นางสนมแพทย์อัจฉริยะ - บทที่ 944 ยืมเงิน รู้เรื่องราวภายในก็ดีแล้ว
นางสนมแพทย์อัจฉริยะ บทที่ 944 ยืมเงิน รู้เรื่องราวภายในก็ดีแล้ว
เสด็จอาเก้าและหวังจิ่นหลิงไม่สนใจว่าแผนของซูโหยวจะสำเร็จหรือไม่ ในสายตาของพวกเขาซูโหยวไม่ได้ต่างอะไรจากคนตาย แต่เฟิ่งชิงเฉินรู้สึกว่าการที่ซูโหยวมีชีวิตอยู่ต่อไปนั้นเป็นเรื่องที่ดีกว่า เช่นนั้นก็ปล่อยให้ซูโหยวมีชีวิตอยู่ต่อไป
เมื่อเทียบกับความเป็นความตายของซูโหยว พวกเขากังวลเกี่ยวกับผู้อยู่เบื้องหลังเหตุวางเพลิงในโรงเลี้ยงสัตว์หลวงเสียมากกว่า ว่าคนผู้นั้นเป็นใคร เนื่องจากเกี่ยวข้องกับความปลอดภัยของเฟิ่งชิงเฉิน
ดังนั้นเพื่อความปลอดภัยของเฟิ่งชิงเฉิน แม้เฟิ่งชิงเฉินไม่ได้รับบาดเจ็บหรือเป็นแผลบนร่างกาย แต่พวกเขาก็ประกาศออกไปยังภายนอกว่านางถูกไฟคลอกจนได้รับบาดเจ็บสาหัส
ไม่ใช่ว่า1และหวังจิ่นหลิงตั้งใจจะจัดการกับเฟิ่งชิงเฉิน แต่เป็นเพราะมีเพียงประกาศออกไปเช่นนี้เท่านั้น เสด็จอาเก้าและหวังจิ่นหลิงถึงสามารถใช้โอกาสจากปัญหา ทำให้เมืองจักรพรรดิวุ่นวาย จากนั้นก็จะสามารถหาตัวการที่อยู่เบื้องหลังได้โดยง่าย
เพื่อทำให้ดูเหมือนได้รับบาดเจ็บสาหัส ร่างกายของเฟิ่งชิงเฉินถูกพันด้วยผ้าพันแผล โชคดีที่ใบหน้าของเฟิ่งชิงเฉินไม่ถูกพันไว้ คนในโรงเลี้ยงสัตว์หลวงรู้ว่าใบหน้าของเฟิ่งชิงเฉินนั้นไม่ถูกไฟไหม้ เฟิ่งชิงเฉินจึงสามารถหลีกเลี่ยงไม่ให้พันผ้าพันแผลบนใบหน้าของนาง
แค่พันผ้าพันแผลอย่างเดียวนั้นยังไม่เพียงพอ เฟิ่งชิงเฉินยังต้องนอนอยู่ในโรงพยาบาลตลอดเวลา เพื่อป้องกันไม่ให้ความลับถูกเปิดเผย วันสองวันก็ไม่เป็นไร แต่เมื่อเวลาผ่านไปนาน เฟิ่งชิงเฉินรู้สึกเบื่อที่ต้องนอนอยู่บนเตียงจนนับเส้นผมของตนเองแทบจะหมดหัวอยู่แล้ว
“ที่แท้การแสร้งทำเป็นป่วยก็เป็นทักษะการเอาชีวิตรอดอย่างหนึ่ง ไม่เช่นนี้คงไม่มีชีวิตรอดมาถึงทุกวันนี้” เฟิ่งชิงเฉินนอนกลิ้งอยู่บนเตียง ทงจือและทงเหยาไม่กล้าส่งเสียงออกมา
เนื่องจากเฟิ่งชิงเฉิน “บาดเจ็บสาหัส” เมื่อมีคนมาหาหมอ เฟิ่งชิงเฉินซึ่งกำลังป่วยอยู่ก็ไม่ต้องออกไปต้อนรับหรือพูดคุย เพื่อปกปิดความลับ คนที่ไม่ควรพบเฟิ่งชิงเฉินก็ไม่พบ ส่วนคนที่นางสามารถพูดคุยได้ในยามปกติก็มีแค่คนใกล้ชิดเพียงไม่กี่คน แต่คนพวกนั้นส่วนใหญ่ก็จะยุ่งกันไปเสียหมด
