นางสนมแพทย์อัจฉริยะ - บทที่ 957 ทหารม้าทมิฬ,ค่ำคืนอันโชกเลือดของเมืองจักรพรรดิ
นางสนมแพทย์อัจฉริยะ บทที่ 957 ทหารม้าทมิฬ,ค่ำคืนอันโชกเลือดของเมืองจักรพรรดิ
นับตั้งแต่เสด็จอาเก้าโตเป็นผู้ใหญ่ จักรพรรดิคิดที่จะมอบศักดินาอันไกลโพ้นให้แก่เสด็จอาเก้า หวังว่าจะขับไล่เสด็จอาเก้าออกไปจากเมืองจักรพรรดิ มอบศักดินาให้แก่เสด็จอาเก้า ปล่อยให้เขาปกครองและเป็นผู้นำในที่แห่งอื่น แต่ไม่รู้ว่าสายตาของจักรพรรดิมีปัญหาหรืออย่างไร ตลอดเวลาที่ผ่านมาเขาไม่เคยเห็นโอกาสเหล่านั้นเลย
แต่คิดไม่ถึงเลยว่า เนื่องจากเหตุการณ์สุสานจักรพรรดิถูกทำลาย ทำให้เขาค้นพบโอกาส เสด็จอาเก้าเป็นคนมาขอบูรณะสุสานจักรพรรดิด้วยตนเอง แม้จะกล่าวว่าสงสัยในความสามารถของเขา แต่ที่ฝู่หลินพูดมานั้นก็ถูก สามารถขับไล่เสด็จอาเก้าออกไปยังสุสานจักรพรรดิอันไกลโพ้น ปล่อยให้เสด็จอาเก้าอยู่ที่นั่นแปดปีสิบปี ไม่ว่ามองอย่างไรเขาก็คือผู้ชนะ
เพียงอึดใจเดียว เรื่องทั้งสองเรื่องระหว่างเสด็จอาเก้าและจักรพรรดิได้รับการแก้ไข ทำให้จักรพรรดิรู้สึกโล่งใจเป็นอย่างมาก เขาจึงให้ความสนใจที่จะปรนเปรอเหล่านางสนมในวังหลัง ขันทีข้างกายกล่าวออกมาว่า พวกเขายังไม่ได้จัดหาที่นอนให้พระสนมซูเหนียงเหนียงที่ตระกูลซูส่งมานั้น จักรพรรดิจึงโบกมือและให้คนพาพระสนมซูเหนียงเหนียงเข้าห้อง
สมแล้วที่ตระกูลซูได้ชื่อว่าเป็นตระกูลที่เริ่มด้วยสตรี สตรีที่เข้ามาในพระราชวังถึงแม้จะมีอายุไม่มาก แต่นางกลับมีความเชี่ยวชาญและทักษะในเรื่องพวกนี้สูง ด้วยรูปร่างที่สง่างามและมีเสน่ห์ เสียงที่พลิ้วไหวดุจสายลม คิ้วที่เป็นธรรมชาติ ทำให้จักรพรรดิเพลิดเพลินอย่างเต็มที่
เมื่อเห็นพระสนมซูเหนียงเหนียงกำลังนอนหายใจหอบอยู่ใต้ร่างกายของเขา เลือดของจักรพรรดิเดือดพล่าน รู้สึกว่าตนเองกลับมาเป็นหนุ่มอีกครั้ง เต็มเปี่ยมไปด้วยพลัง เขาจัดการกับพระสนมซูเหนียงเหนียงด้วยความรักอย่างเมามันในศึกแรกของพวกเขาไปสามถึงสี่ครั้ง
พระสนมซูเหนียงเหนียงเองก็ไม่ธรรมดา นางเปลี่ยนท่าเพื่อเอาใจจักรพรรดิ สตรีที่เพิ่งจะกลายเป็นเจ้าสาว ไม่ได้รู้สึกทุกข์ทรมานหรือขมขื่นกับการร่วมรักครั้งแรก ด้วยท่าทางและรูปร่างอันผอมบางของนาง ทำให้ผู้คนรู้สึกอยากจะกลืนกิน
