู้สึกว่าปรมาจารย์แห่งหุบเขาซวนยีไม่ใช่คนธรรมดา เขาก็พูดประโยคที่ทำให้ทุกคนรู้สึกประหลาดใจออกมาอีกครั้ง ปรมาจารย์แห่งหุบเขาซวนยีไล่ตามมาด้านหลังของเฟิ่งชิงเฉินพร้อมกับตะโกนว่า “เฟิ่งชิงเฉิน ไม่ ไม่ ไม่ อาจารย์ ข้าเรียกเจ้าว่าอาจารย์เป็นอย่างไร เจ้าช่วยรับข้าเป็นศิษย์ด้วยเถิด”
อะไรนะ!
ทุกคนแอบเช็ดเหงื่อของตัวเอง พวกเขาไม่สามารถใช้ความคิดของคนทั่วไปมาทำความเข้าใจกับปรมาจารย์แห่งหุบเขาซวนยีได้