นางสนมแพทย์อัจฉริยะ - บทที่ 954 ทำลายหมากกระดาน ทำลายสุสานจักรพรรดิ
นางสนมแพทย์อัจฉริยะ 954 ทำลายหมากกระดาน ทำลายสุสานจักรพรรดิ
บนโลกใบนี้จะไร้ซึ่งตระกูลซูแห่งหนานหลิง หรือก็คือต้องการถอนรากถอนโคนตระกูลซูแห่งหนานหลิง
ครู่หนึ่ง ทุกคนมองไปที่เฟิ่งชิงเฉินด้วยสายตาที่ตื่นตระหนกและหวาดกลัว คำพูดที่ยิ่งยโสเช่นนี้ สตรีผู้นี้กลับพูดออกมาอย่างง่ายดาย ราวกับพูดออกมาว่าวันนี้อากาศดี เช่นนี้จะไม่ให้ผู้คนรู้สึกกลัวได้อย่างไร
เฟิ่งชิงเฉินไม่ได้มีความสามารถอะไร แต่คนที่เป็นศัตรูกับนางมักจะจบไม่สวยทุกราย เช่นนี้จะให้สบายใจได้อย่างไร
องค์หญิงเหยาหวาอยู่ที่ตงหลิงมาเนิ่นนาน แต่ทุกวันนี้ก็ยังเป็นบุคคลที่ไม่เป็นที่รู้จัก องค์หญิงอันผิงเป็นถึงบุตรสาวของฮองเฮา แต่กลับต้องแต่งงานและอยู่ห่างไกลถึงเป่ยหลิง ลั่วอ๋องซึ่งเคยเป็นองค์ชายสุดที่รักของจักรพรรดิ กลายเป็นองค์ชายผู้ถูกจองจำ ตระกูลเซี่ยเพิ่งได้รับการแต่งตั้งได้ไม่นาน แต่กลับประสบปัญหาทางการค้าครั้งแล้วครั้งเล่า และไม่ต้องพูดถึงพ่อที่ตายไปของเย่เย่กับหนานหลิงจิ่นฝานที่ยากจะกุมอำนาจไว้
คนของตระกูลซูตกใจไม่น้อย ใบหน้าของพวกเขาซีดขาว พวกเขาหันไปมองเสด็จอาเก้าในทันใด เห็นท่าทางอันนิ่งสงบของเสด็จอาเก้า ไม่มีจิตสังหารแต่อย่างใด พวกเขาถึงจะสงบลงและกล่าวออกมาอย่างคลุมเครือ “แม่นางเฟิ่ง เจ้าพูดออกมาเช่นนี้นั้นหมายความว่าอย่างไร? ต้องการทำลายล้างตระกูลซูแห่งหนานหลิงงั้นหรือ?”
“ท่านปู่ซูกล่าวเกินไป ชิงเฉินเป็นเพียงผู้หญิงอ่อนแอ คำพูดเหล่านั้น ชิงเฉินแค่อยากให้คนตระกูลซูแห่งหนานหลิงของพวกท่าน ห้ามเรียกตัวเองว่าเป็นคนตระกูลซูอีกต่อไป ส่วนคนตระกูลซูของพวกท่านจะเป็นหรือตาย เรื่องนี้ก็ขึ้นอยู่กับการตัดสินใจของจักรพรรดิแห่งหนานหลิง เด็กกำพร้าอย่างข้าต้องการเพียงแค่นั้น” เฟิ่งชิงเฉินเน้นคำว่า “เด็กกำพร้า” เป็นพิเศษ
เนื่องจากทุกคนเข้าใจคำอธิบายของนาง ทุกคนก็ถอนหายใจด้วยความโล่งอก มีเพียงตระกูลซูเท่านั้นที่พูดออกมาด้วยความโกรธ “เจ้ามีสิทธิ์อะไรไม่ให้พวกข้าเรียกตัวเองว่าตระกูลซู พวกเราทั้งหมดล้วนเกิดมาจากตระกูลซู”
“ข้าไม่ได้ห้าม นี่เป็นเพียงแค่การเดิมพัน หากพวกเจ้าชนะข้า แน่นอนว่าพวกเจ้าก็สามารถเรียกตัวเองว่าตระกูลซูต่อไปได้ แต่หากพ่ายแพ้ เช่นนั้นพวกเจ้าก็จงทิ้งคำว่าตระกูลซูแห่งหนานหลิง ให้คำว่าตระกูลซูแห่งหนานหลิงหายไปจากแผ่นดินจิ่วโจวอันยิ่งใหญ่” เฟิ่งชิงเฉินยอมรับว่านางใจแคบ นางไม่พอใจตระกูลซูแห่งหนานหลิงมานานแล้ว ตระกูลซูที่นางรู้จักมีเพียงคนเดียวเท่านั้น นั่นก็คือ ซูเหวินชิง
คำพูดของเฟิ่งชิงเฉินนั้นไม่ได้ผิด ตระกูลซูตกอยู่ในความเงียบ หากพวกเขาไม่ยอมรับข้อตกลง แน่นอนว่าการเดิมพันครั้งนี้ก็จะไม่เกิดขึ้น เฟิ่งชิงเฉินเองก็ไม่ต้องทำลายหมากกระดาน แต่ถ้าหากยอมรับคำถ้าแล้วแพ้?
