นางสนมแพทย์อัจฉริยะ - บทที่ 943 โชคดี การมีชีวิตมีค่ามากกว่าความตาย
นางสนมแพทย์อัจฉริยะ 943 โชคดี การมีชีวิตมีค่ามากกว่าความตาย
อุบัติเหตุที่สนามม้า ทำให้ทุกคนตื่นตกใจกลัวกันไปตาม ๆ กัน ยิ่งไปกว่านั้นเสด็จอาเก้าก็ไม่ได้ไว้หน้าจักรพรรดิ จึงทำให้ในตอนนั้นจักรพรรดิรู้สึกอับอายอย่างยิ่ง และเป็นครั้งแรกที่หวังจิ่งหลิงได้แถลงถึงฐานะตำแหน่งของตนอย่างชัดเจน แต่นี่กลับทำให้จักรพรรดิรู้สึกโกรธและอับอายขายหน้าเป็นอย่างยิ่ง
“ตรวจสอบ เอามาให้ข้าตรวจสอบ ข้าต้องการรู้ว่าอะไรที่คนกินแล้วใจกล้าบ้าบิ่นเช่นนี้ บังอาจมาวุ่นวายอยู่ใตหน้าตาข้า” จักรพรรดิไม่สามารถทำอะไรกับเสด็จอาเก้ากับหวังจิ่งหลิงได้ ทำได้เพียงแค่เลือกที่จะระบายอารมณ์กับทหารอารักขา
“รับคำสั่ง ! ” ตี๋ตงหมิงปฏิบัติตามคำสั่งอย่างไม่ลังเล ทำให้สีหน้าขององจักรพรรดิดูดีขึ้นมาเล็กน้อย
ความวุ่นวายเมื่อครู่นี้ ทำใหทุกคนต่างก็ไม่มีกระจิตกระใจที่จะอยู่ในสวนสัตว์ต่อแล้ว จักรพรรดิสะบัดชายผ้าพร้อมกลับพระราชวังแล้ว พระสนมเอกหลังวังก็ตามกลับไปด้วยอาการกลัวจนตัวสั่น พวกนางเดินตามกลับไปอย่างว่านอนสอนง่าย ไม่รู้ว่าเป็นเพราะถูกทำให้ตกใจกลัวหรือว่าเพราะเหตุใดกันแน่
ในฐานะที่เป็นผู้ได้รับบาดเจ็บมากที่สุดในเหตุการณ์ครั้งนี้ ซูโหยวที่ได้รับบาดเจ็บสาหัส ทั่วทั้งร่างกายถูกเผาไหม้เป็นวงกว้าง โดยเฉพาะอย่างยิ่งใบหน้าที่ถูกแผดเผานั้น ถึงแม้ว่าจะรอดชีวิตมาได้แต่ก็เหมือนชีวิตเกือบพังทลายลง
สำหรับการทำเพื่อเสด็จอาเก้าแล้ว เฟิงชิงเฉินก็ยังคงเป็นห่วงหวังจิ่งหลิงเช่นกัน…….
