นางสนมแพทย์อัจฉริยะ - บทที่ 977 ทรมาน,ทดสอบก็เหมือนท้าทาย
นางสนมแพทย์อัจฉริยะ บทที่ 977 ทรมาน,ทดสอบก็เหมือนท้าทาย
“เกิดเรื่องอะไรขึ้น?” ทันทีที่เสด็จอาเก้าออกไป เขาก็ถามลูกน้องที่อยู่ด้านข้าง
“ท่านอ๋อง มีชายนิรนามสองคนบุกเข้ามา เวลานี้พวกเขาอยู่ตรงข้ามกับแม่น้ำ” พูดอีกอย่างก็คือ อีกฝ่ายฝ่าฟันทุกอุปสรรคที่ขวางกั้นเข้ามา เวลานี้ได้บุกมาถึงหน้าประตูทางเข้าของพวกเขาแล้ว
“รู้หรือไม่ว่าเป็นผู้ใด? อีกฝ่ายได้พูดอะไรออกมาหรือไม่?” ใช่เวลาเพียงไม่นาน อีกฝ่ายก็มาอยู่ตรงหน้าของเขาแล้ว นี่ไม่ใช่คนธรรมดาอย่างแน่นอน และอีกนัยหนึ่ง อีกฝ่ายคุ้นเคยกับสถานที่และโครงสร้างของตำหนักแห่งนี้เป็นอย่างดี
“ไม่ทราบ พวกเขาต่อสู้กับคนของพวกเราทันทีที่ปรากฏตัว”
มีแสงส่องออกมาจากดวงตาของเสด็จอาเก้า ถามออกมาด้วยน้ำเสียงอันเคร่งขรึม “มีผู้บาดเจ็บล้มตายหรือไม่?”
“มีผู้ได้รับบาดเจ็บสิบหกคน แต่ยังไม่มีผู้ใดเสียชีวิต” เมื่อพูดถึงตรงนี้ ผู้ที่มารายงานก็นิ่งไป เมื่อสักครู่ที่พูดออกมา เขารู้สึกได้ว่ามีบางอย่างผิดปกติ แต่เขาคิดไม่ถึงมาโดยตลอด เวลานี้คิดออกแล้วว่าจุดที่ผิดปกตินั้นอยู่ที่ใด
อีกฝ่ายบุกเข้ามาเผชิญหน้ากับพวกเขา แต่กลับไม่ได้สังหารผู้ใดแม้แต่คนเดียว นี่ราวกับว่าไม่ได้ประสงค์ร้าย
“ฮึ……” เสด็จอาเก้าพ่นลมหายใจออกมาอย่างเย้ยหยัน แววตาของเขาเต็มไปด้วยความดุร้าย “เตรียมพลธนูให้พร้อม ไล่ต้อนสองคนนั้นไปยังกลางน้ำ” กล้ามาท้าทายเขาถึงที่ก็ต้องมีราคาที่ต้องจ่าย หมอเทวดาแล้วอย่างไร เขาตงหลิงจิ่ว ไม่ใช่คนที่ยอมถูกผู้อื่นรังแกง่าย ๆ
“ขอครับ” ผู้รายงานตอบรับและหายไปทันที
เสด็จอาเก้าเองก็พาเฟิ่งชิงเฉินออกมาด้านนอก “ไป ข้าจะพาเจ้าไปดูอะไรสนุก ๆ”
“สองคนนั้นเป็นใคร?” ตอนแรกเฟิ่งชิงเฉินยังไม่เข้าใจ แต่หลังจากได้ยินน้ำเสียงของเสด็จอาเก้า นางก็พอจะเข้าใจได้บ้าง
“อ่า”
“นี่พวกเขาต้องการอะไร? ท้าทายงั้นหรือ?” เฟิ่งชิงเฉินถามออกมาด้วยความไม่เข้าใจ
“จะว่าท้าทายก็ใช่ จะว่าทดสอบก็ไม่เชิง พวกเขาสองคนไม่ชอบให้ใครมาผูกมัด เกรงว่าเมื่อเข้ามาอยู่ที่นี่แล้วจะกลายเป็นนกในกรง” เสด็จอาเก้าพอจะเดาความคิดของทั้งสองคนได้ และเห็นด้วยกับความคิดของพวกเขา
