นางสนมแพทย์อัจฉริยะ - บทที่ 963 อภิเษก,ใครจะแพ้หรือชนะก็ยังไม่รู้
นางสนมแพทย์อัจฉริยะ บทที่ 963 อภิเษก,ใครจะแพ้หรือชนะก็ยังไม่รู้
หลังจากวันเช็งเม้ง ฝนก็ตกติดกันมาโดยตลอด ว่ากันว่าฝนในฤดูใบไม้ผลิมีค่าดุจน้ำมัน แต่ฝนตกหนักทุกวันเช่นนี้ แม้แต่ผ้าที่ตากก็ยังไม่แห้ง มันช่างทำให้คนรู้สึกรำคาญใจยิ่งนัก
ตั้งแต่เฟิ่งชิงเฉินออกไปวันเช็งเม้ง นาก็ไม่ได้ออกไปด้านนอกอีกเลย จนกระทั่งถึงวันที่ 12 เดือน 4 งานอภิเษกระหว่างเหยาหวาและชุนอ๋อง ท้องฟ้าแจ่มใส เฟิ่งชิงเฉินถึงเดินทางออกไปจากจวน
แน่นอน ด้วยสถานะของเฟิ่งชิงเฉิน นางยังไม่มีสิทธิ์ที่จะเข้าไปร่วมงานอภิเษกระหว่างเหยาหวาและชุนอ๋อง เฟิ่งชิงเฉินเองก็ไม่เคยคิดจะไปเข้าร่วม ที่นางออกมาจากจวนก็เพราะต้องการไปส่งองค์รัชทายาทและชิงอ๋อง
ผู้มีอำนาจยิ่งใหญ่ในเมืองจักรพรรดินั้นมีทั้งล่อลวงและแท้จริง องค์รัชทายาทและชิงอ๋องถูกจักรพรรดิทอดทิ้ง ไม่สามารถเข้ามาในเมืองหลวงได้ เกรงว่าทุกอย่างคงถูกลิขิตไว้ ในวันที่องค์รัชทายาทเสด็จออกจากเมืองหลวง นอกจากข้าราชบริพารแล้ว ก็ไม่มีขุนนางระดับสูงคนไหนไปส่งเขากับน้องชายแม้แต่ผู้เดียว
คนพวกนั้นเลือกที่จะวิ่งไปเอาใจชุนอ๋องออกมาเมื่อเทียบกับองค์รัชทายาท แม้ชุนอ๋องจะไม่อาจขึ้นไปเป็นจักรพรรดิ แต่ด้วยเขาเป็นบุตรอันเป็นที่รัก อย่างไรองค์รัชทายาทก็เทียบเทียมไม่ได้
คนที่เดินทางมาส่งมีไม่มาก หลังจากเฟิ่งชิงเฉินเปิดเผยตัวตนก็ไม่มีผู้ใดมาขัดขวางการเดินทางของนาง
“คิดไม่ถึงว่าเสด็จ……แฮ่ม แฮ่ม ชิงเฉินจะมาส่งข้า” ตอนแรกองค์รัชทายาทจะพูดว่าเสด็จอา แต่เมื่อเห็นใบหน้าที่ไม่พอใจของเฟิ่งชิงเฉินเขาก็เปลี่ยนคำพูดทันที
“ชิงเฉินและฝ่าบาทคุ้นเคยกัน ปกติก็ได้รับการดูแลจากฝ่าบาทไม่น้อย ครั้งนี้ฝ่าบาทต้องจากเมืองหลวงไป ไม่รู้ว่าจะได้พบอันอีกเมื่อใด ชิงเฉินจะไม่มาส่งฝ่าบาทได้อย่างไร”
ไม่เกี่ยวว่าองค์รัชทายาทมีจุดประสงค์อันใด แต่เรื่องที่เขาเคยช่วยเหลือเฟิ่งชิงเฉินอยู่หลายครั้งนั้นเป็นความจริง เฟิ่งชิงเฉินรู้สึกซาบซึ้งกับมันมาก
รอยยิ้มบนใบหน้าขององค์รัชทายาทแข็งตัว กล่าวออกมาด้วยความเขินอาย “ชิงเฉินอย่าพูดล้อเล่นเช่นนี้เลย ข้ามีจุดประสงค์ทุกครั้งที่ไปให้ความช่วยเหลือเจ้า และมันเป็นสิ่งที่ข้าต้องทำ หากไม่ทำมันจะทำให้ข้าต้องลำบาก ข้าไม่เคยช่วยเจ้าอย่างแท้จริงเลยแม้แต่เรื่องเดียว เจ้าอย่ามาคิดว่าติดหนี้บุญคุณกับข้าเลยจะดีกว่า”
