นางสนมแพทย์อัจฉริยะ - บทที่ 994 ชน,ความไร้เดียงสาช่างน่ากลัว
นางสนมแพทย์อัจฉริยะ บทที่ 994 ชน,ความไร้เดียงสาช่างน่ากลัว
ไม่มีใครสงสัยในแผนการของเสด็จอาเก้า มีเพียงซุนซือสิงผู้เดียวเท่านั้นที่รู้สึกไม่พอใจ ไม่สนใจใบหน้าอันเยือกเย็นของเฟิ่งชิงเฉิน ซุนซือสิงก้าวออกไปด้านหน้าพร้อมกล่าวว่า “อาจารย์ ในเมื่อคนพวกนี้ต้องการเพียงแค่ชีวิตของเสด็จอาเก้า เช่นนั้นก็ให้เสด็จอาเก้าไปล่อลวงพวกเขาเพียงลำพังก็พอแล้ว อาจารย์ ท่านไม่เป็นวรยุทธ์ ตามเสด็จอาเก้าไปก็ช่วยอะไรเขาไม่ได้ การที่ท่านเดินทางไปกับเสด็จอาเก้าเช่นนี้ มันจะไม่เป็นอันตรายมากกว่าเดิมอย่างนั้นหรือ อาจารย์ ข้าว่าท่านอยู่ที่นี่ต่อไปจะดีกว่า”
อือ……เสด็จอาเก้าและเฟิ่งชิงเฉินหมดคำจะพูด
มีเหตุผล! แน่นอนว่ามีเหตุผล
ชื่อเลี่ยนฉุ่ยและกัวเป่าจี้เบือนหน้าหนี ยิ้มอย่างบึ้งตึง มีคนเคยบอกว่าความไร้เดียงสาสามารถฆ่าคนได้ ที่แท้มันก็เป็นเรื่องจริง
“ข้าพูดอะไรผิดงั้นหรือ?” ซุนซือสิงเห็นทุกคนไม่พูดอะไร เขาจึงหันหน้ามาหาเฟิ่งชิงเฉิน
แม้ว่าเฟิ่งชิงเฉินจะดูเขินอาย แต่ก็ยังส่ายหน้าอย่างสงบ ซุนซือสิงไม่ได้พูดอะไรผิด ไม่เพียงแค่ไม่ผิดเท่านั้น แต่สิ่งที่เขาพูดออกมานั้นมีเหตุผลเป็นอย่างมาก
ซุนซือสิงเห็นว่าอาจารย์สนับสนุนเขา เขาจึงกล่าวออกมาทันทีว่า “อาจารย์ ในเมื่อข้าไม่ได้พูดอะไรผิด เช่นนั้นท่านก็อย่าไปกับเสด็จอาเก้าเลย มันอันตรายเกินไป อยู่ที่นี่เถิด องค์รัชทายาทต้องการท่าน”
ข้าเองก็ต้องการนางเช่นกัน! เสด็จอาเก้ามองมาที่ซุนซือสิงด้วยความไม่พอใจ แต่น่าเสียดายที่ความไร้เดียงสาของเขาเป็นของจริง เขาจึงไม่รับรู้ถึงสายตาของเสด็จอาเก้า
“คือ……” เฟิ่งชิงเฉินมองมาที่ซุนซือสิงด้วยความลำบากใจ คำพูดของซุนซือสิงนั้นถูกต้องทั้งหมด แต่นางไม่สามารถอยู่ที่นี่ได้ ต่อให้นางอยากที่จะอยู่ที่นี่ เสด็จอาเก้าก็คงไม่มีทางยอมให้เป็นเช่นนั้น
“อาจารย์ ท่านไม่อยากอยู่ที่นี่งั้นหรือ?” ซุนซือสิงเห็นเฟิ่งชิงเฉินลังเลจึงรีบถามออกไป
“แน่นอนว่าไม่ใช่”
“ในเมื่อไม่ใช่ เช่นนั้นท่านก็อยู่ที่นี่ต่อไป ข้ายังมีคำถามและปัญหาอีกมากมายที่ต้องการให้ท่านช่วยสอน” ใบหน้าของซุนซือสิงเต็มไปด้วยความคาดหวัง ดวงตาของเขาเต็มไปด้วยความอ้อนวอน ชื่อเลี่ยนฉุ่ยนึกถึงเรื่องที่เกิดขึ้นระหว่างการผ่าตัด เขาเองก็อยากให้เฟิ่งชิงเฉินอยู่ที่นี่เพื่อไขข้อสงสัยของเขาให้กระจ่างเช่นกัน แต่ในตอนที่กำลังจะเอ่ยปากออกมา เขาก็ถูกกัวเป่าจี้ห้ามเอาไว้ก่อน
