นางสนมแพทย์อัจฉริยะ - บทที่ 962 เช็งเม้ง,กองกำลังนั้นค่อนข้างน่ากลัว
นางสนมแพทย์อัจฉริยะ บทที่ 962 เช็งเม้ง,กองกำลังนั้นค่อนข้างน่ากลัว
เรื่องที่องค์รัชทายาทจะลงไปอยู่เจียงหนานแพร่กระจายไปทั่ว ต่อให้เฟิ่งชิงเฉินแสร้งทำเป็นไม่รู้ก็ไม่ได้ เฟิ่งชิงเฉินคิดอยู่ว่านางควรจะไปส่งองค์รัชทายาทดีหรือไม่ เนื่องจากที่องค์รัชทายาทลงไปอยู่เจียงหนานนั้นไม่ใช่เพียงเพราะการพักฟื้น แต่ยังได้รับภารกิจจากเสด็จอาเก้าไปให้หาเงินอีกด้วย
“เสด็จอาเก้า องค์รัชทายาทจะเสด็จไปวันไหนงั้นหรือ?” เฟิ่งชิงเฉินกำลังคิดว่าควรจะมอบอะไรให้องค์รัชทายาทติดตัวไปดี แต่เสด็จอาเก้าก็กล่าวถึงปัญหาออกมาทันใด
“วันที่ 12 เดือน 4” เสด็จอาเก้านั่งลงต่อหน้าเฟิ่งชิงเฉิน
พักนี้ ช่วงเวลาที่เสด็จอาเก้าอยู่จวนเฟิ่งนั้นมากกว่าที่อยู่จวนอ๋องเก้าของเขาเสียอีก ซึ่งเป็นเรื่องยากสำหรับจักรพรรดิที่จะตามหาเสด็จอาเก้า
“วันที่ 12 เดือน 4? นั่นเป็นวันอภิเษกระหว่างเหยาหวาและชุนอ๋องไม่ใช่หรือ?” คนอื่นแต่งงานกัน แต่เขากลับจากไป นั่นไม่ใช่คำสาปในการแยกทางกันเหรอ องค์รัชทายาทช่างยอดเยี่ยม
“เช่นนั้นแล้วอย่างไร?” เสด็จอาเก้าคิดว่าการกระทำดังกล่าวขององค์รัชทายาทนั้นไม่ได้ผิดแปลกแต่อย่างใด
เหยาหวาและชุนอ๋องอภิเษกสมรสกันแล้วอย่างไร องค์รัชทายาทอยากเสด็จไปไหนเขาก็สามารถไปได้ตามที่เขาต้องการ
“ไม่เป็นเช่นไร ข้าแค่รู้สึกนับถือในตัวองค์รัชทายาท” องค์รัชทายาททำเช่นนี้เท่ากับว่าเขาไม่ต้องการความรักของจักรพรรดิเลยแม้แต่น้อย ไม่เช่นนั้นคงไม่จ้องเล็งทำร้ายตงหลิงจื่อชุน เนื่องจากจักรพรรดินั้นรักและคอยปกป้องตงหลิงจื่อชุนมาโดยตลอด แค่มองก็สามารถรับรู้ได้
“ข้าตัดสินใจที่จะออกเดินทางไปซานตงในวันที่ 15 เดือน 4 เจ้าเองก็เตรียมตัวให้พร้อม” เวลานี้เขาอยู่ในคอกม้า ทุกการเคลื่อนไหวของเขาถูกจับตามอง ไม่สามารถเคลื่อนไหวได้สะดวก จะดีกว่าหากรีบออกเดินทาง
“อ่า” คนหนึ่งไป อีกคนหนึ่งก็ไป เกรงว่าจักรพรรดิคงจะดีใจจนเสียสติไปแล้ว เฟิ่งชิงเฉินแอบพึมพำ และคิดว่าควรจะมอบของขวัญอะไรให้แก่องค์รัชทายาท จึงถามความเห็นจากเสด็จอาเก้า
“เตรียมยาที่เป็นประโยชน์ไว้ให้กับองค์รัชทายาท กล่องยาที่เจ้ามอบให้กับหวังจิ่นหลิงเมื่อครั้งก่อนก็ไม่เลว” เสด็จอาเก้าไม่มีทางยอมรับว่าเขากำลังหึง เขาแค่พูดถึงมันเท่านั้น