“แม้ที่ฝ่าบาททำลงไปจะเพื่อตัวฝ่าบาทเอง แต่สำหรับชิงเฉินแล้ว มันเป็นบุญคุณแห่งชีวิต ส่วนเรื่องที่ช่วยเหลือจากใจจริงหรือไม่ ฝ่าบาทไม่ต้องเอ่ยถึง ทานพูดออกมาเช่นนี้ชิงเฉินก็ยิ่งรู้สึกอับอาย ฝ่าบาทไม่ได้มีหน้าที่มาคอยให้ความช่วยเหลือชิงเฉิน แล้วชิงเฉินจะไปกล่าวหาฝ่าบาทว่าไม่ให้ความช่วยเหลือชิงเฉินได้อย่างไร” เฟิ่งชิงเฉินกล่าวออกมาจากใจจริง องค์รัชทายาทเห็นเช่นนั้นก็ไม่ปฏิเสธอีกต่อไป ยิ้มและตอบรับคำขอบคุณจากเฟิ่งชิงเฉิน
ทุกคนบนโลกล้วนเข้าใจ คนอื่นช่วยเจ้า เจ้าถือว่าเขาเป็นผู้มีพระคุณ หากคนอื่นไม่ช่วยเจ้า เจ้าก็จะรู้สึกโกรธแค้น ช่วยเหลือคือความถูกต้อง ไม่ช่วยเป็นความผิด จะมีสักกี่คนที่ทำสิ่งเหล่านี้ด้วยความจริงใจ
“ฝ่าบาท นี่คือของขวัญเล็กๆ น้อยๆ ที่เฟิ่งชิงเฉินเตรียมไว้ให้ฝ่าบาททั้งสอง ขอฝ่าบาททั้งสองทรงรับไว้” เฟิ่งชิงเฉินรู้ว่าองค์รัชทายาทต้องรีบเดินทางออกจากเมือง จึงไม่อยากจะทำให้เสียเวลามากนัก นางส่งสัญญาณให้คนนำกล่องมาสองกล่อง และแบ่งให้องค์รัชทายาทและชิงอ๋อง
“ฝ่าบาท กล่องพวกนี้มีรหัสอยู่ และรหัสของพวกมันก็ไม่เหมือนกัน ข้าจะบอกฝ่าบาทถึงวิธีเปิดมันออกมา” กล่องรหัสลับ สิ่งนี้มีความสำคัญอย่างมาก แม้จะตกไปอยู่ในมือของศัตรู ศัตรูก็ทำได้เพียงใช้แรงในการเปิด แต่คนที่อยู่ข้างกายไม่สามารถทำเช่นนั้นได้ เพื่อป้องกันไม่ให้มีใครเปิดกล่องมาเปลี่ยนยาในยาที่องค์รัชทายาทไม่รู้ตัว
เฟิ่งชิงเฉินเดินไปข้างกายขององค์รัชทายาทก่อน จากนั้นสอนถึงวิธีการเปิดกล่องและวิธีการเปลี่ยนรหัส นี่เป็นเพียงปล่อยใส่รหัสง่าย ๆ องค์รัชทายาทจะเปลี่ยนหรือใส่รหัสลงไปก็ไม่ใช่เรื่องยาก
“ชิงเฉินช่างมีน้ำใจยิ่งนัก ข้ารู้สึกซาบซึ้ง” องค์รัชทายาทเปิดกล่องออกมา เห็นขวดยาที่วางเป็นระเบียบอยู่ภายใน ด้านข้างของมันก็กระดาษแผ่นเล็ก ๆ เขียนกำกับอยู่ เขารู้สึกแสบจมูก ดวงตาของเขาเริ่มเปลี่ยนเป็นสีแดง
นอกจากเสด็จแม่ของเขาที่ตายไป ข้างกายของเขาก็ไม่มีใครสนใจเรื่องพวกนี้เลย แม้ว่าเขากับชิงอ๋องจะหัวอกเดียวกัน แต่เนื่องจากเป็นผู้ชาย เรื่องบางเรื่องก็ไม่อาจทำได้
เสด็จอาของเขาแม้จะยังอายุน้อย แต่กลับมีนิสัยที่เป็นผู้ใหญ่
“ดีจังที่ฝ่าบาททรงใช้ได้ ด้านล่างมีอุปกรณ์อยู่เล็กน้อย ข้าได้เขียนวิธีใช้งานเอาไว้แล้ว หากองค์รัชทายาทมีเวลาก็ลองอ่านและศึกษาดู” ไม่ใช่ว่าเฟิ่งชิงเฉินดีต่อองค์รัชทายาท แต่เป็นเพราะองค์รัชทายาทมีประโยชน์กับเสด็จอาเก้าเป็นอย่างมาก
ยิ่งองค์รัชทายาทอยู่ได้นานมากขึ้น เศรษฐกิจของเจียงหนานก็ยิ่งปลอดภัยมากขึ้น และกองทัพของเสด็จอาเก้าก็ยิ่งมีอิทธิพลมากขึ้นเช่นกัน
ต้องรู้ก่อนว่าการทำสงครามคือการรบทางทหาร รบทางเสบียง รบทางอาวุธ ไม่ว่าจะทางไหนก็ขาดเงินไม่ได้ทั้งนั้น
เมื่อสอนองค์รัชทายาทเสร็จแล้ว เฟิ่งชิงเฉินก็ไปสอนชิงอ๋องต่อ ไม่ใช่ว่าเฟิ่งชิงเฉินไม่อยากสอนพวกเขาทั้งสองพร้อมกัน แต่ในตอนที่นางสอนองค์รัชทายาท ชิงอ๋องเป็นคนถอยหลังออกไปเอง เพื่อบ่งบอกถึงความเคารพ
