นางสนมแพทย์อัจฉริยะ - บทที่ 995 หนีเอาชีวิตรอด,ไม่มีเวลามาพูดถึงเหตุผลแล้ว
นางสนมแพทย์อัจฉริยะ บทที่ 995 หนีเอาชีวิตรอด,ไม่มีเวลามาพูดถึงเหตุผลแล้ว
แม้ว่าเฟิ่งชิงเฉินจะไม่เป็นวรยุทธ์ แต่การต่อสู้ระยะประชิดคือจุดแข็งของนาง ประกอบกับปืนที่อยู่ในมือ ทำให้การต่อสู้ในระยะประชิดของนางมีประสิทธิภาพเพิ่มขึ้น หลังจากทั้งสามถูกล้อม รอบกายของเฟิ่งชิงเฉินนั้นมีศพกองอยู่มากที่สุด
“มองไม่ออกเลยว่า เจ้าเองก็มีประโยชน์เช่นกัน” มองเฟิ่งชิงเฉินใช้ปืนยิงศัตรู แต่ก็ไม่ลืมที่จะใช้หมัดของเขาโจมตีศัตรู จากนั้นก็กล่าวชมเฟิ่งชิงเฉินอย่างเฉยเมย
ช่วยไม่ได้ คุณชายโจ่วอารมณ์ไม่ดี และยังพบว่าตนเองไม่ดีเท่ากับผู้หญิง ทำให้ยิ่งรู้สึกหดหู่ใจขึ้นไปอีก
ไม่สนว่าโจ่วอันจะมองเห็นหรือไม่ เฟิ่งชิงเฉินก็ไม่ลืมที่จะกลอกตาขาวมองมายังโจ่วอัน และจังหวะนั้นเป็นจังหวะที่ทหารคนหนึ่งแอบโจมตีมาทางด้านหลังของโจ่วอัน เฟิ่งชิงเฉินรู้ว่าโจ่วอันสามารถหลบการโจมตีได้ แต่เพื่อสร้างความย่ำยีหัวใจให้กับเขา นางจึงยิ่งทหารผู้นั้นไปหนึ่งนัด
ปัง……เสียงปืนดังขึ้น กระสุนพุ่งเข้าไปตรงหว่างคิ้ว ดาบในมือของทหารผู้นั้นค้างอยู่บนอากาศ โจ่วอันหันศีรษะกลับมาก็เห็นทหารผู้นั้นล้มลงพื้นไปแล้ว โจ่วอันหดหู่ใจ หันมาพูดกับเฟิ่งชิงเฉินว่า “เฟิ่งชิงเฉิน ใครใช้ให้เจ้าสังหารคนของข้า”
“แล้วเจ้าล่ะ? เจ้ามีความสัมพันธ์พิเศษเช่นนี้กับเขาตั้งแต่เมื่อใด เหตุใดข้าจึงไม่รู้” เฟิ่งชิงเฉินจงใจบิดเบือน และเน้นคำว่าพิเศษให้ชัดเจนกว่าปกติ
“เฟิ่งชิงเฉิน เจ้ากำลังคิดอะไรอยู่ เจ้าช่างน่ากลัวเหลือเกิน เหตุใดจึงบอกว่าข้ามีความสัมพันธ์ที่วิเศษกับเขา” โจ่วอันโกรธมาก พุ่งมาด้านข้างของเฟิ่งชิงเฉิน ราวกับต้องการระบายความโกรธ กำจัดผู้คนที่อยู่รอบ ๆ เฟิ่งชิงเฉินอย่างสิ้นซาก
เฟิ่งชิงเฉินเห็นว่ามีคนปกป้องนางอยู่ นางจึงไม่สนใจเหล่าทหารที่อยู่ใกล้นาง เล็งปืนไปที่คนของกองทัพเพลิงที่อยู่ไกลออกไป