เสด็จอาเก้าและหวังจิ่นหลิงต้องการตรวจสอบเรื่องการวางเพลิงให้กระจ่าง ปรมาจารย์แห่งหุบเขาซวนยียุ่งอยู่กับการรักษาหยุนเซียว มีอยู่วันหนึ่งเขาได้พบกับชุยห้าวถิง เขาเอาแต่ตอแยชุยห้าวถิงไม่ยอมเลิกรา หากไม่ใช่เพราะชุยห้าวถิงมีองครักษ์สิบหกคนของตระกูลชุยคอยปกป้อง เกรงว่าเขาคงถูกปรมาจารย์แห่งหุบเขาซวนยีกดลงบนเตียงและชำแหละบาดแผลของเขาอีกครั้ง
คนที่หมกมุ่นและบ้าคลั่งในทักษะการทางแพทย์ เป็นคนที่ไม่สามารถรุกรานได้
ทุกคนต่างมีเรื่องยุ่งให้จัดการ แม้แต่ทงจือและทงเหยาเองก็ยุ่งอยู่ทั้งวัน นี่ทำให้เฟิ่งชิงเฉินยิ่งรู้สึกเบื่อขึ้นไปอีก หากนางไม่คิดว่าสถานการณ์โดยรวมสำคัญกว่า นางคงถอดผ้าพันแผลพวกนี้ออกไปตั้งนานแล้ว
ในเวลาที่เฟิ่งชิงเฉินรู้สึกเบื่อหน่ายจนร้องขอชีวิต ในที่สุดก็มีคนผู้หนึ่งเข้ามาเยี่ยมนางเพื่อลดความหดหู่ในหัวใจ
“ซูเหวินชิง เจ้ามาเยี่ยมข้างั้นหรือ?” เฟิ่งชิงเฉินพยุงตัวขึ้นด้วยมือข้างหนึ่ง และบอกให้ซูเหวินชิงนั่งลง
“เจ้าดูเหมือนคนที่กำลังป่วยอย่างนั้นหรือ” ถึงจะพูดออกไปเช่นนี้ แต่ซูเหวินชิงก็ยังยื่นยาบำรุงให้กับเฟิ่งชิงเฉิน
เฟิ่งชิงเฉินเห็นใบหน้าอันซีดเซียวและอ่อนแรงของซูเหวินชิง นางก็พยักหน้าอย่างหนักแน่น “เมื่อเทียบกับเจ้า ข้าก็ดูเหมือนไม่ใช่คนป่วย แต่เจ้ากลับดูเหมือนคนป่วยเสียมากกว่า เป็นอย่างไร? ไม่สบายงั้นหรือ? ไหนลองยื่นมือออกมา”
นี่คือโรคของคนเป็นหมอ เมื่อเห็นอีกฝ่ายมีสีหน้าไม่ดี ก็อยากจะรักษาขึ้นมาทันใด แม้ว่าตนเองกำลัง “รักษา” อาการป่วยของตนเองอยู่ ก็เปลี่ยนความเคยชินนี้ไม่ได้
ซูเหวินชิงรู้สึกฟุ้งซ่าน เมื่อได้ยินเสียงของเฟิ่งชิงเฉินเขาก็ไม่คิดอะไรทั้งนั้น ยื่นมือออกไปอย่างเชื่อฟัง ในตอนที่เฟิ่งชิงเฉินกำลังจะตรวจชีพจรให้เขา ซูเหวินชิงถึงนึกได้ว่าเฟิ่งชิงเฉินเป็นหมอ จึงรับดึงมือกลับมาทันที “ข้าแข็งแรงจะตาย คนป่วยคือเจ้าต่างหาก”
“เจ้าไม่ได้ป่วย? ไม่ป่วยแล้วเหตุใดเจ้าถึงดูเหมือนคนป่วยเช่นนี้?” เฟิ่งชิงเฉินไม่ค่อยเชื่อ ในใจสงสัยว่าอาการป่วยโรคไตของซูเหวินชิงรุนแรงขึ้นอย่างนั้นหรือ?