“นี่เรียกว่าถูกเผาหรือ?” ปรมาจารย์แห่งหุบเขาชี้ไปที่เฟิ่งชิงเฉินที่นอนอยู่บนเตียง ดูเหมือนจะนิ้มออกมาแต่ก็ยิ้มไม่ออกเมื่อมองดูเสด็จอาเก้าและหวังจิ่งหลิง
ผู้ชายสองคนนี้ไม่มีได้สมญานามว่าเป็นผู้ที่ฉลาดหลักแหลมที่สุดในโลก ไม่นึกลยว่าผู้ที่ได้รับบาดเจ็บหรือไม่ได้รับบาดเจ็บก็ตามจะมองไม่ออกขนาดนี้ เขาช่างน่าเลื่อมใสจริง ๆ ผู้ชายสองคนนี้
หวังจิ่งหลิงปล่อยน้ำเสียงออกมา ชิงเฉินไม่เป็นไรก็ดีแล้ว
“เฟิ่งชิงเฉินสลบไปยังไม่ได้สติ” เสด็จอาเก้าก็รู้ตัวดีว่ากำลังกังวลวุ่นวายอยู่ภายในใจ แต่ฟันกับไม่ยอมรับความผิดของตัวเอง เพียงแค่สั่งการให้ปรมาจารย์แห่งหุบเขาซวนยีรีบลงมือช่วยเหลือคนโดยเร็ว
ไฟโหมไหม้ลูกใหญ่ขนาดนั้น เฟิ่งชิงเฉินเองก็อยู่ในกองไฟ เขาไม่ได้คิดถุงเลยสักนิดว่าตามร่างกายของเฟิ่งชิงเฉินจะมีร่องรอยของการถูกเผาไหม้
เอาหล่ะ เขายอมรับแล้วว่าตอนนั้นเขาตกใจจนขาดสติไป เดิมทีแล้วไม่ได้สำรวจสภาพของเฟิ่งชิงเฉินเลย ในหัวมีแค่เพียงวิธีเดียว นั่นก็คือต้องรวดเร็วที่สุด ในการนำตัวของเฟิ่งชิงเฉินส่งกลับไปยังจวนเฟิ่ง สั่งให้ท่านปรมาจารย์ช่วยชีวิตคน นอกเหนือจากนี้แล้วก็นึกไม่ถึงอีกเลย ว่าแท้จริงแล้วเฟิ่งชิงเฉินไม่ได้ต้องการความช่วยเหลือจากท่านปรมาจารย์
“นางอุดอู้อยู่ภายในกองไฟน่ะ เพียงแค่ครึ่งชั่วยามก็จะตื่นขึ้นมาเองได้แล้ว” ปรมาจารย์แห่งหุบเขาซวนยีกล่าวออกมาด้วยน้ำเสียงที่ไม่ดี ไม่สนใจว่าใครก็ตามที่เป็นชนชั้นสูง แต่หากถูกคนลากออกมาก็ย่อมไม่พอใจ
อืม
เสด็จอาเก้ารับทราบถึงการวินิจฉัยโรคของปรมาจารย์แห่งหุบเขาซวนยี หากแต่ยังไม่สนใจเขาอยู่ดี ผู้ที่อยู่ตรงข้ามต่อหน้ากันคือหวังจิ่งหลิน ผู้มีดวงตาลึกและอ่อนโอนเอ่ยถามขึ้นมาด้วยความสงสัยว่า “ท่านปรมาจารย์แห่งหุบเขาซวนยี ท่านแน่ใจรึว่าเฟิ่งชิงเฉินจะฟื้นขึ้นมาได้สติอีกครั้งภายในเวลาเพียงแค่ครึ่งชั่วยาม?”
“แน่นอนสิ มีอะไรรึ? นี่เจ้ามีข้อกังขากับผู้ชำนาญด้านการแพทย์อาวุโสอย่างข้ารึ” ท่านปรมาจารย์แห่งหุบเขาซวนยีแลดูไม่เที่ยงธรรมเมื่ออยู่ต่อหน้าเฟิ่งชิงเฉิน แต่เมื่ออยู่ต่อหน้าผู้อื่นแล้ว จะวางตัวเป็นผู้มีอำนาจบารมี อีกทั้งยังไม่ทำให้ผู้อื่นมีข้อกังขาได้ง่าย หรือแม้แต่คนบ้านตระกูลเจียก็ไม่ได้
หวังจิ่งหลิงส่ายหัวด้วยความเย็นชา “ท่านปรมาจารย์คือผู้ที่มีทักษะด้านการแพทย์สูง จิ่งหลิงไม่กล้ามีข้อกังขาต่อท่านปรมาจารย์ด้านการแพทย์หรอกเจ้าค่ะ เพียงแค่…… ”
“เพียงแค่อะไร” ปรมาจารย์แห่งหุบเขาซวนยีไม่รอให้จิ่งหลิงพูดจบ ก็ขัดจังหวะขึ้นมาอย่างไม่มีความเกรงใจ ทั้งยังมอเขม็งไปที่หวังจิ่งหลิงอย่างชั่วร้าย