พวกเราไม่มีทางแพ้ แม้แต่เฟิ่งชิงเฉินยังยอมรับว่าหมากกระดานนี้ไม่สามารถทำลายได้
ตระกูลซูแอบคิดในใจ แต่เงื่อนไขที่พวกเขาเสนอก็เปลี่ยนไปเช่นกัน “แม่นางเฟิ่ง พวกข้าเห็นด้วยกับเงื่อนไขของเจ้า หากเจ้าสามารถทำลายหมากกระดานนี้ได้ พวกข้าจะไม่เรียกตัวเองว่าตระกูลซูแห่งหนานหลิงอีกต่อไป ชื่อเสียงของตระกูลซูทั้งหมดก็จะถูกลบออกไปด้วย แต่หากเจ้าไม่สามารถทำลายหมากกระดานนี้ได้ ข้าจะใช้เลือดของเจ้าในการชะล้างความอัปยศและความทุกข์ทรมานทั้งหมดของตระกูลซูแห่งหนานหลิง”
“ได้!” ในตอนที่ทุกคนยังไม่ทันตอบสนอง เฟิ่งชิงเฉินก็ตอบตกลงไปทันที
“แม่นางเฟิ่ง เจ้าลองไตร่ตรองให้ดีก่อน” บัณฑิตของสำนักศึกษาจี้เซี่ยเอ่ยปากออกมา
“ชิงเฉิน เจ้ามั่นใจอย่างนั้นหรือ” คุณชายหยวนซีกล่าวออกมาด้วยความเป็นห่วง
การเดิมพันครั้งนี้ค่อนข้างไม่ยุติธรรม หากเฟิ่งชิงเฉินพ่ายแพ้ก็เท่ากับว่าตระกูลเฟิ่งต้องพังทลาย!
เฟิ่งชิงเฉินไม่ได้ตอบคำถามของผู้คนเหล่านั้น หันไปยิ้มให้เสด็จอาเก้า จากนั้นส่งสัญญาณให้ทงจือและทงเหยาเลื่อนกระดานหมากมาด้านข้างของนาง
เมื่อตระกูลซูเห็นท่าทางเช่นนั้นของเฟิ่งชิงเฉิน พวกเขารู้สึกไม่สบายใจอยู่ครู่หนึ่ง ท่านปู่ซูส่งสายตาไปยังคนรอบข้าง บอกว่าเฟิ่งชิงเฉินไม่มีทางทำลายหมากกระดานนี้ได้
ไม่ ไม่มีทางเป็นไปได้ เฟิ่งชิงเฉินจะต้องเสแสร้งเป็นแน่
ในเวลานี้ พวกเขาทำได้เพียงปลอบใจตัวเอง หลังจากนั้นก็เฝ้ามองเฟิ่งชิงเฉินวางหมากลงบนกระดาน……
ในเวลาเดียวกัน ในสุสานจักรพรรดิที่อยู่ห่างออกไปหลายพันไมล์ ทหารม้าทมิฬได้ขโมยโลงศพทั้งสองที่ฝังไว้ในสุสานจักรพรรดิออกมาตั้งแต่เมื่อคืนวาน และนำออกมาอย่างราบรื่น
ภายใต้คำสั่งของเสด็จอาเก้า ทหารม้าทมิฬไม่ได้เลือกที่จะโจมตีในเวลากลางคืน แต่เลือกที่จะเผชิญหน้ากับทหารหมื่นนายที่ทำหน้าที่เฝ้าสุสาน
เมื่อเห็นว่าทหารที่เฝ้าสุสานมีจำนวนเพียงแค่หมื่นนาย และห่างไปอีกร้อยลี้ก็มีทหารคุ้มกันอยู่อีกสามหมื่นนาย โดยปกติกองทหารจะไม่มาที่สุสานของจักรพรรดิ เนื่องจากสุสานจักรพรรดิไม่สามารถรองรับทหารจำนวนสามหมื่นนายได้
