นางสนมแพทย์อัจฉริยะ - บทที่ 999 สูญสลายราวหลั่งเลือดย้อมมหาสมุทร
นางสนมแพทย์อัจฉริยะ บทที่ 999 สูญสลายราวหลั่งเลือดย้อมมหาสมุทร
กรมคลังเปรียบเสมือนรังแตน และตงหลิงจื่อลั่วกับสำนักตรวจสอบก็ดันไปแหย่รังแตนเข้า มิใช่ว่าพวกเขาคิดอยากจะปลดตัวเองออกมาแล้วจะทำได้ คำคุยโวของตงหลิงจื่อลั่วก่อนหน้านี้ที่จะตรวจสอบปัญญาภายในกรมคลัง ซึ่งตอนนี้หากเขากล่าวว่าไม่พบปัญหาใด ๆ คนของกรมคลังที่เคยเห็นด้วยก็อาจจะมิเห็นด้วยอีกต่อไปเป็นแน่
การเพิ่มระยะเวลาการตรวจสอบบัญชีให้นานขึ้นนั้นยิ่งทำให้รู้จำนวนขุนนางที่เกี่ยวข้องเพิ่มมากขึ้นเช่นกัน หลังจากตงหลิงจื่อลั่วได้ฟังคำเตือนจากขุนนางชั้นผู้น้อยแล้ว เขาจึงฉุกคิดถึงเงินจำนวนกว่าหนึ่งแสนตำลึงขึ้นมาในทันที และสุดท้ายเขาก็เอาเข้ากระเป๋าตนเอง
ตงหลิงจื่อลั่วเผชิญหน้ากับเจ้าหน้าที่ตรวจบัญชีเหล่านั้นซึ่งเพิ่งโยกย้ายมาจากกรมต่าง ๆ ด้วยสีหน้าโมโหฉุนเฉียว แต่ตงหลิงจื่อลั่วเองไม่สามารถระบายออกมาได้ จึงได้แต่เอ่ยสั่งด้วยน้ำเสียงเนิบช้าว่าวันนี้ควรพักผ่อนเถิด
คณะเจ้าหน้าที่ตรวจสอบบัญชีเองก็ไม่ได้แสดงอาการท่าทีเหมือนตอนมาถึงกรมคลังในตอนแรก โดยแต่ละคนเดินออกมาจากกรมคลังด้วยสีหน้าเซื่องซึมอ่อน เปลี้ยเพลียแรงราวกับมะเขือเฉา ส่วนตงหลิงจื่อลั่วนั้นแสดงสีหน้ากังวลวิตก และไม่แสดงท่าทีลำพองตนเหมือนเมื่อสองวันก่อน
ตงหลิงจื่อลั่วปรารถนาอยากแสร้งป่วยเหมือนกับเจ้ากรมคลังโฉ และจะไม่สนใจอะไรทั้งสิ้น ทว่าเขากลับทำไม่ได้ เขาจำเป็นต้องดำเนินการเรื่องนี้ต่อ
เงินจำนวนหนึ่งแสนตำลึงคือยอดสูงสุดในขณะนี้ ตงหลิงจื่อลั่วรู้สึกปวดศีรษะทันทีเมื่อคิดถึงเรื่องดังกล่าว เขาคาดไม่ถึงเลยแม้แต่น้อยว่าหลังจากตรวจสอบไปตรวจสอบมาแล้ว แต่ตรวจหาความผิดของเสด็จอาเก้าไม่เจอ ทว่ากลับตรวจพบความผิดของตนเสียเอง ทั้งยังเรียกทหารมาต่อหน้าต่อตาคนจำนวนมากเยี่ยงนั้นอีก ซึ่งตอนนี้ตนก็ขายหน้าจนแทบไม่เหลือศักดิ์ศรีแล้ว
การตระเตรียมหารายการสิ่งของเพื่อขอเงินซื้อจากกรมคลังนั้นเป็นสิ่งที่กรมอื่น ๆ ทั้งหกมักกระทำกันจนเป็นเรื่องปกติ โดยที่กรมคลังเองก็ไม่กล่าวเสนอมากมายนัก ซึ่งก็ไม่มีข้อผิดพลาดเกิดขึ้นกับบัญชี แต่ทว่าเหตุใดครั้งนี้กลับถูกตรวจสอบทั้งหมดเล่า