แต่เห็นด้วยก็ส่วนเห็นด้วย อย่างไรก็ตามสิ่งที่ควรสั่งสอนก็ยังคงต้องสั่งสอน ไม่อย่างนั้นอาจทำให้คนคิดว่า ที่พำนักของเขาตงหลิงจิ่ว ใครคิดจะมาก็มา คิดจะไปก็ไปได้ตลอดเวลา
เฟิ่งชิงเฉินเห็นท่าทางอันเยือกเย็นของเสด็จอาเก้า ไม่มีร่องรอยของความใจอ่อน นางแอบสงสารสองคนนั้น ใครใช้ให้พวกเขามาทำให้เสด็จอาเก้าขุ่นเคือง นี่มันเหมือนกับการหาเหาใส่หัวไม่ใช่หรือ……
เสด็จอาเก้าพาเฟิ่งชิงเฉินมายืนอยู่บนหอสังเกตการณ์ จากตรงนี้เขาไม่เพียงแต่เห็นแม่น้ำที่ไหลผ่านเท่านั้น แต่ยังสามารถมองเห็นป่าลึกทางฝั่งของแม่น้ำ และทิวทัศน์หลังภูเขาราง ๆ
เหตุที่เสด็จอาเก้าเลือกสถานที่แห่งนี้ไม่ใช่เพราะมันสามารถง่ายต่อการป้องกันเพียงอย่างเดียว แต่มันยังเป็นสถานที่ซึ่งค่อนข้างลึกลับ ไม่แปลกเลยว่าทำไมเมื่อเสด็จอาเก้าได้ยินคำรายงานแล้วเขาถึงสามารถเดาได้ว่าผู้มาเยือนเป็นใคร เนื่องจากสถานที่แห่งนี้หากไร้ซึ่งผู้นำทางก็ไม่อาจเข้ามาได้โดยง่าย
รบกวนเวลาแห่งความสุขของเสด็จอาเก้าและเฟิ่งชิงเฉิน สายลับมั่นใจเป็นอย่างมากว่า ชื่อเลี่ยนฉุ่ยและกัวเป่าจี้ สองปรมาจารย์ผู้ยิ่งใหญ่นี้ คงจะมีจุดจบอย่างน่าอนาถไม่น้อย
เมื่อนึกถึงความเป็นไปของสองคนนั้น เหล่าสายลับรู้สึกพึงพอใจเป็นอย่างมาก หาคนมาระบายความโกรธของเสด็จอาเก้าได้ พวกเขาก็ไม่จำเป็นต้องเผชิญหน้ากับการฝึกฝนอันยากลำบาก
วันนี้ชื่อเลี่ยนฉุ่ยเปลี่ยนรูปแบบของเขาเล็กน้อย แทนที่จะใส่เสื้อผ้าสีฉูดฉาดให้ตกเป็นเป้าหมายของอีกฝ่าย วันนี้เขาเปลี่ยนมาแต่งกายในชุดสีอ่อนเหมือนกับกัวเป่าจี้
ทั้งสองพุ่งขึ้นมาจากฝั่งตรงข้ามของแม่น้ำ กระโดดขึ้นลงอยู่บนผิวน้ำหลายครั้ง เห็นว่ากำลังเข้าใกล้ฝั่ง ในตอนนั้นเอง ลูกธนูจำนวนมากก็พุ่งเข้ามาจากทางชายฝั่ง
แม้ว่าวิชาตัวเบาของชื่อเลี่ยนฉุ่ยและกัวเป่าจี้จะไม่ธรรมดา แต่อย่างไรพวกเขาก็เป็นมนุษย์ เผชิญหน้ากับลูกธนูที่เหมือนกับห่าฝน พวกเขาทำได้เพียงหลบการโจมตีและถอยกลับไป และการถอยกลับไปโดยไม่รู้ในครั้งนี้ ด้านหลังของพวกเขามีเครื่องทุ่มหินแอบแฝงอยู่ หินจำนวนมากถูกยิงเข้ามาทางด้านหลังของพวกเขา
ลูกธนูที่พุ่งเข้ามาราวกับห่าฝนอยู่ด้านหน้า ด้านหลังมีหินพุ่งเข้ามาจำนวนมาก แม้ว่าจะเป็นชื่อเลี่ยนฉุ่ยและกัวเป่าจี้ก็ไม่อาจรับมือไหว ตอนแรกยังพอทนได้ แต่หลังจากนั้นไม่นานพวกเขาก็ทนไม่ได้อีกต่อไป
