นางสนมแพทย์อัจฉริยะ - บทที่ 937 ประลอง รีบตายรีบกลับมาเกิดใหม่
นางสนมแพทย์อัจฉริยะ บทที่ 937 ประลอง รีบตายรีบกลับมาเกิดใหม่
ให้เฟิ่งชิงเฉินรับปรมาจารย์แห่งหุบเขาซวนยีเป็นศิษย์ นั่นเป็นเรื่องที่ไม่มีทางเป็นไปได้ ต่อให้ฟ้าถล่มดินทลาย เฟิ่งชิงเฉินก็ไม่มีทางยินยอมเป็นอันขาด
ไหนบอกว่านางไม่มีคุณสมบัติเพียงพอ คนนิสัยอย่างปรมาจารย์แห่งหุบเขาซวนยี เฟิ่งชิงเฉินไม่มีทางรับเป็นศิษย์อย่างแน่นอน ปรมาจารย์แห่งหุบเขาซวนยีเองก็ไม่ได้อยากเป็นศิษย์ของนางจากใจจริง เขาแค่อยากได้อุปกรณ์ในการรักษาที่นางมีอยู่เท่านั้น
การผ่าตัดอาจเป็นสิ่งมหัศจรรย์มากสำหรับหมอคนอื่น ๆ แต่ปรมาจารย์แห่งหุบเขาซวนยีเคยผ่านการผ่าตัดมาแล้วหลายครั้ง เขาเคยชำแหละศพเพื่อทำความเข้าใจเกี่ยวกับโครงสร้างในร่างกายของมนุษย์ และความเข้าใจของเขาก็ไม่ได้น้อยไปกว่าเฟิ่งชิงเฉิน เพียงแค่ได้รับคำแนะนำจากเฟิ่งชิงเฉินเพียงเล็กน้อย ปรมาจารย์แห่งหุบเขาซวนยีก็สามารถลงมีดด้วยตัวเองได้
แน่นอนว่าเรื่องรับเขาไว้เป็นศิษย์นั้นไม่มีทางเป็นไปได้ และขั้นตอนการรักษาหลังจากนี้ก็เปลืองแรงและเปลืองเวลาเป็นอย่างมาก ความรู้ทางการแพทย์ของปรมาจารย์แห่งหุบเขาซวนยีนั้นมีประโยชน์เหลือล้น มันสามารถทำประโยชน์ให้กับขั้นตอนการรักษาหลังจากนี้ของหยุนเซียวได้ เฟิ่งชิงเฉินจึงอธิบายเกี่ยวกับแผนการรักษาด้วยรังสีให้ปรมาจารย์แห่งหุบเขาซวนยีฟังอย่างไม่เห็นแก่ตัว และมอบอำนาจในการดูแลรักษาอาการป่วยของหยุนเซียวหลังจากนี้ให้กับเขาเป็นผู้ดูแล
ไม่ใช่เพราะเฟิ่งชิงเฉินใจกว้าง แต่เป็นเพราะนางไม่มีเวลาว่าง ตอนแรกนางวางแผนไว้ว่าจะมอบหน้าที่หลังการผ่าตัดให้กับซุนซือสิง ขอแค่ทำตามที่นางบอกก็ไม่มีปัญหา แต่เสด็จอาเก้ากลับสร้างปัญหาให้นางโดยไม่จำเป็น ซุนซือสิงไม่ได้กลับมา แต่ผู้ที่กลับมาดันเป็นตัวเป็นหาอย่างปรมาจารย์แห่งหุบเขาซวนยี
ในเมื่อปรมาจารย์แห่งหุบเขาซวนยียอมปฏิบัติตามคำสั่งคนรุ่นหลังอย่างนาง แน่นอนว่านางก็ไม่เกรงใจ มีผู้เชี่ยวชาญอย่างปรมาจารย์แห่งหุบเขาซวนยีอยู่ การติดตามอาการป่วยและรักษาหยุนเซียวหลังจากนี้ไม่มีปัญหาอย่างแน่นอน