กล้ามีข้อกังขากับความชำนาญด้านการแพทย์ของเขา ชีวิตก็จะไม่สงบสุขหรอก
หากแต่หวังจิ่งหลิงไม่ได้รู้สึกหวาดหวั่นแต่อย่างใด เพียงแค่ชี้ไปทางเฟิ่งชิงเฉินที่นอนอยู่บนเตียง แล้วเอ่ยขึ้นปนหัวเราะว่า “เพียงแค่ ดูเหมือนว่าชิงเฉินจะฟื้นขึ้นมาแล้วสิ”
“อะไร?” ปรมาจารย์แห่งหุบเขาซวนยีหันหน้ากลับไปมองทันที เห็นเพียงแต่แพขนตาของเฟิ่งชิงเฉินสั่นไหล หนังตาค่อย ๆ ขยับราวกับรอยยิ้ม ถ้าหากไม่เรียกว่าฟื้นขึ้นมาแล้วจะเรียกว่าอะไรกัน
“เฟิ่งชิงเฉิน!” ปรมาจารย์ห้ามไม่ให้คอตัวเองส่งเสียงตะโกนดังออกมา แต่เสียงมันกลับดังมากซะจนอวิ๋นจื่อที่พักฟื้นอยู่ที่ลานบ้านได้ยินเข้า อวิ๋นจื่อแคะหูตัวเองแคะแล้วแคะอีก จากนั้นจึงเอ่ยอย่างใจเย็นว่า “ที่ทำให้ท่านปรมาจารย์แห่งหุบเขาโกรธได้เช่นนี้ ทั้งที่ดู ๆ แล้วเฟิ่งชิงเฉินก็ไม่ได้เป็นอะไร แต่ก็เป็นห่วงนางไปเองแล้ว”
“คุณชาย แม่นางเฟิ่ง แม่นางเฟิ่งไม่เป็นอะไรแล้วขอรับ” ผู้ที่ได้ยินข่าวอย่างนั้นก็รีบวิ่งกลับเข้ามาทันที แล้วจึงกล่าวขึ้นทั้งที่ยังหอบแฮก
อวิ๋นจื่อเผยรอยยิ้มกว้างออกมาอยางง่ายดาย แสดงให้เห็นว่าตนรับรู้แล้ว ด้วยการโบกมือให้อีกคนถอยออกไป ด้วยอากัปกิริยาที่สง่างาม แต่มันกลับเข้ากันได้ดีกับหัวล้านของเขา เผยความรู้สึกปิติยินดีออกมาเล็กน้อย
หากว่าเป็นไปตามอย่างที่ท่านปรมาจารย์แห่งหุบเขาซวนยีวินิจฉัยนั้น เฟิ่งชิงเฉินก็จะไม่ได้รับบาดเจ็บจากการถูกไฟไหม้ แต่จะเป็นเพียงอยู่เข้าไปอยู่อุดอยู่กลางกองไฟเท่านั้น ที่ลำคอได้รับบาดเจ็บนิดหน่อย แต่เมื่อได้สตินั่นจึงแปลว่าเฟิ่งชิงเฉินไม่เป็นอะไรแล้ว เพียงแต่ว่านางฟื้นขึ้นมาเร็วเกินไป เป็นการทำลายภาพลักษณ์ของท่านปรมาจารย์แห่งหุบเขาซวนยีผู้วิเศษ
“เฟิ่งชิงเฉิน นางคนระยำ เหตุใดเจ้าจึงฟื้นขึ้นมาเร็วเช่นนี้” ความรู้สึกภายในใจของท่านปรมาจารย์แห่งหุบเขาซวนยีไม่ได้ต่างไปจากจักรพรรดิสักเท่าไร
เพราะเฟิ่งชิงเฉินมักจะเป็นกุญแจสำคัญในการเปิดโปงพวกเขา
“หนวกหูน่า!” ลำคอของเฟิ่งชิงเฉินถูกเขม่าควันคลอก จึงทำให้โทนเสียงแหบต่ำลงเล็กน้อย
“หนวกหูรึ? ข้าจะเสียงดังแล้วใครจะตำหนิข้า” ท่านปรมาจารย์แห่งหุบเขาซวนยีโกรธจัดขึ้นกว่าเดิม เขารู้สึกว่าเฟิ่งชิงเฉินไม่ถูกชะตากันกับเขาอาซะเลย เมื่อพบกับเฟิ่งชิงเฉินเขาก็ดูไม่มีประโยชน์อะไร
เฟิ่งชิงเฉินมองไปทางปรมาจารย์แห่งหุบเขาซวนยีด้วยท่าทีไม่ค่อยดีนัก แสดงเจตนาต่อบ่าวรับใช้ว่านางต้องการน้ำสักแก้ว บ่าวรับใช้ยังไม่ทันขยับตัว เสด็จอาเก้าก็เทน้ำมา แล้วส่งให้เฟิ่งชิงเฉินที่อยู่ตรงหน้า