คำพูดเช่นเดิม เฟิ่งชิงเฉินพูดมันออกไปอีกครั้ง หลังจากเปิดกล่องออกมาได้แล้ว ด้านในของกล่องก็มียาเช่นเคย แต่มันแตกต่างจากองค์รัชทายาท ยาที่เฟิ่งชิงเฉินเตรียมให้องค์รัชทายาทนั้นเป็นยาที่รักษาภายในเกี่ยวกับสภาพจิตใจ ส่วนยาที่มอบให้ชิงอ๋องนั้นจะเกี่ยวข้องกับบาดแผลภายนอกเสียมากกว่า
ชิงอ๋องพยักหน้าอย่างเงียบขรึม ไม่ได้พูดอะไรออกมา แม้แต่สายตาก็ไม่มองไปที่เฟิ่งชิงเฉิน เฟิ่งชิงเฉินไม่รู้ว่าเพราะเหตุใดชิงอ๋องถึงเป็นเช่นนี้ นางจึงคิดว่าเป็นเพราะนางไม่สนิทกับชิงอ๋อง นางจึงไม่ได้พูดอะไร หลังจากมอบของขวัญเสร็จแล้ว เฟิ่งชิงเฉินก็ขอตัวลา
“อีกไม่นาน พวกเราจะได้พบกันอีก” องค์รัชทายาทมองรถม้าที่จากไปพร้อมกับกล่าวออกมา
ชิงอ๋องยืนอยู่ด้านข้างองค์รัชทายาท จนกระทั่งมองไม่เห็นรถม้าของเฟิ่งชิงเฉิน เขาถึงกล่าวออกมาว่า “เสด็จพี่ ถึงเวลาออกเดินทางแล้ว”
“ไปกันเถิด” องค์รัชทายาทจ้องมองเมืองจักรพรรดิเป็นครั้งสุดท้าย จากนั้นจากไปอย่างไร้เยื่อใย
องค์รัชทายาทของประเทศหนึ่ง จากไปเพียงลำพังโดยไม่มีขุนนางคนผู้ใดติดตาม และการก้าวออกไปสู่โลกภายนอกครั้งนี้ ไม่รู้ว่าจะอีกนานแค่ไหนถึงได้กลับมา……
แม้องค์รัชทายาทจะเป็นคนขอไปพักฟื้นที่เจียงหนานด้วยตัวเอง แต่การถูกทิ้งร้างเช่นนี้เป็นการทำลายศักดิ์ศรีขององค์รัชทายาทเป็นอย่างมาก แต่ทุกอย่างล้วนเป็นสิ่งที่องค์รัชทายาทเลือก ผลที่ตามมาจะเป็นเช่นไร เขาล้วนแต่ต้องยอมรับ
เสด็จอาเก้ายืนอยู่บนโรงน้ำชา เฝ้ามององค์รัชทายาทและพรรคพวกของเขาจากไปอย่างเปล่าเปลี่ยว เม้มริมฝีปากเล็กน้อย จนกระทั่งพวกขององค์รัชทายาทหายไปจากเมือง เขาถึงหันหลังและเดินทางยังจวนชุนอ๋อง
พ่อแม่ของชุนอ๋องเสียชีวิตไปแล้ว ตอนแรกจักรพรรดิต้องการเป็นผู้อภิเษกให้พวกเขาด้วยตนเอง แต่ไม่ว่าอย่างไรเหล่าเสนาบดีก็ไม่เห็นด้วย ดังนั้นจักรพรรดิจึงเชิญซู่ชินอ๋องมาเป็นผู้ให้การอภิเษก
ซู่ชินอ๋องไม่ปฏิเสธแต่อย่างไร ตี๋ตงหมิงเพิ่งจะสร้างเรื่องขึ้นมา ซู่ชินอ๋องไม่มีทางฝ่าฝืนความตั้งใจของจักรพรรดิ
แตกต่างจากความรกร้างที่หน้าประตูเมือง จวนชุนอ๋องเต็มไปด้วยผู้คน บรรยากาศคึกคัก มีสีแดงแห่งความราบรื่นอยู่ทั่วทุกแห่งหน รถม้าจำนวนมากจอดอยู่หน้าประตู บุคคลสำคัญในเมืองจักรพรรดิต่างพากันมาร่วมยินดีต่อชุนอ๋องอย่างเต็มใจ
ใบหน้าของทุกคนเต็มไปด้วยความยิ้มแย้ม คำพูดที่กล่าวออกมาล้วนเป็นสิริมงคล ไม่มีใครพูดถึงเรื่องการจากไปขององค์รัชทายาทในวันนี้ กล่าวถึงแต่เรื่องน่ายินดี ทั่วทั้งจวนเต็มไปด้วยความครื้นเครง
“น้อมเสด็จท่านอ๋องเก้า!”