ล้อเล่นหรืออย่างไร มีเพียงซุนซือสิงเท่านั้นที่สามารถพูดเช่นนั้นได้ แต่พวกเขาไม่สามารถทำได้ เสด็จอาเก้าอดทนต่อซุนซือสิง นั่นเป็นเพราะความใสซื่อบริสุทธิ์ของซุนซือสิง แต่พวกเขาไม่ใช่ ดังนั้น……ในเรื่องเดียวกัน บางครั้งหากพวกเขาพูดออกไปอาจทำให้ใครบางคนขุ่นเคือง ซึ่งต่างจากซุนซือสิง
“ซือสิง มีเรื่องอันใดไว้กลับไปยังจวนของพวกเราแล้วค่อยว่ากัน เวลานี้อาจารย์ไม่สามารถอยู่ที่นี่ได้ อาจารย์จำเป็นต้องไป” หากนางไปไม่ เสด็จอาเก้าคงโกรธจนตายแน่
ดวงตาของซุนซือสิงหรี่ลง จากนั้นถามออกมาด้วยความผิดหวัง “เพราะเหตุใดงั้นหรือ?”
“เรื่องนี้มัน……” เฟิ่งชิงเฉินมองมาที่ซุนซือสิงซึ่งอยากให้นางอยู่ที่นี่ นางไม่รู้ว่าควรตอบคำถามของซุนซือสิงอย่างไร เนื่องจากเรื่องนี้นั้นยากที่จะอธิบาย
เฟิ่งชิงเฉินมองมาที่เสด็จอาเก้าด้วยสายตาอ้อนวอน
เสด็จอาเก้าเงยหน้าขึ้นอย่างเฉยเมย ทำเป็นมองไม่เห็นความอ้อนวอนของเฟิ่งชิงเฉิน
การหาคำพูดมาอธิบายให้ซุนซือสิงฟังนั้นเป็นปัญหาอย่างแท้จริง หากเขาพูดแรงเกินไป อาจทำให้ซุนซือสิงเสียใจ จากนั้นเฟิ่งชิงเฉินก็จะโทษเขา หากเขาพูดเบาเกินไป เช่นนั้นก็ไม่สามารถสลัดซุนซือสิงออกไปได้ เฟิ่งชิงเฉินก็จะบอกว่าเขาไร้ประโยชน์ เรื่องนี้ไม่ว่าทางไหนก็ไม่ดีทั้งหมด เหตุใดเขาต้องรับมันไว้ด้วย
การอ้อนวอนไม่เป็นผล เฟิ่งชิงเฉินทำได้เพียงอธิบายออกไปอย่างถู ๆ ไถ ๆ บอกไปว่านางต้องไปจัดการเรื่องที่ซานตง ซุนซือสิงรู้ว่าคำพูดของเฟิ่งชิงเฉินเป็นเพียงคำหลอกลวง เขาจึงตอบรับอย่างหดหู่ เสด็จอาเก้าเห็นว่าใกล้ได้เวลาแล้ว เขาจึงกล่าวเตือนเฟิ่งชิงเฉินออกมา เช่นนั้นถึงสามารถขัดการอธิบายที่ไม่เป็นตัวเองของเฟิ่งชิงเฉินได้
สามคนม้าสามตัว โจ่วอันรอพวกเขาอยู่ตรงหน้าประตูตั้งนานแล้ว เห็นพวกเขาค่อย ๆ ออกมา โจ่วอันเหลือตามองพวกเขา พูดอย่างไม่พอใจ “หากมีเรื่องเช่นนี้อีก ครั้งหน้าให้แจ้งข้าล่วงหน้า ข้าจะได้ไม่ต้องมาเสียเวลารอพวกเจ้าอยู่เช่นนี้”
“อ่า……” เส้นเลือดสีดำปรากฏขึ้นบนใบหน้าของเฟิ่งชิงเฉิน นางรู้ว่าโจ่วอันกำลังศึกษาเกี่ยวกับอุปกรณ์ทางการแพทย์ของนางอยู่ การถูกขัดจังหวะกลางคันมันเป็นเรื่องที่น่าหดหู่ยิ่งนัก ดังนั้นนางจึงไม่ว่าอะไรโจ่วอัน และควบม้าออกไปแต่โดยดี……