เสด็จอาเก้าได้มอบหมายภารกิจนี้ให้แก่ทหารม้าทมิฬจำนวนหนึ่งพันนาย เป้าหมายของเสด็จอาเก้าคือ ต้องการให้ทหารที่เฝ้าสุสานจักรพรรดิเป็นคู่ซ้อมมือของทหารม้าทมิฬ
ทหารเฝ้าสุสานจักรพรรดิทำหน้าที่ด้วยความเหน็บหนาวและขมขื่น ประกอบกับไม่เคยมีใครมาสนใจพวกเขาและพวกเขาก็ไม่คิดว่าจะมีใครกล้าเข้ามายุ่งกับสุสานจักรพรรดิ ดังนั้นพวกเขาจึงเต็มไปด้วยความเกียจคร้าน หากทหารม้าทมิฬจำนวนหนึ่งพันนายไม่สามารถจัดการกับทหารหนึ่งหมื่นนายนี้ได้ เช่นนั้นทหารม้าทมิฬก็เป็นความล้มเหลว
กรุบ กรุบ……เสียงม้าของทหารม้าทมิฬ เกือกม้าถูกห่อด้วยผ้า ในระยะไกล หากลองฟังดูให้ดีก็ได้ยินเพียงเสียงอันแผ่วเบาเท่านั้น
“น้องชาย เหมือนว่าจะมีเสียงอะไรแปลก ๆ” ทหารเฝ้าสุสานผู้หนึ่งรู้สึกเย็นที่หลังคอ จึงกล่าวออกมาด้วยสีหน้าไม่สู้ดีนัก
ทหารที่เฝ้าอีกคนตบไหล่ของเขา “เดี๋ยวก็ชินแล้ว สุสานจักรพรรดิแห่งนี้อยู่ในป่าอันมืดมิด มักจะมีเสียงลมเช่นนี้อยู่บ่อยครั้ง”
“ไม่ใช่ เหมือนว่าจะไม่ใช่เสียงลม” ทหารหลายคนที่อยู่ไกล ๆ กล่าวออกมาอย่างตื่นตัว
“ไปตรวจสอบ ข้าจะไปรายงานท่านนายพล” เหล่าทหารแยกตัวออกไปอย่างรวดเร็ว
นายพลเฝ้าสุสานได้ยินเรื่องพวกนี้ก็รีบออกมาทันใด รออยู่นานก็ไม่ได้รับข่าวจากเหล่าทหารที่ออกไปตรวจสอบ จึงรู้ว่าเกิดเรื่องขึ้นเป็นแน่ เขาจึงรวมพลทหารสามพันนาย เตรียมออกไปตรวจสอบด้วยตนเอง
“บัดซบ โชคร้ายที่สุด แม้แต่สุสานจักรพรรดิยังมีคนกล้าบุกรุก”
ไม่ว่าสุสานของราชวงศ์จะฟังดูงดงามเพียงใด แต่มันก็เป็นที่ฝังศพของคนตาย แม้ว่าสิ่งต่าง ๆ มากมายที่อยู่ในโลงศพจะงดงามและล้ำค่า แต่มันไม่สามารถนำออกไปได้ หากทำอะไรสุ่มสี่สุ่มห้า โทษของมันคือความตาย
“แย่แล้ว แย่แล้ว โลงศพของจักรพรรดิและฮองเฮาองค์ก่อนหายไปแล้ว” ซวยซ้ำซวยซ้อน ทหารเฝ้าสุสานวิ่งออกมาจากด้านในสุสานจักรพรรดิพร้อมเสียงตะโกน
“ว่าไงนะ? โลงศพของจักรพรรดิองค์ก่อนหายไปอย่างนั้นหรือ?” ร่างกายของนายพลแทบจะแข็งเป็นหิน ตะลึงอยู่นานกว่าจะได้สติกลับคืนมา เขาได้แต่พูดว่า “ตาย ตาย เช่นนี้ต้องตายแน่!”