มีคนมากมายถึงเพียงนี้ และอยู่ใกล้ชิดติดกัน เฟิ่งชิงเฉินหันปืนไปก็สามารถเล็งได้หนึ่งคน มันเร็วกว่าวิธีการของเสด็จอาเก้าและโจ่วอันเป็นอย่างมาก
แต่เฟิ่งชิงเฉินก็จุดอ่อนอันยิ่งใหญ่อยู่อย่างหนึ่ง นั่นก็คือจำนวนกระสุนของนางมีจำนวนจำกัด แคก แคก……เฟิ่งชิงเฉินยิงปืนออกไปอีกนัด แต่กลับไม่มีกระสุนพุ่งออกไปจากปากกระบอก
“ฮ่าฮ่าฮ่า เฟิ่งชิงเฉิน เจ้ากำลังเผชิญหน้ากับปัญหาอยู่ใช่หรือไม่” โจ่วอันถามอย่างภาคภูมิใจ
แม้ว่าอาวุธลับของเฟิ่งชิงเฉินจะสุดยอด แต่หากต้องเผชิญหน้ากับยอดฝีมือที่แท้จริง มันก็ไม่ได้มีประโยชน์ถึงเพียงนั้น และการเปลี่ยนกระสุนก็ถือเป็นข้อเสียอันยิ่งใหญ่ เนื่องจากช่วงเวลาดังกล่าวนั้นนานกว่าเวลาระเบิดของระเบิดเทียนเหล่ยเสียอีก
“ท่านผู้ผดุงความยุติธรรม” เฟิ่งชิงเฉินเบื่อที่จะสนใจเฟิ่งชิงเฉิน จากนั้นทิ้งปลอกกระสุนที่นางใช้ไปแล้วออกมา
“อย่าทำให้ศึกมันยืดเยื้อ” เสด็จอาเก้าที่เงียบมาโดยตลอด ทันทีที่พูดออกมาก็ทำให้เฟิ่งชิงเฉินและโจ่วอันยอมหลบให้พ้นทาง
“ได้ ปกป้องข้าไว้ ข้าจะเปลี่ยนกระสุนใหม่” เฟิ่งชิงเฉินเองก็รู้ว่าสิ่งที่เสด็จอาเก้าและโจ่วอันทำก่อนหน้านี้น่าจะเกิดผลแล้ว เพื่อไม่ให้สิ่งที่ทำลงไปนั้นเปล่าประโยชน์ เฟิ่งชิงเฉินไม่กล้าที่จะหยุด ดังนั้นจึงทำการเปลี่ยนกระสุน
“ตกลง” เสด็จอาเก้าหันมาปกป้องเฟิ่งชิงเฉิน ตอนแรกอยากจะปกป้องนางไว้ในอ้อมแขน แต่เฟิ่งชิงเฉินนั้นเป็นคนเลือกวิธีการด้วยตนเอง หันหลังให้เสด็จอาเก้า ทหารบางคนเข้ามาประชิดตัวนาง แม้นางจะไม่สามารถใช้ปืนได้ แต่นางก็สามารถแก้ไขปัญหาเหล่านั้นได้
จริงอยู่ว่านางเป็นผู้หญิง แต่นี่มันคือสนามรบ อีกฝ่ายไม่มีทางยั้งมีเพราะเหตุผลที่ว่านางเป็นผู้หญิง ดังนั้นนางจำเป็นต้องปกป้องตนเอง
เปลี่ยนกระสุนไม่ได้ใช้ระยะเวลานานถึงขนาดนั้น หลังจากเสด็จอาเก้าจัดการทหารได้หกนาย เฟิ่งชิงเฉินก็บรรจุกระสุนจนเสร็จ “เรียบร้อยแล้ว”
“โจ่วอัน ไปกันเถอะ!”