พระสนมซูเหนียงเหนียงเป็นสตรีที่มีสติปัญญาเป็นเลิศอย่างแน่นอน เมื่อจักรพรรดิแสดงอาการเหนื่อยล้า พระสนมซูเหนียงเหนียงรีบร้องขอความเมตตาออกมาทันที กล่าวว่าจักรพรรดิเต็มเปี่ยมไปด้วยพลัง นางทนไม่ไหว ต้องการให้จักรพรรดิไว้ชีวิตนาง
เวลานี้จักรพรรดิเองก็ไม่ไหว แต่จะบอกว่าไม่ไหวต่อสตรีที่อยู่ตรงหน้าได้อย่างไร พระสนมซูเหนียงเหนียงกล่าวออกมาเช่นนี้ จักรพรรดิหัวเราะดังลั่น บีบหน้าอกอันอ่อนนุ่มของพระสนมซู “เจ้าปีศาจน้อย คืนนี้ข้าจะไว้ชีวิตเจ้า”
พระสนมซูกล่าวขอบคุณพร้อมกับนำร่างกายของตนเองถูไปบนร่างกายของจักรพรรดิ หลังจากความสนุกจบลง ท่าทางของจักรพรรดิดูดีขึ้นไม่น้อย แม้จะเหนื่อยจนไม่สามารถเคลื่อนไหวได้ แต่เขาก็ยังนอนไม่หลับ
พระสนมซูนอนอยู่ข้าง ๆ จักรพรรดิ พูดคุยกับจักรพรรดิอย่างนุ่มนวล สตรีที่ตระกูลซูเพาะเลี้ยงออกมานั้นฉลาดหรือไม่ ไม่มีใครรู้ แต่ที่แน่นอนก็คือ พวกนางสามารถรับมือกับเพศชายได้ดี
พระสนมซูพูดคุยกับจักรพรรดิเพียงไม่กี่คำ นางกล่าวว่าตนเองออกมาจากบ้านด้วยความไม่สบายใจ แต่โชคดีที่ได้มาเจอกับจักรพรรดิ นางรู้สึกเคารพและนับถือในตัวของจักรพรรดิมาก จากนั้นก็กล่าวอย่างช่ำชอง ขออนุญาตจักรพรรดิ ให้นางได้พบกับซูโหยว เพื่อเติมเต็มความเป็นพี่น้องของพวกนาง
จักรพรรดิได้ยินเช่นนี้ก็รู้สึกดีกับพระสนมซูมากขึ้น กล่าวว่านางเป็นที่มีความรักและความผูกพันอันลึกซึ้ง ในตอนที่พระสนมซูกล่าวว่านางออกจากบ้านมาเพื่อพบกับซูโหยวที่เป็นคนในครอบครัวของนาง จักรพรรดิไม่ได้ห้ามแต่อย่างใด และอนุญาตอย่างไม่เห็นแก่ตัว
พระสนมซูรู้สึกขอบคุณ แต่นางดูไม่มีความสุขเลยแม้แต่น้อย จักรพรรดิถามว่านางมีเรื่องไม่สบายใจอะไร พระสนมซูกล่าวออกมาแค่ว่านางรู้สึกเหนื่อย ขมวดคิ้วทั้งสองข้าง หลังจากนั้นไม่ว่าจักรพรรดิจะถามสิ่งใดออกมา พระสนมซูก็ไม่ตอบ แค่ฝืนยิ้มออกมาเท่านั้น
จักรพรรดิไม่พูดไปมากกว่านั้น เขาเก็บเรื่องราวเหล่านี้ไว้ในหัวใจ ตอนที่จักรพรรดิเห็นหยดน้ำตาตรงขอบตาของพระสนมซู คิดถึงความรักที่พระสนมซูมีต่อซูโหยวและตระกูลซู จักรพรรดิรู้สึกได้ว่าสิ่งที่ทำให้พระสนมซูไม่มีความสุขนั้นจะต้องเกี่ยวข้องกับตระกูลซู และช่วงนี้ตระกูลซูก็ต้องเผชิญหน้ากับปัญหาอันยิ่งใหญ่ นั่นก็คือพ่ายแพ้การประลองให้กับเฟิ่งชิงเฉิน ตระกูลซูต้องนำแผ่นป้ายประจำตระกูลลงมา และต้องทำลายชื่อเรียกของตระกูลซูแห่งหนานหลิงให้หายไปจากแผ่นดินจิ่วโจวอันยิ่งใหญ่