แน่นอนว่าต้องตาย ในขณะที่นายพลของทหารเฝ้าสุสานกำลังอยู่ในความงุนงง เสียงอันคลุมเครือก็เปลี่ยนเป็นเสียงเกือกม้าโดยไม่รู้ตัว เหล่าทหารเฝ้าสุสานเงยหน้าขึ้น เห็นมวลแห่งความมืดพุ่งเข้ามาหาพวกเขา
ต่อสู้ด้วยความขี้ขลาด เหล่าทหารเฝ้าสุสานร่นถอยพร้อมกล่าวว่า “นั่นมันอะไร?”
“ทหารม้า ทหารม้าของผู้ใด เหตุใดถึงได้มาอยู่ในดินแดนตงหลิง เยอะมาก ทหารม้าเยอะมาก”
“แย่แล้ว มีทหารของศัตรูเข้ามาบุกรุก เร็ว รีบจุดไฟสัญญาณขอความช่วยเหลือจากกองทหารรักษาการณ์” เวลานี้นายพลของทหารเฝ้าสุสานจักรพรรดิเพิ่งจะตอบสนอง เขาออกคำสั่งในทันที แต่มันก็สายเกินไปแล้ว
ฟลิว…… ลูกธนูพุ่งออกมาจากแขนเสื้อของทหารม้าทมิฬ พุ่งตรงไปที่คอของนายพล นายพลต้องการที่จะถอยหนี แต่ขาทั้งสองข้างของเขาราวกับถูกพันธนาการ ไม่ว่าจะทำเช่นไรก็ไม่สามารถเคลื่อนไหวได้
เสียงลูกธนูปักเข้าที่ลำคอ นายพลเฝ้าสุสานจักรพรรดิเสียชีวิตในทันที เหล่าทหารเฝ้าสุสานไร้ซึ่งผู้นำ พวกเขาไม่ได้ต่อสู้ แต่หนีเอาชีวิตรอดอย่างวุ่นวาย
ฉวยโอกาสตอนที่พวกเจ้าสับสนในการสังหารพวกเจ้า แน่นอนว่าทหารม้าทมิฬไม่มีทางปล่อยโอกาสนี้ไป ลูกธนูพุ่งออกมาราวกับห่าฝน ทหารม้าทมิฬได้เริ่มทำการโจมตีแล้ว
“พวกเจ้าเป็นใคร หรือพวกเจ้าไม่รู้ว่าที่นี่คือสุสานจักรพรรดิ พวกเจ้าช่างกล้าเสียเหลือเกิน” รองนายพลรีบวิ่งออกมา ออกคำสั่งให้เหล่าทหารทำการปกป้องสุสานจักรพรรดิ
“ฆ่ามัน……!”
“ปกป้องสุสานจักรพรรดิ!”
ท่ามกลางเสียงตะโกนแห่งการสังหารทั่วท้องฟ้า ทหารม้าทมิฬเอ่ยชื่อของพวกเขาอย่างเย็นชา “ทหารม้าทมิฬ”
“จัดรูปกระบวน ฆ่าพวกมัน!” ภายใต้คำสั่งการ ทหารม้าทมิฬแยกออกเป็นสิบกลุ่มในทันที กลุ่มละร้อยนาย ยืนในตำแหน่งตามลำดับ และล้อมรอบสุสานจักรพรรดิในทุกทิศทาง
“ฆ่า!” การสังหารอันเยือกเย็น และป่าเถื่อน ไม่ว่าทหารม้าทมิฬจะไปแห่งหนใด ทุกที่เต็มไปด้วยศพ เลือดไหลราวกับแม่น้ำ ทหารเฝ้าสุสานจักรพรรดิไม่อยากตาย ต่อต้านอย่างสุดกำลัง แต่เมื่อเผชิญหน้ากับศัตรูที่แข็งแกร่งหลายสิบเท่า พวกเขาทำได้เพียงยอมรับชะตากรรม……