เสียงแห่งการเสียดสีดังขึ้น แสงสีเงินพุ่งออกมาจากแขนเสื้อของเสด็จอาเก้า จากนั้นก็พุ่งออกมาจากแขนเสื้อของโจ่วอันเช่นเดียวกัน ซึ่งพวกมันพุ่งออกไปในทิศทางเดียวกัน
ครั้งนี้แม่ทัพที่ออกคำสั่งตอบสนองอย่างรวดเร็ว เขารีบออกคำสั่งทันใด “เตรียมธนู อย่าให้เสด็จอาเก้าหนีไปได้”
แต่ไม่ว่าจะรวดเร็วแค่ไหนก็ยังช้าไปก้าวหนึ่ง เสด็จอาเก้าอุ้มเฟิ่งชิงเฉินขึ้นมา ทรงตัวบนหลังม้า จากนั้นกระโดดและบินขึ้นไป และแสงสีเงินที่พุ่งออกมาจากแขนเสื้อของเสด็จอาเก้า ในตอนนี้มันก็พุ่งไปติดกับข้างภูเขา
“เร็ว ยิงออกไปเร็ว” แม่ทัพสั่งอย่างไร้ความปรานี แม้ว่าจะถูกคนของตนเองเขาก็ไม่สนใจ
ฟิ้ว……ลูกธนูพุ่งขึ้นไปบนท้องฟ้า มุ่งตรงไปทางเสด็จอาเก้าและเฟิ่งชิงเฉิน เห็นว่าธนูกำลังพุ่งเข้ามาทางด้านหลังของทั้งสองคน ในตอนนั้นกลับมีเสียงระเบิดดังขึ้น และเสียงทั้งหมดก็ถูกระงับในทันที……
คลื่นความร้อนพุ่งสูงขึ้นพร้อมกับเปลวเพลิงอันยิ่งใหญ่ กลืนกินทุกอย่างในเสี้ยววินาทีพร้อมกับเปลี่ยนสถานการณ์ของสนามรบ
เมื่อครู่เหล่าทหารยังล้อมเสด็จอาเก้าและเฟิ่งชิงเฉินไว้ตรงกลาง แต่วินาทีถัดมาพวกเขากลับตกอยู่ตรงใจกลางของระเบิด พวกเขาถูกแรงระเบิดที่ไม่รู้ว่ามาจากทิศทางไหน แขนและขาฉีกขาด ลอยขึ้นไปบนท้องฟ้า ร้องออกมาด้วยความเจ็บปวด
“หนี รีบหนีเร็ว” ไม่รู้ว่าใครเป็นคนตะโกนออกมา แต่เพียงประโยคเดียวกลับทำให้สนามรบเต็มไปด้วยความวุ่นวาย ทำให้กองทัพทหารแก่งแย่งกันเอาชีวิตรอด ภายในควันที่หนาแน่น พวกเขาไม่รู้ทิศทางที่แน่ชัด วิ่งไปรอบ ๆ พวกเขาส่วนใหญ่ถูกกระแทกและหมุนเป็นวงกลม พวกเขาไม่ได้ตายเพราะแรงระเบิด แต่ตายเพราะความร้อนที่แผดเผา
เสด็จอาเก้าและเฟิ่งชิงเฉินหลุดออกไปจากแรงระเบิดตั้งแต่ก่อนหน้านี้ ยืนอยู่ตรงพื้นที่ปลอดภัย มองไปยังเปลวไฟที่ลุกโชนราวกับขุมนรก เฟิ่งชิงเฉินผงะอยู่ตรงที่เดิม ตกอยู่ในภวังค์ ควันที่ลอยปกคลุมขึ้นมาทำให้นางรู้สึกว่ากำลังเห็นโลกอีกใบ……
ราวกับว่านางกลับไปยังสนามรบที่คุ้นเคย ในยุคที่ควันดินปืนพลุ่งพล่านเป็นละอองอยู่ในอากาศ ระเบิดปลิวว่อน ในยุคนั้นไม่ว่าใครก็ล้มลงเมื่อไหร่ก็ได้ ในยุคที่ไม่สามารถใส่ใจกับคนรอบข้างได้ เนื่องจาก……เนื่องจากเจ้าไม่รู้หรอกว่าวินาทีถัดมา คนผู้นั้นจะยังมีชีวิตอยู่หรือไม่
ไม่รู้ว่ากำลังคิดอะไรอยู่ น้ำตาไหลลงมาจากขอบตา เป็นน้ำตาแห่งความเยือกเย็น แต่เฟิ่งชิงเฉินกลับไม่รู้สึกตัว
“ชิงเฉิน เจ้าเป็นอะไรงั้นหรือ?” อยู่ดี ๆ ก็ร้องไห้ออกมา เสด็จอาเก้าจึงถามออกไปด้วยความเป็นห่วง
“เหตุใดต้องทำให้เกิดสงคราม?” ดวงตาของเฟิ่งชิงเฉินหม่นหมอง น้ำเสียงของนางเต็มไปด้วยความโศกเศร้า นางไม่ได้ยินว่าเสด็จอาเก้าพูดอะไรออกมา เพียงแค่พูดในคำถามที่นางไม่เคยได้คำตอบออกไปเท่านั้น
เหตุใด เหตุใดต้องทำให้เกิดสงคราม หากมนุษย์ยังไม่สามารถอยู่ร่วมกันอย่างสันติได้ เช่นนั้นจะไปอยู่ร่วมกับใครอย่างสันติได้?