หลังจากทั้งสามคนขี่ม้าออกมาเป็นเวลาครึ่งชั่วโมง พวกเขาก็มาถึงเส้นทางทุรกันดารตามภูเขา คดเคี้ยว ไม่ว่าทักษะการขี่ม้าจะดีแค่ไหน พวกเขาก็ไม่สามารถผ่านไปได้ปลอดภัย พวกเขาจึงทำได้แค่ลงมาจากหลังม้าและเดินเท้าไปพร้อมกัน
หลังจากเดินทางไปครึ่งชั่วโมงกว่า ในที่สุดพวกเขาก็มาถึงทางราบเรียบ และท้องฟ้าก็สว่างขึ้นมาทันใด
“กลับมายังพำนักอีกแล้วงั้นหรือ?” เฟิ่งชิงเฉินเห็นซากปรักหักพัง นางถึงได้รู้ว่าการต่อสู้เมื่อวานนั้นรุนแรงเพียงใด เมื่อวานนี้เสด็จอาเก้าไม่ง่ายจริง ๆ
“นี่คือเส้นทางลงเขา” ใช่ นี่คือเส้นทางลงเขา แต่อีกฝ่ายตั้งค่ายอยู่ด้านล่าง การเคลื่อนไหวทั้งหมดอยู่ใต้จมูกของคนเหล่านั้น นี่มันไม่ใช่ความเย่อหยิ่งธรรมดา
เรื่องแบบนี้มีเพียงเสด็จอาเก้าเท่านั้นที่สามารถทำได้ ในฐานะมือสังหาร โจ่วอันไม่เข้าใจวิธีการเช่นนี้ของเสด็จอาเก้า แต่เรื่องนี้ทั้งหมดขึ้นอยู่กับการตัดสินใจของเสด็จอาเก้า โจ่วอันไม่สนว่าเสด็จอาเก้าจะทำเช่นไร เพราะอย่างไรคนพวกนี้ก็ไม่สามารถเอาชีวิตของเขาได้อยู่แล้ว
“ดูม้าไว้ให้ดี” เสด็จอาเก้านำบังเหียนให้กับเฟิ่งชิงเฉิน จากนั้นส่งสัญญาณให้โจ่วอันตามเขาไป โจ่วอันไม่รู้ว่าเสด็จอาเก้าต้องการทำสิ่งใด เขาไม่ได้เอ่ยปากถาม เพียงแค่เดินตามไปเท่านั้น
เสียงม้าร้อง……ม้าสามตัวอยู่ด้วยกัน ร้องออกมาเป็นครั้งคราว มองเห็นค่ายทหารที่ตั้งอยู่ไม่ไกล เฟิ่งชิงเฉินรีบปลอบม้าของนาง กลัวว่าม้าจะร้องออกมาเสียงดังและเปิดเผยตัวตนของพวกเขาก่อนเวลา
เสด็จอาเก้าและโจ่วอันหายไปเกือบสิบห้านาที หลังจากกลับมาพวกเขาก็ไม่ได้พูดว่าพวกเขาไปทำอะไรมาบ้าง เพียงแค่บอกเฟิ่งชิงเฉินให้รีบขึ้นมาและรีบไป
เฟิ่งชิงเฉินได้ยินเช่นนั้นก็รู้ว่าเรื่องราวทั้งหมดเป็นไปอย่างราบรื่น เพื่อปกป้องชีวิตดวงน้อย ๆ ของนาง เฟิ่งชิงเฉินไม่พูดอะไร ควบม้าออกไปทันที
พวกเขาไม่ได้ห่างจะค่ายทหารไกลเสียเท่าไหร่ ดังนั้นพวกเขาจึงดึงดูดความสนใจของกองทหารทันที ทหารที่มีหน้าที่ตรวจการและหาข่าวรับรู้ถึงตัวตนพวกเขาทั้งสามอย่างรวดเร็ว จะโกนออกมาดังลั่น “เสด็จอาเก้า เป็นเสด็จอาเก้า”
