นางสนมแพทย์อัจฉริยะ - บทที่ 978 ทรมาน เสด็จอาเก้าว่ายาก
นางสนมแพทย์อัจฉริยะ บทที่ 978 ทรมาน เสด็จอาเก้าว่ายาก
นี่คือการลงโทษที่โหดร้ายทารุณอย่างยิ่ง ทุก ๆ ครั้งที่จมลงไปใต้น้ำ แรงกดของน้ำเช่นนั้นที่ทำให้สำลักตาย อีกทั้งความรู้สึกจากการขาดอากาศหายใจขณะอยู่ใต้น้ำยิ่งทำให้พวกเขารู้สึกว่าความตายกำลังคืบคลานเข้ามาใกล้ทุกขณะ แต่ในเสี้ยววินาทีที่พวกเขากำลังจะไม่มีโอกาสลืมตาอีกครั้งนั้นก็กลับมีลมหายใจเฮือกหนึ่งดึงกลับมา และเมื่อตนคิดว่าได้รอดพ้นมาแล้วก็คงจะมิอยากเผชิญหน้ากับมฤตยูแห่งความตายอีก
ทรมานกันเกินไปแล้ว!
จอมยุทธผู้ยิ่งใหญ่น่าเกรงขามที่เฟิ่งชิงเฉินได้เห็นเมื่อครู่นี้ เพียงชั่วพริบตาเดียวก็กลับกลายสภาพราวกับลูกหมาตกน้ำไปเสียแล้ว ถ้าจะให้กล่าวว่ามิเห็นใจก็คงจะมิได้ ทว่านางมีสิ่งอื่นอันน่ากังวลใจมากกว่าความเห็นอกเห็นใจอีก “เสด็จอาเก้า ท่านไม่กังวลบ้างหรือว่าเมื่อจบเรื่องไปแล้วพวกเขาจะไม่กลับมาแก้แค้น? การที่จะสืบรู้ว่าหมอคนหนึ่งฆ่าคนนั้นเป็นเรื่องที่ไม่ยากนัก” แม้ว่าเฟิ่งชิงเฉินจะมิได้ร่ำเรียนแพทย์แผนจีนมา แต่ก็ไม่ได้หมายความว่านางจะมิเข้าใจศาสตร์แพทย์แผนจีนเลยแม้แต่น้อย ในสายตาของหมอพิษกัวเป่าจี้นั้นไม่ว่าพืชพันธุ์ชนิดใดก็สามารถนำมาบดเป็นยาพิษได้ทั้งสิ้น ถ้าหากเขาสามารถผสมสารพิษได้ละก็คนทั้งสำนักของพวกเขาก็คงจะถึงคราวหายนะเป็นแน่
อย่างไรก็ตามการที่ต้องการจะสกัดกั้นมือวางยาพิษชั้นสูงสักคนหนึ่งได้นั้นถือว่าเป็นเรื่องที่มิง่ายเลยเชียวละ วิธีการที่ดีที่สุดก็คือการสังหารพวกเขาให้หมดสิ้น แต่เมื่อเห็นท่าทีเยี่ยงนั้นของเสด็จอาเก้าแล้วคงไม่คิดที่จะฆ่าพวกเขาอย่างแน่นอน
“มีเจ้าอยู่จะต้องเกรงกลัวอันใดเล่า” เสด็จอาเก้าลูบไล้แหวนหยกที่สวมอยู่บนนิ้วหัวแม่มืออย่างเบา ๆ และนัยน์ตาสีดำเข้มก็สะท้อนแสงเป็นประกาย
“ข้ารึ? มันเกี่ยวอันใดกับข้าเล่า?” นางไม่รู้จักสองคนนี้เลยด้วยซ้ำ
“เจ้าคิดว่าองค์รัชทายาทใช้สิทธิ์อันใดไปลักพาตัวพวกเขามา”
เมื่อเสด็จอาเก้าเอ่ยเช่นนี้ก็ทำให้เฟิ่งชิงเฉินฉุกคิดบางอย่างขึ้นมาได้ “ท่านจะสื่อว่า……องค์รัชทายาทจงใจใช้เหตุอาการประชวรของพระองค์ จากนั้นก็ขายข้างั้นรึ?”