ตงหลิงจื่อลั่วกังวลเป็นอย่างมาก เพราะไม่รู้ว่าจะกราบทูลรายงานจักรพรรดิเยี่ยงไร แต่เรื่องใหญ่โตขนาดนี้ตงหลิงจื่อลั่วเองก็ไม่กล้าปกปิดเอาไว้เช่นกัน ฉะนั้นจึงจำเป็นต้องทนกัดฟันเขียนหนังสือรายงานถวายกราบทูล หลังจากองค์จักรพรรดิทอดพระเนตรอ่านแล้วก็ทรงเขวี้ยงสมุดพับใส่หน้าของตงหลิงจื่อลั่วทันที
“โอรสที่ดีของข้า ขุนนางข้าราชบริพารที่ดีของข้าเอ๋ย” เป็นไปไม่ได้ที่องค์จักรพรรดิจะมิทรงกริ้ว แต่ทว่ากลับไม่ได้โมโหโกรธาดุเดือดดังที่ตงหลิงจื่อลั่วจินตนาการไว้ หลังจากจักรพรรดิทรงตำหนิแล้วก็สั่งให้ตงหลิงจื่อลั่วออกไปตรวจสอบต่อ
ช่วงเวลาเช้าตรู่ของวันที่สอง องค์จักรพรรดิทรงมิได้เอ่ยพระโอษฐ์ตรัสสิ่งใดเลย และจักรพรรดิก็ทรงนำคนที่กล่าวถึงเรื่องการเงินของกรมคลังมาด้วย ข้าราชบริพารขุนนางทั้งฝ่ายพลเรือนและฝ่ายทหารนับร้อยทั้งหลายต่างตื่นกลัวกลับท่าทีเยี่ยงนี้ ไม่รู้เลยว่าองค์จักรพรรดิทรงคิดที่จะทำอะไร
ขุนนางของจักรพรรดิตงหลิงต่างพากันหวั่นวิตก โดยในแต่ละวันมักมีขุนนางไปแวะเวียนจวนเจ้ากรมคลังโฉ เพราะคาดหวังให้เจ้ากรมโฉออกมาควบคุมสถานการณ์ หากยังเป็นเช่นนี้ต่อไปวงการบรรดาขุนนางอาจสูญสิ้นไปอย่างน้อยถึงหนึ่งในสองเชียวละ
แต่การที่เจ้ากรมโฉแสร้งป่วยโดยไม่ยอมออกมาพบเจอใครทั้งสิ้นนั้นจักรพรรดิเองก็ทรงแจ้งพระทัยถึงสภาพเหตุการณ์กำลังเป็นไป ณ ขณะนี้ดี ก่อนหน้า
ตงหลิงจื่อลั่วจะได้รับราชโองการนั้น เขาจำเป็นต้องคอยตรวจสอบอย่างต่อเนื่อง และทำรายงานความคืบหน้าแจ้งทุกวัน……
จักรพรรดิทรงรวบรวมสมุดพับทั้งหมดเอาไว้ แต่กลับมิได้ทรงแสดงโกรธกริ้วใส่เจ้าหน้าที่ผู้เกี่ยวข้องเลย อีกทั้งเจ้ากรมโฉยังแสร้งป่วยไม่ยอมออกมา แม้จักรพรรดิจทรงดำริสั่งให้เข้าเฝ้าก็ดันมาแสร้งว่าตนจะตายอีก ซึ่งนี่ทำให้ผู้คนจำนวนมากยิ่งรู้สึกกระวนกระวายใจเพิ่มขึ้น เหล่าขุนนางทั้งหลายต่างพากันรู้สึกใจร้อนและหุนหันพลันแล่นกันถ้วนหน้า
ถึงจะเผชิญหน้ากับสถานการณ์เช่นนี้ แต่องค์จักรพรรดิกลับไม่ทรงตรัสอันใด ทรงทำเพียงแค่ประวิงเวลาเอาไว้เท่านั้น ความกระวนกระวายใจของเหล่าขุนนางจึงยิ่งทวีเพิ่มขึ้น และจิตใจของคนก็โลเลไม่มั่นคง เมื่อฝู่หลินเห็นว่าสภาพการณ์เริ่มเลวร้ายลงทุกขณะจึงกล่าวเตือนด้วยถ้อยคำระมัดระวัง “ฝ่าบาท เรื่องของกรมคลังนั้นยังต้องดำเนินการตรวจสอบต่อไปใช่หรือพะยะค่ะ?”