เหตุใดต้องทำให้เกิดสงคราม เหตุใดต้องทำให้คนจำนวนมากต้องมาจบชีวิตลงอย่างอนาถในสงครามเช่นนี้ด้วย
เสด็จอาเก้ามองมาที่เฟิ่งชิงเฉินด้วยความไม่เข้าใจ ไม่รู้ว่าเหตุใดนางถึงถามคำถามเช่นนี้ออกมา เห็นเฟิ่งชิงเฉินมองมาที่ตนเองด้วยความงุนงง เสด็จอาเก้าตอบกลับไปอย่างจริงจังว่า “ทำลายแล้วสร้างขึ้นมาใหม่ สงครามมีไว้เพื่อความรุ่งเรืองในอนาคต”
เขาอาจไม่เชื่อใจคำตอบของตนเอง แต่เขาเชื่อว่าสงครามนั้นสามารถตอบสนองความปรารถนาของผู้มีอำนาจได้ ไม่สนว่าจะก่อสงครามขึ้นเพราะเหตุใด สุดท้ายทั้งหมดก็เพราะการสร้างอำนาจของขั้วอำนาจใหม่
“งั้นหรือ? ทำลายแล้วสร้างขึ้นมาใหม่ ข้าเข้าใจแล้ว” เวลานี้เฟิ่งชิงเฉินได้สติกลับคืนมา ยื่นมือออกไปเช็ดน้ำตาของนาง ความว่างเปล่าในดวงตาของนางหายไปอย่างไร้ร่องรอย
จ้องมองมาที่เสด็จอาเก้าอย่างลึกซึ้ง เฟิ่งชิงเฉินเก็บสายตาแห่งรอยยิ้มของนาง นางรู้ว่าเสด็จอาเก้าเองก็ไม่เชื่อเช่นกันว่าสงครามนำมาซึ่งความสงบสุข
นางจำได้ว่ามีคนเคยบอกกับนางไว้ สงครามคือการแย่งยิงของผู้มีอำนาจ ไม่ว่าสงครามจะเกิดขึ้นเพราะเหตุใด สุดท้ายชีวิตของเหล่าทหารและสามัญชนจะกลายเป็นเครื่องสังเวยให้กับผู้มีอำนาจเหล่านั้น
เรื่องบางเรื่องทุกคนก็รู้อยู่แก่ใจ แต่ไม่สามารถพูดออกมาอย่างเปิดเผยได้ และเหตุผลที่ทุกคนได้ยินอยู่เป็นประจำ มักจะเป็นเหตุผลที่สง่างาม
เสด็จอาเก้ามองมาที่เฟิ่งชิงเฉิน ราวกับว่าเขาเข้าใจความคิดของนาง ทั้งสองคนมองหน้ากัน ยิ้มให้กันพร้อมกับความเงียบ……
แต่สิ่งนี้ทำให้โจ่วอันรู้สึกหดหู่ใจเป็นอย่างมาก กองทัพของอีกฝ่ายถูกพวกเขาฆ่าตายจนจะหมดอยู่แล้ว เสด็จอาเก้าและเฟิ่งชิงเฉินกลับไม่ใช้โอกาสนี้ในการหนี แต่พวกเขายืนนิ่ง เฝ้ามองเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นอยู่ที่เดิม นี่มันบ้าไปแล้วหรือไม่……
โจ่วอันสาปแช่งออกมาด้วยความโกรธ “นี่พวกเจ้าสองคนกำลังทำอะไรงั้นหรือ ในช่วงเวลาแห่งชีวิตและความตาย กลับมายืนพูดถึงเรื่องราวที่ไร้ประโยชน์ พวกเจ้าลืมไปแล้วหรืออย่างไรว่าเวลานี้พวกเจ้ากำลังหนีเอาชีวิตรอดอยู่?”
พี่ชาย พี่สาว เวลานี้พวกเจ้าถูกตงหลิงเพ่งเล็ง ไม่ใช่เวลามาพูดถึงชีวิต พูดถึงอุดมคติ……