องค์รัชทายาท ช่างไร้ยางอายเกินไปแล้ว
“มิควรกล่าวว่าองค์รัชทายาทขายเจ้า แต่สองคนนี้ตั้งใจมุ่งร้ายเจ้าเป็นทุนเดิมอยู่แล้ว” ยังมีเวลาอีกตั้งหลายวันซึ่งเพียงพอที่จะให้เสด็จอาเก้าเค้นถามถึงจุดประสงค์ในการลงจากภูเขามาของชื่อเลี่ยนฉุ่ยและกัวเป่าจี้ อย่างไรเสียการที่สองคนนี้ปรากฏตัวอยู่ในยุทธจักรอย่างไม่มีปี่มีขลุ่ยนั้น ถ้าเขาไม่ตรวจสอบหาสาเหตุละก็คงจะไม่ปลอดภัยเป็นแน่
ถึงแม้ว่าจะไม่มีองค์รัชทายาทมาเกี่ยวข้อง จะเร็วหรือช้าเฟิ่งชิงเฉินก็ต้องเจอกับสองคนนี้อยู่ดี และการที่ได้เจอกันตอนนี้นั้นสำหรับเฟิ่งชิงเฉินแล้วนับว่าเป็นเรื่องดีเชียวละ
“เพราะอาการป่วยของหยุนเซียวงั้นหรือ?” เมื่อนึกถึงคำพูดของเสด็จอาเก้าที่เคยเอ่ยถึงความตั้งอกตั้งใจศึกษาตำราวิชาแพทย์ของชื่อเลี่ยนฉุ่ยและกัวเป่าจี้ จึงทำให้เฟิ่งชิงเฉินคาดเดาจุดประสงค์ของทั้งคนได้ไม่ยาก
เสด็จอาเก้าพยักหน้าพลางจ้องมองชื่อเลี่ยนฉุ่ยและกัวเป่าจี้ที่ถูกทรมานจนพอควรแล้ว จากนั้นเสด็จอาเก้าจึงโบกมือเพื่อสั่งให้เหล่าชายกำยำที่กำลังลากอวนอยู่นั้นหยุดในทันที แล้วให้ยกชื่อเลี่ยนฉุ่ยและกัวเป่าจี้ที่อยู่ในน้ำขึ้นมาซึ่งแน่นอนว่าอวนจับปลายังอยู่บนตัวของพวกเขา
“ศิษย์น้อง ชั่วชีวิตของข้ายังมิเคยต้องตกอยู่ในสภาพน่าเวทนาเยี่ยงนี้มาก่อนเลย” ผมเรียวยาวของชื่อเลี่ยนฉุ่ยพันรอบตัวเขา ใบหน้าที่ปราศจากรอยยิ้มนั้นราวกับสิ่งอัปมงคลก็มิปาน เมื่อมองดูแล้วช่างน่าสังเวทยิ่งนัก
“ศิษย์พี่อย่าได้เร่งร้อนใจ เมื่อถึงเวลาข้าจะทำให้คนพวกนี้ต้องเจ็บปวดทรมานอย่างแสนสาหัสจนเอนกายไม่ได้สิบวันสิบคืนเชียวละ” กัวเป่าจี้ในตอนนี้ก็จนตรอกอย่างถึงที่สุด เพลานี้มิว่าจะมีวิชาความรู้อันใดก็ล้วนเปล่าประโยชน์ทั้งสิ้น สภาพอ่อนแอไร้กำลังจนต้องให้ให้ผู้อื่นฉุดกระชากลากถูให้ลุกขึ้นเดิน
ต่อให้วิชายุทธ์จะสูงเพียงใดก็ตาม หรือจะเชี่ยวชาญวิชาแพทย์สักเท่าไร วิชาพิษจะเก่งกาจมากเพียงใด พวกเขาก็ไร้โอกาสที่จะใช้มันอยู่ดี