แม้ปรมาจารย์แห่งหุบเขาซวนยีจะเป็นคนบ้าบอ แต่เขาจริงจังกับการรักษาผู้ป่วยเป็นอย่างมาก นี่น่าจะเป็นปัญหาหลักของหมอทั่วไป การวิจัยคือการวิจัย ผู้ป่วยคือผู้ป่วย แม้ทุกอย่างล้วนเกี่ยวข้องกับชีวิต แต่ในสายตาของผู้คลั่งไคล้ในการแพทย์ ทั้งสองอย่างนั้นแตกต่างกันโดยสิ้นเชิง
หยุนเซียวฟื้นขึ้นมาหลังจากผ่านไปสามวัน เมื่อเห็นหน้าพ่อแม่ของเขา แม้จะยังพูดอะไรออกมาไม่ได้ แต่ฟื้นขึ้นมาแล้ว มันก็เพียงพอที่จะทำให้สองสามีภรรยาตระกูลหยุนมีความสุข สายตาที่มองมายังเฟิ่งชิงเฉินยิ่งเร่าร้อนขึ้นไปอีก ทำให้เฟิ่งชิงเฉินรู้สึกขนหัวลุก
การถูกคนอื่นมองด้วยสายตาของลูกสะใภ้ มันเป็นเรื่องยากที่จะทำให้คนอื่นยอมรับ
เพื่อหลีกเลี่ยงจากสองสามีภรรยาของตระกูลหยุน สองวันหลังจากนั้น เฟิ่งชิงเฉินมอบหน้าที่การดูแลและติดตามอาการของหยุนเซียวให้กับปรมาจารย์แห่งหุบเขาซวนยี
ฮึฮึฮึ……ปรมาจารย์แห่งหุบเขาซวนยีทำได้ดีกว่านาง นางแทบจะไร้ประโยชน์ไปโดยสิ้นเชิง สิ่งเดียวที่นางต้องทำก็คือ นางจะนำกระเป๋าเครื่องมือแพทย์อัจฉริยะมาตรวจสอบร่างกายของหยุนเซียววันละหนึ่งรอบ
เมื่อมีคนดูแลหยุนเซียว เฟิ่งชิงเฉินก็มีเวลาที่จะพูดคุยกับหมอของตระกูลหวัง ตระกูลหยุน และหมอหลวงอีกสองคนที่รออยู่ในจวนเฟิ่ง แน่นอน สิ่งที่พวกเขาพูดคุยกันก็คือเรื่องอาการป่วยของหยุนเซียว
หยุนเซียวฟื้นขึ้นมาแล้ว มันพิสูจน์ได้อย่างชัดเจนว่าวิธีการรักษาของเฟิ่งชิงเฉินนั้นได้ผล เมื่อผ่านการทดสอบดังกล่าว เวลานี้เฟิ่งชิงเฉินเพียงแค่อธิบายถึงเหตุผลให้พวกเขาฟัง พวกเขาก็สามารถเข้าใจได้ แต่พวกเขาจะรับได้หรือไม่นั้น……
เรื่องนี้มันจะเป็นต้องผ่านกระบวนการ เฟิ่งชิงเฉินรู้ดีว่าแค่การกระทำเพียงหนึ่งครั้งไม่อาจซื้อใจผู้คนได้ ขอแค่หมอเหล่านี้ไม่ปฏิเสธ อนาคตหลังจากนี้ก็ไม่ใช่เรื่องยาก
แม้ว่าการแพทย์ในสมัยนี้จะไม่สามารถทำให้หมอทุกคนทำการผ่าตัดสมองได้ แต่หากเป็นแค่การผ่าตัดเล็ก ๆ ตัวอย่างเช่น ไส้ติ่ง ริดสีดวง พวกนี้ก็คงไม่ใช่เรื่องยาก
ภายใต้คำอธิบายของเฟิ่งชิงเฉิน แม้ว่าหมอทั้งสี่คนยังไม่เข้าใจอย่างถ่องแท้ แต่ก็ไม่มีวี่แววว่าพวกเขาจะต่อต้าน แม้ว่าหมอจีนกับหมอตะวันตกจะต่างกัน แต่สิ่งที่เหมือนกันก็คือต้องการรักษาให้ผู้ป่วยหายดี ขอแค่ผู้ป่วยหายดี ต่อให้ใช้วิธีอะไรก็ไม่มีปัญหา