เรื่องแบบนี้จักรพรรดิเองก็ไม่อยากเข้าไปยุ่ง แต่เมื่อเห็นสตรีผู้งดงามกำลังโศกเศร้า จักรพรรดิจึงตัดสินใจเรียกเฟิ่งชิงเฉินเข้ามาในพระราชวัง จากนั้นก็ให้ฮองเฮาสั่งสอน ตักเตือนนางว่าเป็นเพียงสตรีตัวน้อย ๆ อย่างทำเรื่องที่ไร้มารยาทจนเกินเหตุเช่นนี้
ไม่มีใครคุยเป็นเพื่อนจักรพรรดิ จักรพรรดิเองก็รู้สึกเหนื่อย โอบกอดพระสนมซูที่อ่อนเยาว์ ไม่นานก็เผลอหลับไป จักรพรรดิไม่รู้ ช่วงเวลาที่เขากำลังกอดหญิงสาวและนอนหลับใหล เวลานี้เหล่าขุนนางของเขากำลังเผชิญหน้ากับหายนะ
หลักการปฏิบัติของทหารม้าทมิฬนั้นไม่ต่างอะไรกับโจรผู้โหดเหี้ยม เสด็จอาเก้าไม่เคยคิดมาก่อนว่าจะสั่งสอนและฝึกฝนให้ทหารม้าทมิฬของเขาเป็นวีรบุรุษ ทหารม้าทมิฬที่อยู่ในมือของเสด็จอาเก้า ก็เหมือนกับอาวุธสังหารในมือของเสด็จอาเก้า
ทหารม้าทมิฬเป็นกองทหารที่ยอดเยี่ยมที่สุด ทหารม้าทมิฬหนึ่งพันนายถูกแบ่งออกเป็นสิบสี่กลุ่ม แต่ละกลุ่มมีหกสิบกว่านาย ส่วนที่เหลือก็มีหน้าที่รับผิดชอบในการขัดขวางเหล่าทหารที่เข้ามาเป็นกำลังเสริม
นี่คือการต่อสู้ของทหารม้าทมิฬ แม้เสด็จอาเก้าจะช่วยพวกเขาแทรกซึมเขามา แต่มันก็ไม่ได้ช่วยให้พวกเขาอ่อนโยนกับองครักษ์ของเมืองจักรพรรดิเลย เพราะท้ายที่สุด การอ่อนโยนต่อองครักษ์ของเมืองจักรพรรดิไม่ใช่เรื่องเล็กน้อย หากเสด็จอาเก้ารับรู้ขึ้นมา พวกเขาจะเป็นฝ่ายที่ต้องรับโทษ
ทหารม้าทมิฬหนึ่งพันนายถอดชุดเกราะอันสง่างามออก สวมเสื้อผ้าอันเบาบางราวกับผีเสื้อในยามค่ำคืน พวกเขาวิ่งไปตามถนนอย่างรวดเร็ว แต่ละกลุ่มมุ่งเป้าไปยังเป้าหมายของตนเอง
เมื่อพวกเขามาถึงตำหนักที่เป็นเป้าหมาย พวกเขาก็เปิดแผนที่ ชี้ไปยังตำแหน่งบนแผนที่ และชี้ไปยังผู้คนรอบ ๆ ตัวเขา ทุกคนพยักหน้า บ่งบอกว่าพวกเขารับรู้แล้วว่าตนเองต้องทำอะไร
หลังจากมอบหมายภารกิจเป็นอันเรียบร้อย ผู้นำก็ยัดแผนที่ลงในกระเป๋าเป้ข้างหลังเขาและกล่าวกับทุกคนว่า “ลงมือ!”