“ตรวจสอบต่อสิ เหตุใดจะไม่ตรวจสอบต่อเล่า” จักรพรรดิทรงประชดอย่างเฉยชาด้วยน้ำเสียงไม่พอพระทัยนัก ทว่าฝู่หลินกลับมิเกรงกลัว พร้อมเอ่ยต่อไปว่า “ฝ่าบาท น้ำใสเกินไปก็ไร้ปลา การตรวจสอบกรมคลังอย่างต่อเนื่องเช่นนี้เกรงว่าอาจทำให้ทุกคนเกิดความวิตกกังวล หากฝ่าบาทมิทรงดำริประการใดเพิ่มเติม เหล่าบรรดาขุนนางทั้งราชสำนักก็มิอาจคลายความกังวลลงได้”
เพราะพระดำริของพระองค์ในตอนนี้ยังทรงคลุมเครือไม่ชัดเจน ทำให้เหล่าขุนนางก็มิอาจกระทำการใดได้ หากยังเป็นเช่นนี้ต่อไปตงหลิงคงเกิดความวุ่นวายเป็นแน่ และจะต้องโกลาหลอย่างมากเชียวละ
“หากไม่แก้ปัญหากรมคลังให้แล้วเสร็จ ข้าเองก็มิคลายกังวลเช่นกัน” เมื่ออยู่ต่อหน้าฝู่หลิน จักรพรรดิจึงไม่ทรงปิดบังพระประสงค์ของพระองค์เอง
การกระทำอันไม่โปร่งใสของกรมคลังเป็นหน้าที่โดยตรงของเจ้ากรมคลังต้องรับผิดชอบ ซึ่งจักรพรรดิก็ทรงรอให้เจ้ากรมโฉออกมายอมรับผิด เมื่อเขาออกมาจักรพรรดิก็จะใช้โอกาสนั้นปลดเขาออกจากตำแหน่งและนำกรมคลังกลับมาไว้ในมือ
เงินจำนวนสามล้านตำลึงที่เสด็จอาเก้าอ้างถึงเพื่อใส่ความกล่าวโทษกรมคลังนั้นจะดีอย่างยิ่งหากสามารถตรวจสอบเสด็จอาเก้าได้ แต่ถ้าตรวจสอบหาความผิดของเสด็จอาเก้าไม่ได้ องค์จักรพรรดิก็จะทรงถือโอกาสยึดอำนาจของกรมคลังไว้ หลายปีมานี้กรมคลังจะสามารถทำงานกันอย่างใสสะอาดได้อย่างไร
แต่ว่า……สิ่งที่ทำให้จักรพรรดิทรงมิคาดคิดคือการทำงานของกรมคลังที่ไม่โปร่งใส การบริหารราชสำนักตงหลิงทั้งหมดนั้นไม่มีส่วนไหนโปร่งใสเลย อีกทั้งกรมคลังยังนำกรมอื่น ๆ ทั้งหกมาเกี่ยวข้องพัวพันอีกด้วย และดูเหมือนว่าสถานการณ์จะยิ่งย่ำแย่ลงเรื่อย ๆ แต่พระองค์ก็ไม่สามารถดำริสั่งให้หยุดอย่างกระทันหันได้ หากทำเช่นนั้นเท่ากับว่าทั้งหมดที่ทรงทำมาจะศูนย์เปล่า