“เสด็จอาเก้า? มีเส้นทางแห่งสวรรค์ เจ้ากลับไม่ไป แต่ดันมาใช้เส้นทางแห่งนรก ในเมื่อเจ้าเป็นคนรนหาที่ตายด้วยตัวเอง เช่นนั้นก็อย่ามาหาว่าข้าไม่เกรงใจ กองทัพเพลิงเตรียมพร้อม ฆ่ามัน!” แววตาของแม่ทัพแดงก่ำ เสียงของเขาแหบแห้ง ไม่ต้องคิดก็สามารถรับรู้ได้ เมื่อวานเขาจะต้องไม่ได้หลับไม่ได้นอนเป็นแน่
“จัดการมัน สังหารเสด็จอาเก้า ข้าจะมอบรางวัลให้พวกเจ้าอย่างงาม พร้อมกับการเลื่อนตำแหน่ง” ในตอนที่กองทัพเพลิงพุ่งออกไป เขาตะโกนออกมาให้ผู้ใต้บังคับบัญชาของเขาได้ฟัง ถือเป็นการกระตุ้นพวกเขา
“สังหารเสด็จอาเก้า สังหารเสด็จอาเก้า”
ทหารกำลังบุกเข้ามา ด้านหน้าสุดก็คือกองทัพเพลิง ม้าศึกของพวกเข้าทั้งสองด้านผู้ระเบิดเทียนเหล่ยไว้ด้านหลัง เมื่อเห็นเสด็จอาเก้าเข้ามาในระยะระเบิดของพวกเขา เขาก็จุดระเบิดเทียนเหล่ยและขว้างไปยังเสด็จอาเก้า
แต่พวกเขาลืมไปเสียสนิท การจุดระเบิดเทียนเหล่ยจำเป็นต้องใช้เวลา และช่วงเวลาดังกล่าวก็เพียงพอที่จะสร้างเส้นทางให้เสด็จอาเก้าและโจ่วอัน
“ไป” เสด็จอาเก้าตะโกนออกมา วินาทีต่อมาก็เห็นเขาบินขึ้นไปบนอากาศราวกับหกยักษ์ บินขึ้นมาจากหลังม้า
เสด็จอาเก้าแตะหลังม้าเบา ๆ จากนั้นก็กระโดดไปด้านหน้าของเฟิ่งชิงเฉิน อุ้มเฟิ่งชิงเฉินขึ้น จากนั้นก็ใช้แรงจากม้าของเฟิ่งชิงเฉิน บินขึ้นไปเหมือนห่าน ภายใต้สายตาของเหล่าทหาร พวกเขาบินข้ามหัวของกองทัพเพลิง และลงมาอยู่ตรงกลางของกองทัพ……
บูม……
ระเบิดเทียนเหล่ยสิบกว่าลูกถูกขว้างออกมา เสียงระเบิดดังลั่น ควันหนาทึบลอยขึ้นพร้อมกับกลิ่นดินปืน เลือดและเนื้อสาดกระเซ็น แต่แรงระเบิดเหล่านั้นกลับไม่มีผลกระทบต่อเฟิ่งชิงเฉินและเสด็จอาเก้า
“อยู่ที่ไหนแล้ว?”
“ตรงนี้ พวกเขาอยู่ตรงนี้”
ทันทีที่เสด็จอาเก้าและโจ่วอันหยุดลง พวกเขาก็ถูกเหล่าทหารล้อมไว้ตรงกลาง เมื่อผู้ที่อยู่ด้านหน้าวิ่งออกไปก็หันกลับมาทันที พบว่าเสด็จอาเก้าถูกล้อมไว้แล้ว หัวใจของเขาเต็มไปด้วยความสุข หันหัวม้ากลับมา เตรียมที่จะโจมตีเสด็จอาเก้าโดยการโอบล้อมอีกครั้ง แต่……
ทุกคนต่างต้องการกลับมา พวกเขาล้วนแต่อยากปลิดชีวิตของเสด็จอาเก้า ไม่มีคำสั่งของแม่ทัพ ทุกคนต่างไปตามทางของตนเอง พุ่งชนกันอย่างรวดเร็ว ไม่มีใครสามารถวิ่งเข้ามาเป็นคนแรกได้แม้แต่คนเดียว
ทหารม้าที่อยู่ด้านหน้าและกองทัพเพลิงเต็มไปด้วยความวุ่นวาย แค่ทัพหน้าเพียงทัพเดียว คิดจะกำจัดเสด็จอาเก้า คิดว่ามันคงไม่ง่ายถึงเพียงนั้น……