ครั้งที่แล้วที่สามารถช่วยชีวิตของหวังจิ่นหลิงกลับมาจากหุบเขาไท่ลู่เก๋อได้ ยาที่เฟิ่งชิงเฉินเตรียมไว้ให้นั้นมีส่วนสำคัญเป็นอย่างมาก
เฟิ่งชิงเฉินคิดไปคิดมาก็รู้สึกเห็นด้วย องค์รัชทายาทเป็นใคร ต่อให้เขาไม่ใช่บุตรแห่งมังกรแล้วอย่างไร เขาก็ไม่ขาดสิ่งใดอยู่แล้ว สิ่งที่นางสามารถมอบให้เขาได้ก็มีเพียงยารักษา แต่น่าเสียดายที่ไม่มีสนมขององค์รัชทายาทนางใดตั้งครรภ์ ไม่เช่นนั้นนางจะมอบยาป้องกันการแท้งบุตรที่เหลือมากที่สุดของนางไปให้
เฟิ่งชิงเฉินต้องการเตรียมยาที่จะมอบเป็นของขวัญให้องค์รัชทายาท นางไม่มีเวลาไปสนใจเสด็จอาเก้า เสด็จอาเก้าเองก็ไม่ได้โกรธ ดังนั้นจึงเข้าไปจัดการเรื่องส่วนตัวในห้องหนังสือของเฟิ่งชิงเฉิน
จักรพรรดิทรงคิดว่าเสด็จอาเก้าและเฟิ่งชิงเฉินพลอดรักกันทั้งวัน แต่เขาไม่รู้ว่าเสด็จอาเก้าสามารถเดินทางไปห้องลับของจวนซูได้โดยผ่านช่องทางเดินลับที่เชื่อมระหว่างจวนเฟิ่งกับจวนซู ภายใต้สายตาของจักรพรรดิ มันเป็นเพียงพื้นดินที่มีกำแพงเท่านั้น
เกิดเรื่องวุ่นวายติดต่อกันหลายครั้งในตงหลิง ทุกคนวุ่นวายกับหน้าที่ของตนเอง นับประสาอะไรกับคนตัวเล็กอย่างเฟิ่งชิงเฉิน การเดิมพันที่สร้างความวุ่นวายไปทั่วทั้งเมือง เวลานี้มันก็ลดซาลง และเงียบหายไปในที่สุด
นอกจากรู้ว่าซูเหวินชิงใช้เงินจำนวนหนึ่งล้านตำลึงในการสร้างศาลาจี้ซ้าน โดยการแอบเดิมพันกับนักเดิมพันลึกลับจำนวนสองล้านตำลึงแล้ว ซึ่งคนอื่นไม่รู้เรื่องนี้ ท้ายที่สุดแล้วผู้ที่เป็นตัวหลักในการเดิมพันนั้นล้วนแต่เป็นผู้นำของตระกูลใหญ่ แม้ว่าพวกเขาเหล่านี้จะสามารถทำเงินได้ พวกเขาก็ไม่มีทางเปิดเผยต่อสาธารณะ
หนึ่งล้านตำลึงเป็นเงินที่ใช้สร้างศาลาจี้ซ้านซูเหวินชิง ส่วนอีกสองสามแสนตำลึงเป็นเงินที่ไว้ปิดปากเหล่าขุนนาง และเงินบางส่วนของครอบครัวที่ตายไป คนพวกนั้นก็จะไม่ได้รับเงิน ซูเหวินชิงจึงนำเงินจำนวนดังกล่าวไปทำบุญเพื่ออธิษฐานให้พวกเขา
พูดไปพูดมา ซูเหวินชิงก็รู้สึกขอบคุณเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น ไม่เช่นนั้นเขาซึ่งเป็นผู้ริเริ่มการเดิมพัน จะต้องถูกสายตานับพันจับจ้องอย่างแน่นอน ที่มาของเงินจำนวนสองล้านตำลึง จะต้องมีคนเข้ามาขุดคุ้ยและพูดถึงเป็นแน่