หากพูดตามเหตุผลก็ไม่น่าเป็นไปได้ เนื่องจากผลตรวจครั้งที่แล้วก็ปกติและอยู่ในสภาพดีทุกอย่าง
เห็นเฟิ่งชิงเฉินขมวดคิ้วด้วยความครุ่นคิด ซูเหวินชิงก็เดาได้ว่าเฟิ่งชิงเฉินกำลังคิดอะไรอยู่ เลือดไหลเวียนบนใบหน้า กัดฟันและกล่าวออกมาว่า “เฟิ่งชิงเฉิน ข้าจะพูดอีกครั้ง ข้าไม่ได้ป่วย ข้าแข็งแรงดี”
“ได้ ได้ ได้ เจ้าไม่ได้ป่วยก็ไม่ได้ป่วย ข้ารู้แล้ว เจ้าไม่ต้องมาเน้นย้ำ” จากน้ำเสียงนี้ฟังดูไม่เหมือนคนที่กำลังป่วย อีกอย่างมีปรมาจารย์แห่งหุบเขาซวนยีอยู่ ต่อให้ซูเหวินชิงจะป่วยนางก็ไม่จำเป็นต้องกังวล
เมื่อคิดเช่นนี้ เฟิ่งชิงเฉินก็เลิกซักถามออกต่อไป แต่ซูเหวินชิงก็ดูเหมือนจะไม่มีความสุข นั่งลงไปด้วยความหดหู่และหนักใจ เขาไม่พูดอะไร เฟิ่งชิงเฉินเห็นเช่นนั้นก็รู้สึกว่ามันผิดปกติ จึงลองถามออกมาอีกครั้ง “ซูเหวินชิง เจ้ายังสบายดีอยู่หรือไม่?”
“ไม่ค่อยสบายเท่าไหร่” ซูเหวินชิงที่แสร้งทำเป็นน่าสงสาร เมื่อได้ยินคำถามของเฟิ่งชิงเฉิน เขาก็รีบตามน้ำไปทันที
“เกิดเรื่องอะไรขึ้นงั้นหรือ?” เฟิ่งชิงเฉินมั่นใจ ซูเหวินชิงไม่ได้ป่วย แต่เขาน่าจะกำลังเผชิญกับปัญหาบางอย่างอยู่
ซูเหวินชิงหันมามองเฟิ่งชิงเฉิน จากนั้นก็ไม่ได้พูดอะไร เฟิ่งชิงเฉินเองก็ไม่ได้รีบร้อน นางรอให้ซูเหวินชิงเอ่ยปากออกมา ซูเหวินชิงรออยู่นานก็ไม่เห็นว่าเฟิ่งชิงเฉินจะถามอะไร จึงถามออกมาด้วยความไม่พอใจว่า “เฟิ่งชิงเฉิน เจ้าจะถามข้าอีกหน่อยไม่ได้หรือ?”
ไม่เห็นหรือไงว่าเขากำลังรอให้เฟิ่งชิงเฉินเอ่ยปากถาม
“มันจำเป็นงั้นหรือ? จากท่าทางของเจ้า ต่อให้ข้าไม่ถาม เจ้าก็จะพูดมันออกมาอยู่ดี” เฟิ่งชิงเฉินขมวดคิ้ว อย่าคิดว่านางกำลัง “พักฟื้น” และนางจะอ่านใจเขาไม่ออก
ซูเหวินชิงกัดฟันด้วยความโกรธ เมื่อเห็นว่าเฟิ่งชิงเฉินไม่อยากรู้อยากเห็นเลยแม้แต่น้อย ดูเหมือนว่านางจะไม่สนใจเรื่องนี้ และไม่เปิดทางให้เขาอีกต่อไป สุดท้ายเขาก็ต้องขุดหลุมฝังตัวเอง ซูเหวินชิงสูดลมหายใจเข้า จากนั้นก็พูดในเรื่องที่ตนเองมาให้เฟิ่งชิงเฉินในวันนี้ “เฟิ่งชิงเฉิน ที่ข้ามาหาเจ้าในวันนี้ ข้ามาเพื่อขอยืมเงินจากเจ้า”
“ยืมเงิน? ต้องการเท่าไหร่?” เฟิ่งชิงเฉินรู้ว่าซูเหวินชิงรู้สึกอับอาย ภาพจำที่ผู้ชายเป็นใหญ่ผู้หญิงเป็นรองยังอยู่ในสมอง ลูกผู้ชายที่สง่างามกลับมาเอ่ยปากของยืมเงินสตรี เรื่องนี้จำเป็นต้องใช้ความกล้าอย่างมาก
ซูเหวินชิงเป็นคนที่หยิ่งในศักดิ์ศรีของตนเอง หากไม่จนปัญญาจริง ๆ เขาไม่มีทางเอ่ยปากออกมาเช่นนี้