งานแต่งดำเนินมาได้ครึ่งทางแล้ว บ่าวสาวกำลังไหว้ฟ้าดิน เสด็จอาเก้าเสด็จมาเวลานี้มันหมายความว่าอย่างไร
ไม่มีใครกล้าพูดอะไรออกมาแม้แต่ครึ่งคำ ซู่อ๋องเองก็หมดหนทาง ทำได้เพียงหยุดพิธีและมารับเสด็จเสด็จอาเก้า
เสด็จอาเก้าพ่นลมเย็นไปทั่วร่างกายของเขา ไม่ว่าจะไปที่ไหนทุกคนต่างหลีกทางให้เขา ผู้คนทั้งสองข้างหลีกทางให้เสด็จอาเก้าในจวนชุนอ๋องซึ่งมีคนพลุกพล่าน
เสด็จอาเก้าก้าวขึ้นไปบนพรมสีแดงด้วยใบหน้าซึ่งไร้ความรู้สึก ก้าวเดินไปข้างหน้าอย่างช้า ๆ ไม่มีใครกล้าพูดอะไรออกมา พวกเขาทำได้เพียงเฝ้าดูเสด็จอาเก้าเดินไปที่ห้องโถงแต่งงาน เมื่อเสด็จอาเก้าเดินออกไปไกล พวกเขาถึงกล้าพึมพำออกมา “นี่เสด็จอาเก้ามาร่วมงานอภิเษกหรือว่ามาสร้างความวุ่นวายกันแน่!”
“เสด็จอาเก้า ข้านึกว่าท่านจะไม่มาเสียแล้ว” ชุนอ๋องไม่ได้รับผลกระทบใด ๆ จากความเยือกเย็นของเสด็จอาเก้า เสด็จอาเก้าก้าวเข้าไปในโถงแต่งงาน ตงหลิงจื่อชุนก็ก้าวออกมาทักทายด้วยใบหน้าซึ่งเต็มไปด้วยรอยยิ้ม
เจ้าโง่ เหตุใดเจ้าถึงได้โง่เขลาเช่นนี้ เจ้าไม่เห็นใบหน้าอันเยือกเย็นของเสด็จอาเก้าอย่างนั้นหรือ ซู่อ๋องซึ่งอยู่ด้านหลังมองไปยังตงหลิงจื่อชุนด้วยสายตา แต่น่าเสียดายที่เจ้าเด็กนั่นมองไม่เห็นมันเลย
เสด็จอาเก้าเอนตัวไปทางซ้ายเล็กน้อย หลีกเลี่ยงมือของตงหลิงจื่อชุน “จื่อชุน ข้ามาที่นี่ในเวลานี้ก็เพราะมีคำถามต้องการถามองค์หญิงเหยาหวาเล็กน้อย”
“ฮึ เสด็จอาต้องการพูดอะไรอย่างนั้นหรือ?” แม้ตงหลิงจื่อชุนจะใสซื่อบริสุทธิ์ แต่เขาก็ไม่ได้โง่ เขารู้ว่าเสด็จอาเก้าต้องการพูดอะไร จะต้องเป็นสิ่งที่ทำให้เหยาหวาลำบากใจอย่างแน่นอน แต่เขาซึ่งกำลังแต่งงานกับเหยาหวาไม่มีทางยอมเป็นแน่ ดังนั้นเขาไม่เพียงแต่ต้องขัดขวาง แต่ยังต้องให้ความช่วยเหลือ……