ฝู่หลินเข้าใจในสิ่งที่จักรพรรดิทรงตรัส และแน่นอนว่าฝู่หลินก็แจ้งใจถึงความหมายที่จักรพรรดิทรงดำริเป็นอย่างดีด้วย พร้อมกล่าว “เจ้ากรมโฉป่วยเรื้อรังมานานเช่นนี้ เห็นทีว่าข้าควรต้องไปเยี่ยมเยือนสักหน่อย และจักรพรรดิเองก็จะทรงอนุญาตอย่างแน่นอน”
จะว่าไปหากเป็นตัวแทนไปเจรจาโน้มน้าวเจ้ากรมโฉเพื่อทำให้ตาเฒ่าไร้ปัญญานั้นลุกขึ้นมาคลี่คลายความโกลาหลนี่ให้สงบลง
“ข้าพร้อมแล้ว!” ในที่สุดพระพักตร์อันเคร่งเครียดของจักรพรรดิก็ปรากฏรอยแย้มพระโอษฐ์ขึ้นเล็กน้อย เมื่อหัวหน้าขันทีผู้สนองพระบาทใกล้ชิดเห็นว่าองค์จักรพรรดิทรงสำราญพระทัย จึงรีบกุลีกุจอเดินไปยังวังหลังและสั่งให้สาวงามนำซุปเคี้ยวที่เสร็จแล้วไปถวายจักรพรรดิ
หลังจากจักรพรรดิทรงเสวยซุปที่สาวงามนำมาถวายอย่างปลื้มพระทัยได้เพียงแค่หนึ่งคำ ทันใดนั้นก็มีข่าวด่วนมาแจ้ง จักรพรรดิจึงทรงผละจากสาวงามทันที จากและพระองค์ทรงเร่งพระดำเนินไปยังห้องทรงพระอักษร เมื่อทรงเปิดข่าวด่วนทอดพระเนตรอ่านแล้วก็พลันทรงสำลักพระโลหิตออกมา จากนั้นจึงทรงล้มตกลงมาจากพระราชอาสน์มังกรทันที
“หมอหลวง หมอหลวง เร่งไปแจ้งหมอหลวงว่าจักรพรรดิทรงพระวาโยบัดเดี๋ยวนี้” เหล่าขันทีและนางสนมกำนัลต่างอกสั่นขวัญแขวน พลางรีบวิ่งไปประคองจักรพรรดิขึ้นแท่นบรรทมมังกรทันที
หัวหน้าขันทีผู้สนองพระบาทใกล้ชิดของจักรพรรดิจึงหยิบข่าวด่วนขึ้นมาและรีบเปิดอ่านทันที และเห็นข้อความที่เขียนอยู่ด้านบน:ทหารเรือแห่งมหาสมุทรทางใต้ปะทะกับโจรสลัด เรือรบกว่าสามสิบลำและทหารเรือกว่าสองหมื่นนายตกน้ำหายสาบสูญ!