โคนหูของซูเหวินชิงกลายเป็นสีแดง เขาเตรียมใจมานาน แต่เมื่อเอ่ยปากออกไปเขาก็ยังรู้สึกอายอยู่ดี เห็นเฟิ่งชิงเฉินไม่ได้ใส่ใจ เขาถึงระงับความคิดในสมอง ควบคุมตนเองให้สงบลง และพูดในจำนวนเงินที่ต้องการออกไป “สองล้านตำลึง”
“สองล้านตำลึง?” เฟิ่งชิงเฉินพูดซ้ำด้วยอีกครั้งด้วยความประหลาดใจ
นี่ นี่มันมากเกินไปหรือเปล่า นางจะไปมีเงินมากมายขนาดนั้นได้อย่างไร
“อ่า” เมื่อพูดออกไปแล้ว ซูเหวินชิงเองก็ไม่ยอมแพ้เช่นกัน เพียงแค่เขายังรู้สึกไม่ค่อยชิน เนื่องจากก่อนหน้านี้เขาไม่เคยเอ่ยปากยืมเงินผู้หญิงมาก่อน
มาหาสตรีเพื่อขอความช่วยเหลือหรือความร่วมมือถือเป็นเรื่องเดียวกัน แต่การมาขอยืมเงินนี่ถือเป็นอีกเรื่อง และจำนวนเงินที่เขาต้องการนั้นมันมหาศาล
“เหตุใดเจ้าจึงต้องการเงินมากถึงเพียงนี้” เฟิ่งชิงเฉินไม่ได้อยากรู้ว่าซูเหวินชิงต้องการทำอะไร เพียงแค่จำนวนเงินนั้นมันมากเกินไป นางจะไปเอาที่ไหนมา
ซูเหวินชิงไม่ได้ปิดบังเฟิ่งชิงเฉิน เขาเล่าเรื่องการเดิมพันทั้งหมดให้เฟิ่งชิงเฉินฟังอย่างละเอียด
หลังจากได้ยินเรื่องราวทั้งหมด เฟิ่งชิงเฉินไม่ได้รู้สึกตกใจแต่อย่างใด เมื่อเงินมาอยู่ในมือของพ่อค้า พวกเขาจะปล่อยให้เงินอยู่นิ่งเฉยได้อย่างไร ต้องนำเงินเหล่านี้ไปทำให้งอกเงย แต่ภาระของซูเหวินชิงนั้นค่อนข้างใหญ่หลวง ในช่วงระยะเวลาอันสั้นเพียงเท่านี้ เขาจะไปหาเงินจำนวนมากมายขนาดนั้นมาจากที่ไหน
“พูดออกมาเช่นนี้ เท่ากับว่าเจ้ายังขาดเงินอยู่อีกมากกว่าห้าล้านตำลึง” เฟิ่งชิงเฉินได้รับฟังคำอธิบายอย่างชัดเจนจากซูเหวินชิง นางขมวดคิ้วและพูดออกมา
การเดิมพันครั้งนี้เหมือนเค้กก้อนโต ผู้คนมากมายต้องการแบ่งเค้กก่อนนี้ เมื่อถึงเวลาแล้วซูเหวินชิงไม่สามารถแจกจ่ายเงินจำนวนนั้นออกไปได้ คนพวกนั้นอาจจะโกรธจนฉีกร่างของซูเหวินชิงให้กลายเป็นชิ้น ๆ
“ไม่ได้มากถึงเพียงนั้น ขอแค่เจ้าเอาชนะตระกูลซูได้ จิ่วชิงก็จะได้รับเงินกว่าสองล้านตำลึง ข้าก็ยังขาดเงินอีกเพียงแค่สามล้านกว่าตำลึง ก่อนหน้านี้สองวัน ข้าได้ไปยืมเงินมาจากธนาคารอันดับหนึ่งอีกหนึ่งล้านตำลึง เวลานี้ข้ายังขาดอีกเพียงแค่สองล้านตำลึง” ซูเหวินชิงไปขอยืมเงินจากทุกที่ซึ่งสามารถขอยืมได้มาหมดแล้ว แต่สุดท้ายก็ยังขาดอยู่อีกสองล้าน
แม้ว่าจำนวนเงินสองล้านตำลึงนั้นจะเป็นเงินจำนวนมาก แต่สำหรับพ่อค้าระดับสูงของประเทศมันก็ไม่ใช่เงินจำนวนมากมายอะไร แต่……ซูเหวินชิงจะไปยืมเงินจากเพื่อนพ่อค้าหรือหุ้นส่วนพวกนั้นไม่ได้
กลืนไม่เข้าคายไม่ออก ไม่ต้องพูดว่าจะยืมเงินพวกนั้นมาได้หรือไม่ แต่ข่าวนี้ของตระกูลซูจะต้องแพร่งพรายออกไปเป็นแน่ ถึงเวลานั้นทุกอย่างอาจจะแย่ลง เหมือนกับการพุ่งชนกำแพงด้วยตัวเอง ไม่มีใครช่วยเหลือ มีแต่ผู้ซ้ำเติม……