เวลานี้ เนื่องจากเหตุการณ์นองเลือดในเมืองจักรพรรดิ แม้ว่าบางคนจะคิดว่านักพนันที่ได้เงินก้อนโตเป็นผลจากปฏิบัติการลับของเจ้ามือ แต่ก็ไม่มีใครกล้าพูดถึงสักคำเพราะกลัวว่าหากพูดไม่ดีจะทำให้เขาติดคุก
เฟิ่งชิงเฉินเองก็เคยถามถึงเรื่องของการเดิมพัน เมื่อรู้ว่าซูเหวินชิงได้เงินมามากเพียงพอแล้ว นางจึงไม่ถามถึงอีกต่อไป อย่างไรเสียเสด็จอาเก้าก็นั่งอยู่ที่นี่ทุกวัน ต่อให้ฟ้าถล่มดินทลาย ผู้ที่คอยรับสนับสนุนเขาก็ต้องเป็นเสด็จอาเก้า
ชั่วพริบตาก็มาถึงวันเช็งเม้ง ตามคำโบราณที่กล่าวไว้ วันเช็งเม้งเป็นดั่งวันที่ฝนตก บนถนนไม่มีผู้ใดออกมาเดินทางหรือสัญจร
วันนี้เป็นวันเช็งเม้งก็จริง แต่เนื่องจากยังหาฆาตกรที่สังหารเหล่าเสนาบดีไม่พบ เมืองจักรพรรดิจึงยังอยู่ภายใต้กฎอัยการศึก สามัญชนทั่วไปไม่สามารถออกมาด้านนอกได้ พวกเขาจึงทำได้เพียงแสดงความกตัญญูอยู่ในบ้านเท่านั้น
พ่อบ้านได้เตรียมธูปเทียน เงินกระดาษ และผลไม้สำหรับวันเช็งเม้งไว้เรียบร้อย ยามใหญ่ที่อยู่หน้าประตูเข้ามารายงานว่าเสด็จอาเก้าเสด็จมาถึงแล้ว เฟิ่งชิงเฉินปฏิเสธสาวใช้ที่ติดตามนาง เหลือไว้เพียงแค่ผู้ถือของซึ่งอยู่ด้านหลังเท่านั้น
ตอนแรกคิดว่านางกับเสด็จอาเก้าจะไปกันเพียงสองคน เดินทางไปอย่างเรียบง่าย แต่คิดไม่ถึงว่าทันทีที่ออกมาจากจวนก็เห็นกองทหารติดอาวุธอยู่ด้านหลังของเสด็จอาเก้า
“นี่มันเรื่องอะไรกัน?” เฟิ่งชิงเฉินไม่ได้กลัว นางเพียงแค่รู้สึกแปลกใจ เสด็จอาเก้าไม่ใช่คนชอบโอ้อวดเช่นนี้
“จักรพรรดิได้ยินว่าข้าจะออกไปนอกเมือง จึงส่งทหารพวกนี้มาดูแลความปลอดภัยของข้าโดยเฉพาะ” แม้จะพูดว่าดูแลความปลอดภัย แต่แท้จริงแล้วน่าจะส่งมาจับตาดูเสด็จอาเก้าว่าเขาทำอะไรที่ผิดแปลกไปจากนี้หรือไม่มากกว่า
พูดไปพูดมา สุดท้ายจักรพรรดิก็ไม่เชื่อในตัวของเสด็จอาเก้า แม้ว่าเบาะแสที่พบเมื่อเร็ว ๆ นี้จะแสดงให้เห็นว่าพลังที่ซ่อนอยู่ในเมืองหลวงนั้นน่าจะเกี่ยวข้องกับการยึดบัลลังก์ของจักรพรรดิ แต่จักรพรรดิก็ไม่ได้ผ่อนคลายการจับตาและการเฝ้าดูเสด็จอาเก้าลงเลยแม้แต่น้อย
“จักรพรรดิทรงมีน้ำใจยิ่งนัก” เฟิ่งชิงเฉินเบะปาก บอกให้สาวใช้วางของลงบนรถม้า จากนั้นก็ให้สาวใช้เดินกลับเข้าจวนไป
นางไม่อยากให้ลูกน้องของตนเองต้องมารับแรงกดดัน ไม่เห็นหรืออย่างไรว่าดวงตาที่ราชองครักษ์เหล่านี้มองมาที่พวกเขา ราวกับว่าพวกเขาเป็นโจรขโมย