เฟิ่งชิงเฉินหยุดชะงักงันไปพักหนึ่ง แล้วเงยหน้าขึ้นมาเผชิญกับดวงตาอันเย็นชาของเสด็จอาเก้า ไม่มีคำพูดสักคำที่เอื้อนเอ่ย เพียงแค่ยืดมือออกมารับแก้วน้ำนั่นไว้ แล้วดื่มรวดเดียวหมด มันทำให้นางสำลักไอออกมาสองครั้ง หลังจากนั้นเฟิ่งชิงเฉินจึงรู้สึกดีขึ้นเล็กน้อย
มองดูเสด็จอาเก้ากับหวังจิ่งหลิงด้วยใบหน้าเงียบสงบ แล้วจึงเอ่ยออกมาอย่างไม่ได้รู้สึกสุขใจว่า “ชิงเฉินหากว่าเจ้าไม่เป็นไรแล้วช่างดีจริง ๆ เลย ” คำพูดเช่นนี้ เฟิ่งชิงเฉินไม่ได้ยกเอาอาการบาดเจ็บของตนขึ้นมาพูด แต่ถึงอย่างไรมันก็ชัดเจนแล้วว่า นางไม่ได้รับบาดเจ็บใด ๆ
เฟิ่งชิงเฉินถามกลับไปตามตรง “สุดท้ายแล้วมันเปิดอะไรขึ้น อยู่ดี ๆ สวนสัตว์จะเกิดไฟไหม้ได้อย่างไร”
“บนน้ำมีน้ำมัน ส่วนสาเหตุอย่างละเอียดกำลังตรวจสอบ ในตอนนั้นเกิดอะไรขึ้น” เสด็จอาเก้าเอ่ยถามขึ้นถึงสถานการณ์ในที่เกิดเหตุ แล้วจึงรีบเปลี่ยนเรื่องทันที
เขาไม่สามารถบอกเรื่องทั้งหมดกับเฟิ่งชิงเฉินได้ เพราะทั้งเขาและหวังจิ่งหลิงก็ต่างเป็นกังวลใจเกี่ยวกับความปลอดภัยของเฟิ่งชิงเฉิน ทั้งที่จริงไม่ได้สนใจสถานการณ์ที่เกิดขึ้นหลังจากนั้นเลย และไม่ได้ตรวจสอบที่เกิดเหตุเลยด้วยซ้ำ ทำเพียงแค่อุ้มนางกลับมาที่จวนก็เท่านั้น
ดังนั้น สุดท้ายแล้วสถานที่เกิดเหตุเป็นอย่างไร พวกเขาก็ไม่ชัดเขนเช่นกัน
“ในตอนนั้น……”
สถานการณ์ในตอนนั้นน่าหวาดกลัวมาก ตอนที่เฟิ่งชิงเฉินก้าวขาขึ้นไปอยู่บนสะพาน แล้วพบว่าน้ำที่อยู่ใต้สะพานไม่เป็นปกติ ดูเหมือนว่าจะมีชั้นน้ำมันลอยอยู่เหนือผิวน้ำ เมื่อคิดได้เช่นนั้นก็อยากจะถอยกลับ แต่ซูโหยวก็ลืมตาขึ้นมาแล้ว จึงทำให้เฟิ่งชิงเฉินไม่มีทางเดินไปต่อ เมื่อคิดถึงสะพานไม้กับน้ำมันที่ลอยเหนืออยู่บนผิวน้ำ ก็พอจะเดาออกได้ว่าจะเกิดอันตรายอะไรขึ้น
เฟิ่งชิงเฉินถกเสื้อคลุมขึ้นมาบังหน้าตนเองไว้ ในขณะเดียวกันก็เร่งความเร็วไปข้างหน้า แต่ทว่ากลับยกแซ่ขึ้นไม่ทัน ผิวน้ำก็ติดไฟขึ้นมาแล้ว ไฟร้อนระอุลุกโชนขึ้นมาอย่างรุนแรงและรวดเร็ว ในเวลานั้นทำได้แค่นั่งลงบนสะพานไม้แล้วกอดตัวเองไว้
ยังดีที่บนสะพานไม่มีน้ำมัน แล้วมันก็ไม่ได้ลุกไหม้เร็วขนาดนั้น แต่เป็นเพียงแค่ช่วงเวลานี้เท่านั้น ได้จังหวะพอดีที่เฟิ่งชิงเฉินหอบหายใจ แล้วปลอบขวัญม้าอยู่นั้น โหมไฟขนาดใหญ่ราวกับคลื่นทะเลพุ่งเข้ามาอย่างเร็วที่สุด
เดิมทีเฟิ่งชิงเฉินสามารถเดินไปก่อนได้ แต่ประจวบเหมาะกับเวลาที่นางคิดจะเดินอยู่นั้น กลับได้ยินเสียงของซูโหยวดังขึ้นมาจากด้านหลัง “เฟิ่งชิงเฉิน ช่วยข้าด้วย! ขอร้องเจ้าหล่ะ! ”
“ขอร้องเจ้าหล่ะ!”