“ฟู้ว……” เครื่องมือปีนที่คล้ายกับกรงเล็บเสือบินพุ่งออกมาจากมือของทหารม้าทมิฬ เสียงดังขึ้น กรงเล็บเกาะติดกับผนัง ทหารม้าทมิฬใช้แรงของพวกเขาไต่และปีนขึ้นไปด้านบน……
หากเฟิ่งชิงเฉินได้เห็นอุปกรณ์ของทหารม้าทมิฬในค่ำคืนนี้ นางจะต้องเป็นลมอย่างแน่นอน
ที่คือหน่วยเสือบินยุคใหม่ แม้ว่าอุปกรณ์จะยังไม่ซับซ้อนเพียงพอ แต่อุปกรณ์พื้นฐานทั้งหมดของหน่วยเสือบินก็ถือว่าเตรียมพร้อมมาเป็นอย่างดี ไม่ขาดตกบกพร่อง โดยเฉพาะกระเป๋าที่อยู่ด้านหลังของพวกเขา มันช่างดูคุ้นตาเหลือเกิน……
ใช่ อุปกรณ์ของทหารม้าทมิฬเป็นอุปกรณ์ที่เสด็จอาเก้าคัดลอกมาจากเฟิ่งชิงเฉิน แน่นอนว่าเสด็จอาเก้าไม่ได้เลียนแบบมันมาทั้งหมด เขานำมาเพียงแค่สิ่งที่จำเป็น สิ่งที่ไม่จำเป็นก็นำออกไป และนำมาติดตั้งกับทหารม้าทมิฬของเขา
ชุดของทหารม้าทมิฬนั้นแตกต่างจากชุดทั่วไป ที่เฟิ่งชิงเฉินสามารถออกมาจากเหตุเพลิงไหม้ในโรงเลี้ยงสัตว์หลวงได้อย่างปลอดภัยก็เป็นเพราะชุดที่นางสวมใส่นั้นทำมาจากผ้าชนิดพิเศษ
เฟิ่งชิงเฉินบอกให้ซูเหวินชิงทาน้ำยาลงบนผ้าหนึ่งชั้น มันเป็นของเหลวที่มีคุณสมบัติกันน้ำและกันไฟ หลังจากมันซึมซับเข้าไปในตัวผ้าก็ไม่สามารถตรวจสอบได้ เนื่องจากมันเป็นสิ่งที่มองไม่เห็นและไม่มีกลิ่น
หลังจากเสด็จอาเก้ารู้เช่นนั้น เขาก็ไม่กังวลเรื่องค่าใช้จ่าย และขอให้ซูเหวินชิงผลิตน้ำยาป้องกันไฟออกมาเป็นจำนวนมาก ซึ่งใช้สำหรับติดอาวุธให้กับทหารม้าทมิฬเป็นเวลาชั่วคราว
ทหารม้าทมิฬเป็นหน่วยติดอาวุธเพื่อฟาดฟัน หากไม่มีความสามารถในการต่อสู้ อย่าว่าแต่เสด็จอาเก้าเลย แม้แต่ซูเหวินชิงเองก็คงทำใจไม่ได้ พวกเขายอมทุ่มเทเงินไปกับทหารม้าทมิฬจำนวนหนึ่งพันนายมากกว่าทุ่มเทเงินให้กับกองทัพนับแสนนาย
ทหารม้าทมิฬเองก็เป็นไปตามความคาดหวังของเสด็จอาเก้า ภารกิจแรกเสร็จสิ้นโดยปราศจากผู้บาดเจ็บ ภารกิจที่สองก็เป็นไปได้อย่างงดงาม ทหารม้าทมิฬบุกเข้าไปในตำหนักชั้นในของขุนนาง ในตอนที่เหล่าองครักษ์ไม่ทันตอบสนอง พวกเขาก็ชักมีดที่เหน็บเอาไว้ออกมาจัดการกับอีกฝ่าย
เลือดสาดกระเซ็นจากลำคอ อีกฝ่ายหมดลมหายใจ ทหารม้าทมิฬวางศพเหล่านั้นลงพื้น
“เร่งมืออีกหน่อย!” ทหารม้าทมิฬชุดแรงที่บุกเข้ามาวางร่างขององครักษ์ลงอย่างเงียบ ๆ จากนั้นก็ส่งสัญญาณให้คนด้านหลังรีบตามเข้ามา
เหล่าทหารม้าทมิฬที่ตามมาด้านหลังพยักหน้า แยกย้ายกันไปตามทางของตนเอง พวกเขาจำเป็นต้องจัดการผู้ที่เกี่ยวข้องทั้งหมดในระยะเวลาที่สั้นที่สุด
“ช่วยด้วย!”
“มีผู้บุกรุก!”
“ได้โปรดไว้ชีวิตข้าด้วย!”
“ช่วยด้วย ช่วยข้าด้วย!”
……
ในขณะเดียวกัน เสียงกรีดร้องจากตำหนักหลังใหญ่หลายหลังที่อยู่ไม่ไกล หลังจากนั้นเหล่าขุนนางที่อาศัยอยู่ใกล้ ๆ ก็ตื่นขึ้น พวกเรารีบเรียกองครักษ์มารวมตัวเพื่อปกป้องคนในครอบครัวของพวกเขา ส่วนเสี่ยงขอความช่วยเหลือเหล่านั้น? ขอโทษ ข้าได้ส่งคนไปรายงานกับราชสำนักแทนพวกเจ้าแล้ว ส่วนพวกเจ้าจะสามารถอดทนรอจนความช่วยเหลือของทหารมาถึงหรือไม่ ทั้งหมดมันก็ขึ้นอยู่กับโชคชะตาของพวกเจ้า……