“ศิษย์พี่ หนีกันเถิด” กัวเป่าจี้พาชื่อเลี่ยนฉุ่ยบินไปทางซ้าย แต่คิดไม่ถึงว่าทันทีที่พวกเขาเคลื่อนไหว ลูกธนูจำนวนมากก็พุ่งออกมาจากทางด้านซ้าย แม้มันอาจจะเป็นลูกธนูที่ดูไม่รุนแรงเหมือนปกติ แต่มันก็ดูเป็นลูกธนูที่เยือกเย็นยิ่งนัก
“ศิษย์น้อง ดูเหมือนว่าวันนี้พวกเราคงจะหนีไม่พ้น” แม้ว่ากำลังเผชิญหน้ากับอันตราย แต่ใบหน้าของชื่อเลี่ยนฉุ่ยก็ยังคงเต็มไปด้วยรอยยิ้ม ไม่รู้ว่าเฟิ่งชิงเฉินคิดไปเองหรือไม่ แต่นางรู้สึกว่าเมื่อสักครู่ชื่อเลี่ยนฉุ่ยมองมาทางที่นางและเสด็จอาเก้าอยู่
“ทางเดียวที่จะรอดคือหนีไปทางด้านขวา แต่ทางนั้นก็น่าจะมีกับดักบางอย่างรอพวกเราอยู่” ท่อนยุทธภพมานานหลายปีก กัวเป่าจี้เองก็ไม่ใช่คนโง่เขลา สถานการณ์เช่นนี้เขาจะมองไม่ออกได้อย่างไร
อีกฝ่ายไม่ได้คิดที่จะสังหารพวกเขา แต่ต้องการบังคับให้พวกเขาไปติดกับดัก เหมือนกับการจับปูใส่กระด้ง
“ต่อให้เป็นกับดัก พวกเราพี่น้องก็ต้องผ่านไปให้ได้ แม้จะพวกเราจะบุกเข้ามา แต่อีกฝ่ายก็ไม่คิดจะลงมือสังหารพวกเรา นี่ถือเป็นการให้เกียรติพวกเรามาก” ชื่อเลี่ยนฉุ่ยก็ถือเป็นคนฉลาดคนหนึ่ง เมื่อเห็นขนาดของก้อนหินและความเร็วของลูกธนูที่พุ่งเข้ามาหาพวกเขา เขาก็สามารถเดาได้ว่าคนที่อยู่ในตำหนักแห่งนี้ไม่ได้ต้องการจะฆ่าพวกเขา
“แต่จะไม่ลงมือฆ่า แต่มันถือเป็นการข่มขู่อันยิ่งใหญ่” กัวเป่าจี้ทำอะไรไม่ได้ ภายใต้สถานการณ์ที่ด้านหลังถูกปิดตาย แม้รู้ว่าด้านขวาจะมีกับดักรอพวกเขาอยู่ แต่เขาก็ทำได้เพียงพาชื่อเลี่ยนฉุ่ยไปมุ่งหน้าไปทางนั้น
ช่วยไม่ได้ ใครบอกให้พวกเขาสองฝีน้องมาลองดีกับอีกฝ่ายก่อน อย่างน้อยก็ต้องแสดงให้อีกฝ่ายเห็นว่าพวกเขาไม่ใช่หมอธรรมดาที่คิดจะใช้งานหรือบดขยี้พวกเขาได้ตามต้องการ
สุดท้ายการ การแสดงความสามารถของพวกเขา ไม่เพียงแค่ไม่สามารถข่มขู่อีกฝ่ายได้เท่านั้น แต่ยังได้รับบทเรียนอันยิ่งใหญ่จากอีกฝ่ายด้วย
“แค่ไม่ตายก็ดีมากแล้ว ขอแค่พวกเราไม่ตาย อีกฝ่ายก็รอพบกับความโชคร้ายได้เลย” ชื่อเลี่ยนฉุ่ยไม่สนใจอันตรายที่อยู่ตรงหน้า ขอแค่เขายังมีลมหายใจ ในฐานะหมอเทวดาและหมอพิษ พวกเขามีวิธีการมากมายที่จะใช้ในการแก้แค้นฝ่ายตรงข้าม
หมอที่มีทักษะขั้นสูง หากต้องการสังหารใครสักคน มันง่ายเสียกว่าการช่วยเหลือ