ความสงสัยของหมอทั้งสี่คนลดลง แต่พวกเขาก็ยังไม่เต็มใจที่จะออกไปจากจวนเฟิ่ง เช่นเดียวกัน พวกเขาก็ไม่อยากสร้างปัญหาหรือมัวแต่พัวพันอยู่กับเฟิ่งชิงเฉิน ดังนั้นพวกเขาจึงเปลี่ยนเป้าหมายไปที่ปรมาจารย์แห่งหุบเขาซวนยีแทน
เฟิ่งชิงเฉินรู้สึกดีใจมากที่ทุกอย่างเป็นเช่นนี้ นางยุ่งมาก ยุ่งเรื่องคิดบัญชีกับเสด็จอาเก้า ยุ่งเรื่องการเตรียมตัวสำหรับการประลอง ยุ่งเรื่องการวางแผนกับโจ่วอัน ทำอย่างให้เขายอมพานางไปยังเมืองซานตง
เวลานี้นางยังคงเป็นบุคคลที่นักฆ่าโหยหวน หากออกจากเมืองจักรพรรดิ นางจะถูกไล่ล่าในทันที นางจำเป็นต้องพึ่งพาโจ่วอัน เช่นนั้นความเป็นไปได้ในการมีชีวิตอยู่ของนางถึงจะมากขึ้น
เรื่องคิดบัญชีกับเสด็จอาเก้าไม่ใช่เรื่องยากอะไร เฟิ่งชิงเฉินแค่หาเวลาว่างบุกไปยังจวนอ๋องเก้า แสดงท่าทีออกไปว่าตนเองไม่พอใจเสด็จอาเก้า และประณามเสด็จอาเก้าว่าหลอกลวงนาง
เสด็จอาเก้าเงียบมาโดยตลอด ไม่ว่าเฟิ่งชิงเฉินจะพูดอะไรออกมา เขาก็ไม่แสดงความรู้สึกอะไรออกมาทั้งนั้น ดูจากท่าทางของเขาแล้ว เหมือนว่าเขาจะยอมรับความผิดในครั้งนี้ แต่เฟิ่งชิงเฉินรู้ดี คนอย่างเสด็จอาเก้าไม่มีวันคิดว่าตนเองผิดพลาดแต่อย่างใด
เฟิ่งชิงเฉินได้รู้อีกครั้ง นางรู้สึกไม่พอใจกับท่าทีไร้ความรู้สึกของเสด็จอาเก้าเป็นอย่างมาก เพื่อทำให้เสด็จอาเก้ายอมรับความผิด เฟิ่งชิงเฉินประกาศออกไปอย่างจริงจัง “เสด็จอาเก้า มิสนว่าเจ้าจะยอมรับความผิดครั้งนี้หรือไม่ แต่เรื่องที่เจ้าทำลงไป มันสร้างปัญหาให้กับ มันทำให้ข้าทำอะไรมิราบรื่น เพื่อป้องกันมิให้เกิดปัญหาเช่นนี้อีก ห้ามมิให้เจ้ามานอนบนเตียงกับข้าเป็นเวลาสามเดือน”
ใบหน้าของเสด็จอาเก้ามืดมนขึ้นมาทันใด แต่เขาก็ยังคงไม่พูดอะไร ห้ามขึ้นไปนอนบนเตียงกับเฟิ่งชิงเฉิน ก็แค่พาเฟิ่งชิงเฉินมาที่เตียงของเขาก็สิ้นเรื่อง
แต่น่าเสียดาย ความคิดของเขานั้นมันหอมหวานเกินไป ความจริงมันโหดร้าย หลังจากเฟิ่งชิงเฉินชำเลืองมองเสด็จอาเก้าด้วยรอยยิ้ม นางก็จากไปอย่างสง่างาม ไม่ว่าพ่อบ้านจะพยายามเกลี้ยกล่อมนางอย่างไร นางก็ไม่หยุดแม้แต่ครึ่งก้าว
นางต้องทำให้เสด็จอาเก้าจำ หากต้องการรังแกนางก็ต้องแลกกับอะไรบางอย่าง นางเป็นคนพูดจริงทำจริง
หลังจากแสดงความไม่พอใจต่อเสด็จอาเก้า เฟิ่งชิงเฉินก็เพ่งสมาธิทั้งหมดไปที่การประลองกับซูโหยว