“ความจริงแล้วพระบรมวงศานุวงศ์มิสามารถปลุกปั่นเป็นแน่ ทรงแจ้งพระทัยตั้งแต่แรกแล้วว่าพวกข้าไม่ได้มาพร้อมองค์รัชทายาทผู้นั้นเป็นแน่” ชื่อเลี่ยนฉุ่ยเอ่ยแขวะ ครั้งนี้กัวเป่าจี้มิได้กล่าวเสริม ก่อนที่พวกเขาจะขึ้นเขาไปยุแหย่ปลุกปั่นนั้น องค์รัชทายาททรงเคยตักเตือนพวกเขาไว้แล้วว่าทางที่ดีที่สุดคือมิควรทำเยี่ยงนี้
ส่วนเสด็จอาผู้นั้นของเขาค่อนข้างใจแคบ ถ้าหากไปกระตุกหนวดเขาเข้าละก็ เขาจะทำให้เจ้าเหมือนตายทั้งเป็นเลยเชียวละ
แต่ศิษย์พี่กลับไม่เชื่อ เมื่อองค์รัชทายาทยิ่งห้ามเท่าใด เขาก็ยิ่งอยากขึ้นเขาเพื่อจะไปยุแหย่ปลุกปั่น จนผลสุดท้ายถึงต้องมาตกอยู่ในสภาพเช่นนี้
ทั้งสองคนถูกลากเข้าไปภายในห้อง อวนจับปลาที่พันอยู่รอบตัวก็ยังไม่ถูกปลดออก ชื่อเลี่ยนฉุ่ยและกัวเป่าจี้มิก็ไม่ปริปากพูดแต่อย่างใด พวกเขาแจ้งใจดีว่าคนเหล่านี้จะรับปฏิบัติตามคำสั่งเพียงเท่านั้น
ทั้งสองนั่งลงบนพื้น และใช้โอกาสนี้เพื่อปรับความเข้าใจ ขณะเดียวกันก็รอให้องค์รัชทายาทที่เสด็จอาเก้ากล่าวถึงมาเสียก่อน อีกทั้งสาเหตุที่เสด็จอาเก้าผู้นั้นมิได้ลงมือฆ่าพวกเขาคิดว่าต้องเป็นเพราะล่วงรู้ถึงสถานะของพวกเขาแล้วเป็นแน่
เสด็จอาเก้าจูงมือเฟิ่งชิงเฉินเดินเข้ามาโดยไม่ปล่อยให้ทั้งสองต้องรอนาน ขณะเดียวกันกัวเป่าจี้และชื่อเลื่อนฉุ่ยนั้นสัมผัสได้เพียงแค่เส้นแสงที่สาดกระทบอยู่เบื้องหน้า ดวงตราพร่ามัว จนกระทั่งเมื่อพวกเขาสามารถปรับสายตาจนมองเห็นอย่างชัดเจนแล้วจึงจับจ้องเรือนร่างของชายหญิงคู่หนึ่งยืนอยู่ตรงบริเวณจุดย้อนแสง และเบื้องหลังก็ซ่อนเงาแสงสะท้อนจาง ๆ ที่ตกกระทบอันชวนให้รู้สึกเวียนศีรษะ
“ช่างเป็นคู่ที่สง่างามเหมาะสมอย่างมาก……” ชื่อเลื่อนฉุ่ยโพล่งคำชมเชยออกมา เมื่อฉุกคิดได้ว่าตอนนี้ตนตกอยู่ในสภาพสิ้นไร้ไม้ตอกเช่นนี้ก็เป็นเพราะฝีมือของสองคนนี้ จึงชะงักคำพูดชื่นชมแล้วเปลี่ยนเป็นเหยียดหยามทันที “ชายชั่ว……หญิงเลว!”