“ช่วยข้าด้วย!”
เฟิ่งชิงเฉินไม่ใช่แม่พระ ที่เพียงเพราะได้ยินซูโหยวพูดมาแค่หนึ่งประโยคว่า “ขอร้องเจ้าหล่ะ” แล้วจะเปลี่ยนใจ หากว่าพูดอีกครั้งในตอนนี้สะพานก็ใกล้จะพังแล้ว เฟิ่งชิงเฉินจะเอาเวลาว่างที่ไหนไปช่วยซูโหยว ชีวิตความเป็นความตายของซูโหยวก็ไม่ใช่ธุระกงการอะไรของนางด้วยซ้ำ แต่ทว่า……
ซูโหยวดูเหมือนจะมุ่งมั่นให้เฟิ่งชิงเฉินหันมาช่วยนางอย่างนั้น บนสะพานนี้เวลาก็ลดน้อยลง ซูโหยวไม่สนใจเกี่ยวกับการควบม้าแล้ว เฟิ่งชิงเฉินรีบวิ่งไป หรือว่าเป็นเพราะประโยคนั้น “เฟิ่งชิงชิงเฉิน ขอร้องเจ้าหล่ะ!”
เอาหล่ะ เฟิ่งชิงเฉินยอมรับว่านางเองใจอ่อนลงบ้างแล้ว จากนั้นซูโหยวก็คิดขึ้นมาทันทีว่าการมีชีวิตอยู่ดีกว่า แล้วค่อยว่ากันอีกทีเรื่องดึงซูโหยวลง นางเองก็มีเรื่องไม่ได้ เมื่อคิดได้อย่า
งนั้นนางจึงสะบัดแซ่ไปที่ม้าให้วิ่งไปทางซูโหยว
เพียงแต่ขอให้ชีวิตของซูโหยวไม่สิ้นลงก็พอ เฟิ่งชิงเฉินจึงทำได้แค่สะบัดปลายแส้เบา ๆ ให้ไปโอบรอบตัวซูโหยว ดังนั้น……
เฟิ่งชิงเฉินพาซูโหยวออกมาจากท่ามกลางเพลิงไฟ เพียงแต่ว่าซูโหยวไม่ได้โชคดีเหมือนเฟิ่งชิงเฉินขนาดนั้น ร่างกายของนางถูกเผาไหม้จนได้รับบาดเจ็บสาหัสกว่า
“ชีวิตของซูโหยวยิ่งใหญ่ยิ่งนัก” เมื่อได้ยินคำพูดของเฟิ่งชิงเฉินแล้ว เสด็จอาเก้าและหวังจิ่งหลิงต่างก็เอ่ยออกมาพร้อมทอดถอนใจ
“แท้จริงแล้วชีวิตยิ่งใหญ่นัก ก็ไม่รู้ว่าเป็นเพราะซูโหยวโชคดีหรือโชคร้ายกันแน่ นางเองก็ได้รับบาดเจ็บจนไม่สามารถเข้าวังได้อีกอย่างแน่นอนแล้ว” หาได้ยากนักที่เฟิ่งชิงเฉินจะเป็นห่วงเป็นใยซูโหยว
ซูโหยววางแผนมาอย่างมากว่า ถ้าหาก…… แต่มันก็อาจจะว่างเปล่า