“ไปกันเถิด” เสด็จอาเก้ารู้ว่าเฟิ่งชิงเฉินไม่พอใจ แต่เขาก็ทำได้เพียงปลอบใจนาง
จักรพรรดิออกคำสั่งเร่งด่วน อ้างถึงความปลอดภัยของเขา เขาเองก็ปฏิเสธไม่ได้ อีกอย่างที่เขาออกจากเมืองในครั้งนี้ก็ไม่ได้ออกไปทำเรื่องที่ไม่สมควรแต่อย่างใด จะมีคนของจักรพรรดิติดตามไปหรือไม่ สำหรับเขาแล้วมันก็ไม่ต่างอะไรกัน
รถม้ากวาง พื้นที่ด้านในกว้างเกินไปสำหรับคนสองคน เสด็จอาเก้าและเฟิ่งชิงเฉินนั่งอยู่ข้างเดียวกัน ไม่มีพฤติกรรมที่คลุมเครือหรือไม่เหมาะสมแต่อย่างใด
แม้เสด็จอาเก้าจะชอบใกล้ชิดกับเฟิ่งชิงเฉิน แต่เมื่ออยู่ต่อหน้าคนภายนอก เขาไม่มีทางทำพฤติกรรมเช่นนั้นออกมาเป็นอันขาด ทั้งสองเดินทางไปอย่างเงียบสงบ ทำให้เหล่าราชองครักษ์ที่อยู่ด้านนอกรู้สึกเบื่อหน่าย
พวกเขารับคำสั่งมาให้คอยจับตาดูเสด็จอาเก้า แต่สุดท้ายเสด็จอาเก้ากลับไม่ได้ทำสิ่งใดเลย แล้วการที่พวกเขามาที่นี่จะมีประโยชน์อันใด
ความเงียบเข้ามาปกคลุมตลอดการเดินทาง ในที่สุดก็มาถึงด้านนอกของเขตสุสาน เมื่อเฟิ่งชิงเฉินลงจากรถม้า องครักษ์ที่อยู่ด้านข้างก็เดินเข้ามาพร้อมกับร่มกระดาษสีทอง เพื่อป้องกันไม่ให้ฝนที่ตกลงมาเปื้อนเสื้อผ้าของเฟิ่งชิงเฉิน
เฟิ่งชิงเฉินมองเสด็จอาเก้าซึ่งอยู่ด้านหน้า นางไม่ได้พูดอะไร แค่เดินตามเสด็จอาเก้าเข้าไปด้านในสุสานเท่านั้น
ไม่รู้ว่ากลัวเสด็จอาเก้าหรือเคารพคนที่ตายไปแล้ว ใบหน้าของเหล่าองครักษ์เต็มไปด้วยความเคร่งขรึม เดิมตามหลังพวกเขาอย่างสงบ มีเพียงเสียงฝีเท้าที่ดังเป็นพิเศษ ในป่าอันเงียบสงบและงดงามเช่นนี้ ทำให้ผู้คนรู้สึกสบายใจอย่างยิ่ง
เฟิ่งชิงเฉินเงียบมาตลอดทาง ปฏิเสธความหวังดีของทหารองครักษ์ ทำความสะอาดหลุมศพของบิดามารดาด้วยตนเอง จากนั้นก็วางเครื่องไว้และธูปหอม
หลังจากโปรยเงินกระดาษแล้ว เฟิ่งชิงเฉินไม่ได้จากไปในทันที นางยืนเงียบ ๆ อยู่หน้าหลุมศพ ดวงตาของนางสับสนและว่างเปล่าราวกับเด็กที่ทำอะไรไม่ถูกที่กำลังยืนขอคำแนะนำอยู่ด้านหน้าพ่อแม่ แต่กลับไม่ได้รับคำตอบจากพวกท่านไปตลอดกาล
ความโศกเศร้าเข้ามาปกคลุมบนร่างกายของเฟิ่งชิงเฉิน ไม่มีใครสามารถแทรกแซงได้ เสด็จอาเก้ายืนอยู่ด้านหลังของเฟิ่งชิงเฉินด้วยความสงบ รอให้เฟิ่งชิงเฉินก้าวเดินออกมาจากความโศกเศร้าดังกล่าว
ไม่ว่าจะเป็นเช่นไร ด้านหลังของเฟิ่งชิงเฉินยังมีเขาอยู่เสมอ!