“หมอเทวดาชื่อเลื่อนฉุ่ย?” แม้เสด็จอาเก้าได้ยินคำพูดเช่นนั้นแต่กลับมิได้โกรธเคียงแต่อย่างใด พลางขานเรียกชื่อของอีกฝ่ายตามตำแหน่งของเขา
“ข้าเอง มีอันใดรึ?” ชื่อเลื่อนฉุ่ยเพิกเฉยกับสถานภาพนักโทษคุมขังของเขาตอนนี้จนสิ้น พลางกล่าวอย่างหยิ่งยโส
“ไม่มีอันใด” เสด็จอาเก้าตอบกลับด้วยน้ำเสียงนุ่มนวล ก่อนที่จะหันหน้ากลับไปกล่าวกับเฟิ่งชิงเฉิน “พวกเขาทั้งสองคนเนี่ยนะ คนหนึ่งเอะอะโวยวาย ส่วนอีกคนก็พิษสงร้ายกาจ ช่วยทำให้พวกเขาสงบลงหน่อย”
“เฮ้ เจ้ากล้าหรือ……”
“ได้”
ชื่อเลี่ยนฉุ่ยและกัวเป่าจี้ต่างเปร่งเสียงพร้อมกัน แต่ทว่าคนแรกนั้นทำได้แค่ถลึงตาแสดงความรู้สึกไม่พอใจของตนเอง ส่วนอีกคนนั้นขยับตัวขัดขืนในทันที
เฟิ่งชิงเฉินแสดงท่าทางบอกคนถือถ้วยยาที่ยืนอยู่ข้างหลังให้เดินมาด้านหน้าของนาง จากนั้นจึงนั่งยองลงตรงเบื้องหน้าของชื่อเลี่ยนฉุ่ยและกัวเป่าจี้ “ท่านอาวุโสทั้งสองคงจะถูกกระทำล่วงเกินมิใช่น้อยสินะ”
เฟิ่งชิงเฉินหยิบกระบอกเข็มที่อยู่ในถ้วยยาขึ้นมา ก่อนที่จะไล่อากาศออกจากภายในอย่างคล่องแคล่ว ปลายแหลมของเข็มตั้งตระหง่านตรงเบื้องหน้าของชื่อเลี่ยนฉุ่ยและกัวเป่าจี้อันทำให้เกิดความรู้สึกขนพองสยองเกล้า
“เจ้าจะทำอะไร?” กัวเป่าจี้ถลันมาขวางด้านหน้าของชื่อเลี่ยนฉุ่ยไว้ พลางจ้องมองเฟิ่งชิงเฉินด้วยสายตาพยาบาท และความอาฆาตเยือกเย็นก็แผ่ซ่านออกมาจากนัยน์ตาดำคู่นั้น
เฟิ่งชิงเฉินมิได้รู้สึกสะทกสะท้านแม้แต่น้อย พลางยิ้มและกล่าว “ท่านอาวุโสทั้งสองอย่าได้กังวลไปเลย พวกท่านอันตรายมากเกินไป ข้าจึงต้องทำให้พวกท่านสงบลงสักหน่อย เช่นนี้พวกเราจะสามารถเจรจากันอย่างสมานฉันท์ได้”
กล่าวจบก็แสดงท่าทางให้คนที่อยู่ข้างตนไปจับชื่อเลี่ยนฉุ่ยและกัวเป่าจี้ไว้ให้มั่น และยกแขนทั้งสองคนขึ้น จากนั้นเฟิ่งชิงเฉินจึงหยิบสำลีก้านเช็ดแขนเบา ๆ ก่อนที่จะฉีดเข็มแรกให้กับกัวเป่าจี้ก่อน
ชายวัยกลางคนที่เงียบขรึมผู้นี้ทำให้เฟิ่งชิงเฉินรู้สึกเป็นอันตราย
“นี่มันคืออะไร?” ชื่อเลี่ยนฉุ่ยรู้ว่าไม่อันตรายถึงชีวิต และตนเองก็ไม่อาจปฏิเสธได้ จึงไม่ดิ้นรนขัดขืนอีกต่อไป พลางเอ่ยถามเฟิ่งชิงเฉิน
เขาอยากรู้เป็นอย่างยิ่งว่าสิ่งซึ่งอยู่ภายในกระบอกฉีดที่เฟิ่งชิงเฉินถืออยู่คืออะไร
“การฉีดเข้าเส้นเลือดดำเช่นนี้จะทำให้ยาออกฤทธิ์รวดเร็วมากที่สุด อีกไม่นานท่านอาวุโสทั้งสองก็จะเข้าใจ” เฟิ่งชิงเฉินจึงฉีดอีกเข็มหนึ่งให้กับชื่อเลี่ยนฉุ่ย และไม่เพียงแต่ชื่อเลี่ยนฉุ่ยจะยินยอมเท่านั้น ทว่ากลับแสดงสีหน้าสนอกสนใจ พลางจ้องมองเฟิ่งชิงเฉินลำเลียงยาเข้าสู่ร่างกายของเขา จากนั้นจึงเอ่ยถาม “ฉีดเข้าหลอดเลือดใช่หรือไม่?”