ชื่อเลี่ยนฉุ่ยและกัวเป่าจี้บินไปทางด้านขวา เกือบจะถึงใจกลางของแม่น้ำ ในตอนนั้นเอง จู่ ๆ ก็มีกองกำลังสองกระบวนวิ่งออกมาจากฝั่ง ผิวน้ำเต็มไปด้วยความปั่นป่วน มีเสียงแปลก ๆ ดังขึ้น ตาข่ายขนาดใหญ่ถูกยกขึ้นมาจากผิวน้ำ จับชื่อเลี่ยนฉุ่ยและกัวเป่าจี้ขังไว้ในตาข่าย
“ที่แท้ก็ต้องการจับพวกเราเหมือนกับจับปลา ช่างเป็นวิธีที่น่ารำคาญเสียจริง” ดวงตาคู่นั้นของชื่อเลี่ยนฉุ่ยเปลี่ยนเป็นสีแดง แววตาของกัวเป่าจี้เองก็ต้องไปด้วยความโกรธ
พวกเขาสองพี่น้องคิดว่าวิธีการของพวกเขานั้นอ่อนโยน ตลอดทางที่ผ่านมา พวกเขาไม่เคยวางยาพิษใครแม้แต่คนเดียว ไม่ได้สังหารใครเลยด้วยซ้ำ แต่อีกฝ่ายกลับลงมือกับพวกเขาอย่างโหดร้าย มันจะมากเกินไปหรือเปล่า
พวกเขาประเมินเสด็จอาเก้าต่ำเกินไป เนื่องจากสิ่งที่เลวร้ายกว่านั้นยังมาไม่ถึง
เสด็จอาเก้าเดินลงมาที่ชายฝั่ง ออกคำสั่งออกมาว่า “จมลง” คนที่อยู่บนฝั่งกล่าวออกมาว่า “จับปลาตัวใหญ่ได้แล้ว” ชายหลายคนเดินเข้ามาจับตาข่ายจับปลา ยกลงน้ำอย่างรุนแรง
“เจ้าบ้า” หลังจากที่ชื่อเลี่ยนฉุ่ยรู้ว่าอีกฝ่ายกำลังคิดจะทำอะไร เขาก็สบถออกมา แต่ในตอนที่เขาอ้าปาก น้ำในแม่น้ำก็เข้าไปในปากของเขา
“อึก……อึก……” น้ำจำนวนมากเข้าไปในปากของชื่อเลี่ยนฉุ่ย แม้ว่าวิธีการดังกล่าวไม่สามารถเขาชีวิตของพวกเขาได้ แต่มันก็ทำให้พวกเขาขายหน้าเป็นอย่างมาก
ในยุทธจักร การข่มขู่หมอเทวดาผู้ยิ่งใหญ่อย่างเขา แค่ถูกจับไว้ในตาข่ายอย่างเดียวก็ถือเป็นเรื่องอับอายมากแล้ว แต่นี่ยังกดพวกเขาลงในแม่น้ำ มันน่าอับอายมากเกินไป
“หากไม่ฆ่าเจ้าพวกนี้ด้วยพิษของข้า เช่นนั้นก็อย่ามาเรียกข้าว่ากัวเป่าจี้” กัวเป่าจี้พูดออกมาขณะที่เขาอยู่ในน้ำ
เสียงดัง……
เสด็จอาเก้าเองก็ไม่ได้ต้องการฆ่าชื่อเลี่ยนฉุ่ยและกัวเป่าจี้ เพียงแค่ต้องการข่มขู่และสั่งสอนพวกเขาเท่านั้น หลังจากแช่พวกเขาไว้ในน้ำได้ไม่นาน ก็ยกทั้งสองคนขึ้นมา แต่……หลังจากนั้นก็ยกขึ้นยกลงซ้ำไปซ้ำมาอยู่อย่างนั้น……
ตอนแรกชื่อเลี่ยนฉุ่ยและกัวเป่าจี้ก็ยังพอจะสาปแช่งออกมาได้ แต่หลังจากนั้นไม่นานพวกเขาก็พูดไม่ออก แม้วรยุทธ์ของทั้งสองจะไม่ธรรมดา แต่การที่ต้องมาถูกทรมานเช่นนี้ ไม่นานทั้งสองคนก็ไร้ซึ่งเรี่ยวแรง