ในวันแห่งการประลอง มีลมพัดอ่อน ๆ กับแสงแดดอันสดใส เหมาะกับการออกไปท่องเที่ยว เฟิ่งชิงเฉินแอบตัดสินใจว่าจะออกไปเพลิดเพลินกับสายลมของฤดูใบไม้ผลิก่อนที่จะไปยังซานตง ช่วงนี้นางยุ่งมาก นางต้องการพักผ่อน และแน่นอน นางต้องติดต่อกับพวกของตี๋ตงหมิง
ไม่รู้ว่าเหตุอันใด ข่าวการประลองขี่ม้ายิงธนูของเฟิ่งชิงเฉินและซูโหยวถูกเปิดเผยออกมาตั้งแต่เนิ่น ๆ ในโรงน้ำชา และโรงเตี๊ยมอันเงียบสงบก็กลับมาคึกคักอีกครั้งเพราะการประลองอันเร่าร้อน
ต้องรู้ก่อนว่า การประลองระหว่างเฟิ่งชิงเฉินกับตระกูลซู ไม่เพียงเกี่ยวข้องกับเกียรติยศของตระกูลซูเท่านั้น แต่ยังเกี่ยวข้องกับเรื่องเงินทองของประชาชนชาวตงหลิงอีกด้วย การประลองที่ยืดเยื้อมาเป็นครึ่งปี เงินล้านตำลึงที่เดิมพันไว้กับการประลองอันยิ่งใหญ่ ในที่สุดก็จะได้รู้ผลแล้ว
ช่างน่าตื่นเต้นยิ่งนัก!
ไม่ว่าจะเป็นประชาชนผู้วางเดิมพันหรือเจ้ามือที่อยู่เบื้องหลังการเดิมพัน พวกเขาต่างตั้งหน้าตั้งตารอการประลองที่จะเกิดขึ้นในวันนี้ พวกเจ้ามือไม่สนใจว่าใครจะแพ้หรือชนะ พวกแค่อยากให้การประลองนั้นสิ้นสุดลง พวกเขาจะได้นำเงินจำนวนนั้นออกมาใช้เสียที
ตรงกันข้ามกับเจ้ามือที่รับเดิมพันในตอนเริ่มเกม ซูเหวินชิงที่เป็นเจ้ามือรายใหญ่มีความคิดตรงข้ามกับทุกคน เขาไม่รู้สึกดีใจเลยสักนิดที่การประลองเริ่มขึ้นเร็วถึงเพียงนี้ และในตอนที่การประลองใกล้จะสิ้นสุดลง ซูเหวินชิงก็กำลังกลัดกลุ้มอยู่ในจวน
“เสด็จอาเก้า เหตุใดเจ้าจึงมิทำให้การประลองยืดเวลาออกไปอีก เงินจำนวนมากขนาดนั้น ข้าจะไปนำมันมาจากที่ไหน”
ใช่! เหตุผลที่การประลองระหว่างเฟิ่งชิงเฉินและตระกูลซูยืดเยื้อออกมานางถึงเพียงนี้ นั้นเป็นเพราะความคิดของจักรพรรดิซึ่งต้องการเก็บหนานหลิงจิ่นฝานไว้ แต่เมื่อมีเสด็จอาเก้าคอยเข้ามาให้การสนับสนุน มันจึงส่งผลออกมาชัดเจนกว่า ส่วนเหตุผล……
มันก็คือเรื่องของเงินที่ซูเหวินชิงพูดถึง เงินเดิมพันจำนวนมหาศาลถูกรวบรวมไว้ด้วยเนื้อมือของซูเหวินชิง ซูเหวินชิงจะปล่อยพวกมันให้นอนอยู่เฉย ๆ และไม่แตะต้องมันได้อย่างไร
เงินจำนวนนี้ถูกซูเหวินชิงนำมาใช้ตั้งแต่แรก ใช้ในการเพิ่มพูนกองทหาร และเวลานี้……
เขายังรวบรวมกลับมาไม่ทัน!