ในฐานะที่เป็นขันทีผู้สนองพระบาทใกล้ชิดขององค์จักรพรรดินั้นจึงทำให้เขารู้เรื่องราวต่าง ๆ มากมาย และทหารเรือจำนวนสองหมื่นนายเหล่านั้นต่างได้รับพระราชโองการลับของจักรพรรดิให้เตรียมกำจัดกองกำลังทหารของเสด็จอาเก้าระหว่างอยู่ในทะเล ทว่าผลลัพธ์คือกำลังพลกว่าสองหมื่นนายที่ออกทะเลไปนั้นกลับไม่มีแม้แต่สักคนเดียวรอดกลับมา
มิน่าเล่าจักรพรรดิถึงได้ทรงกริ้วจนสำลักพระโลหิต จากนั้นหัวหน้าขันทีก็ไม่กล้าอ่านต่อและรีบวางข่าวด่วนลงทันที
หลังเกิดเหตุทหารเรือโดนโจมตีในมหาสมุทรทางใต้และเมื่อได้ออกไปตรวจดูยังพื้นที่ทะเลเกิดเหตุแต่กลับไม่พบร่องรอยอะไร มีเพียงแต่ทะเลอันเวิ้งว้างสงบนิ่งและทหารเรือที่พวกเขาเกณฑ์กำลังออกไป และเสด็จอาเก้ากลับสาบสูญไปจากท้องทะเล
แน่นอนว่าเป็นไปไม่ได้ที่เสด็จอาเก้า เรือรบกว่าสามสิบลำหรือแม้แต่กองกำลังทหารเรือสามหมื่นนายจะจมหายลงไปใต้ทะเล นอกจากเรือที่ถูกทำลายจนระเบิด กับเหล่าทหารหาญผู้สละชีพในหน้าที่ ส่วนคนอื่น ๆ ที่เหลือคงแพ้วาทศิลป์โน้มน้าวใจของเสด็จอาเก้าแล้วติดตามเขา โดยเดินทางไปยังเกาะของเสด็จอาเก้าแล้ว
สาเหตุที่เสด็จอาเก้าเลือกประลองฝีมือกับกองกำลังทหารเรือของจักรพรรดิ ไม่ใช่เพียงเพราะว่าบนท้องทะเลสามารถทำลายล้างโดยไร้ร่องรอยได้ แต่ที่สำคัญไปกว่านั้นคือกองกำลังทหารเรือของตงหลิงอ่อนแอเป็นอย่างมาก การเตรียมพร้อมด้านยุทโธปกรณ์เองก็ด้อยประสิทธิภาพ อีกทั้งเสด็จอาเก้ายังเชี่ยวชาญการศึกด้านทหารเรืออย่างมาก ดังนั้นกองกำลังทหารของตงหลิงจึงอยู่ในสถานะเป็นฝ่ายเสียเปรียบ
เวลาโพล้เพล้ของวันนั้น แสงตะวันสาดทอผิวทะเลจนแดงฉานวิจิตรงดงามและทั่วผืนสมุทรก็นิ่งสงบ คงจะสัมผัสความรู้สึกสุนทรีเป็นแน่หากได้นอนเอนกายอยู่บนดาดฟ้าเรือ ทว่าในตอนนี้เองผืนทะเลอันเงียบสงบก็กลับผันแปรเป็นระลอกเกลียวคลื่น เรือขนาดใหญ่จำนวนนับสิบลำโผล่ทะยานออกมาจากทั่วสารทิศ และมุ่งหน้าเข้าเทียบด้านข้างของเรือเสด็จอาเก้า
“มากันแล้ว” ดวงตาทั้งสองข้างของจั่วอั้นเบิกโพลงเป็นประกาย พลางรู้สึกคันไม้คันมืออยากเข้าต่อตี พร้อมแสดงสีหน้าท่าทางราวกับว่าตาเฒ่ารอคอยเจ้ามานานแล้ว
“ใช่แล้ว ในที่สุดก็มาถึง”เสด็จอาเก้าและเฟิ่งชิงเฉินยืนอยู่บริเวรกราบหัวเรือ ลมทะเลโบกพัดกระทบชุดของทั้งสองเป็นเสียงหวีดหวิว แขนเสื้อปลิวสะบัดไปมา และมวยผมก็ลอยละล่องเล่นลม
เสด็จอาเก้าเอามือประสานไว้ด้านหลังพร้อมลุกขึ้นยืน ใบหน้าเฟิ่งชิงเฉินผุดรอยยิ้มเล็กน้อย ทั้งสองคนจ้องมองเรือรบซึ่งกำลังเคลื่อนที่เข้ามาใกล้ทุกขณะ ด้วยสีหน้าไร้ท่าทีเกรงกลัวแม้แต่น้อย
กองกำลังทหารเรือขององค์จักรพรรดิอ่อนแอเกินไปจริง ๆ และพวกเขาก็รอคอยศึกในครั้งนี้นานแล้ว!