“ใช่แล้ว” หลังจากฉีดยาเสร็จเรียบร้อย เฟิ่งชิงเฉินก็วางเข็มใส่ถ้วยยา ตาทั้งสองข้างของชื่อเลี่ยนฉุ่ยมิอาจละไปจากกระบอกเข็มนั้นไปได้ ส่วนกัวเป่าจี้นั้นกลับเงียบขรึมโดยไม่ปริปาก แต่เมื่อมองท่าทางเช่นนั้นของเขาแล้วก็แสดงให้เห็นว่าเขาไม่พอใจเป็นอย่างมาก
เฟิ่งชิงเฉินรู้ว่ากัวเป่าจี้โมโหเพราะสิ่งใด จะว่าไปสองคนนี้ก็เป็นแพทย์ผู้ประเสริฐและมีจรรยาบรรณที่มีชื่อเสียงตั้งแต่วัยหนุ่ม แต่เมื่อถูกปฏิบัติเช่นนี้จะให้นิ่งสงบอยู่ได้เยี่ยงไรกัน แต่นางเองก็ไม่มีทางเลือกอื่นแล้วเช่นกัน
ในเมื่อเสด็จอาเก้าได้ทำในส่วนแรกแล้ว นางจึงคิดถึงชีวิตของตนเอง และตัดสินว่าเช่นนั้นคงต้องทำในส่วนที่เหลือแล้วละ
“ยาตัวนี้ออกฤทธิ์เร็วจริง ๆ” ผ่านไปไม่นาน ชื่อเลี่ยนฉุ่ยกับกัวเป่าจี้ก็เริ่มแสดงอาการผิดแปลกไป ทั้งสองเริ่มวิงเวียนศีรษะ ไม่ได้สติและเพียงชั่วพริบตาก็ผล็อยหลับไป
ได้ผลเกินคาดกว่าการมอมยาให้สลบเสียอีก เพราะมันไม่ได้ผลกับพวกเขา
“เอาละ ท่านสั่งให้คนมาจัดการต่อได้เลย” เฟิ่งชิงเฉินกล่าวกับเสด็จอาเก้า
“เก็บกวาดให้เรียบร้อย” เสด็จอาเก้าตะโกนสั่งมอบหมายงาน ก่อนที่จะเดินออกไป ทั้งสองคนนี้มิได้มีคุณค่าให้เขาต้องคิดกังวลอันใดมากมายนัก และทั้งสองคนก็มิใช่ปรมาจารย์แห่งหุบเขาซวนยีด้วย พวกเขามิได้มีประโยชน์อันใดกับตนเลย
หมอเทวดา หมอพิษอันใดกัน ถ้าหากจะชำแหละตัวเจ้าออกมาจนหมดจดนั้นก็จะเห็นถึงความสามารถนับร้อยที่ของเจ้าที่ไม่ได้แสดงออกมา แต่ถึงขั้นจำเป็นต้องใช้พิษเชียวรึ? ช่างเถอะ คงไม่มีใครโง่ไร้ปัญญาจนถึงขั้นต้องใช้พิษมาควบคุมหมอเทวดาหนึ่งคนกับหมอพิษอีกหนึ่งคนกระมัง
ในขณะที่ชื่อเลี่ยนฉุ่ยและกัวเป่าจี้โดนกำราบจนสิ้นฤทธิ์แล้วนั้น ในที่สุดองค์รัชทายาทกับชิงอ๋องก็เสด็จมาถึง องค์รัชทายาทนั้นเป็นคนที่แจ้งใจดีว่าสิ่งใดควรหรือมิควร เมื่อมาถึงจึงกล่าวขอโทษเป็นประการแรกทันที “ท่านอาเก้า ชิงเฉิน ข้าต้องขอโทษจริง ๆ คาดไม่ถึงเลยว่าบุรุษทั้งสองนั้นจะกระทำการบุ่มบ่ามฉุกละหุกเยี่ยงนั้น หากถูกกระทำให้ไม่พอใจหรือล่วงเกินประการใดข้าขอท่านอาเก้าและชิงเฉินโปรดอย่าได้ถือสา”
ใคร ๆ ก็มักจะกล่าวเช่นนี้ แต่ในเมื่อมันเกิดขึ้นแล้ว เจ้าจะกระทำเยี่ยงใดได้ เฟิ่งชิงเฉินแสดงท่าทีไม่ถือสาเอาความ เพราะนางก็มิได้เสียหายอันใดเลย แต่สำหรับเสด็จอาเก้านั้นก็คงจะไม่มีอารมณ์จะกล่าวอันใดแล้วละ ……