นายน้อยเจ้าสำราญ - ตอนที่ 1001 กองนาวิกโยธินออกนอกเส้นทาง
ตอนที่ 1001 กองนาวิกโยธินออกนอกเส้นทาง
ผืนปฐพีต้าเซี่ยสงบร่มเย็น
นอกจากคนเพียงมิกี่คน ก็มิมีผู้ใดล่วงรู้อีกเลยว่ายุทธศาสตร์คราใหญ่ที่วางเอาไว้ได้เริ่มต้นขึ้นอย่างเป็นทางการแล้ว
สองสามวันมานี้ฝ่าบาทได้จัดการประชุมราชสำนักขนาดย่อมขึ้นมาสองครา คราที่หนึ่งก็เพื่อให้กรมคลังโยกย้ายเสบียงอาหารไปยังเหอเป่ยซีเต้าโดยให้เหตุผลว่าที่นั่นประสบภัยพายุหิมะขั้นวิกฤตและผู้ประสบภัยต้องการความช่วยเหลืออย่างเร่งด่วน
การประชุมคราที่สองเกี่ยวกับการทหาร ฝ่าบาทมีพระดำริให้เริ่มภารกิจเกณฑ์ทหารในช่วงฤดูใบไม้ผลิในปีนี้
ในการประชุมครานี้ พระองค์ทรงแต่งตั้งให้ฮั่วหวยจิ่นเป็นผู้บัญชาการทหารบกกองทัพที่หก จากนั้นก็รับสั่งให้ฮั่วหวยจิ่นไปเกณฑ์ทหารจำนวน 100,000 นายจากสองมณฑลจิงซี สองมณฑลหวายหนานและเจียงหนานเต้า
พระองค์ได้แต่งตั้งพานชู่หยางเป็นผู้บัญชาการทหารบกกองทัพที่เจ็ด จากนั้นก็รับสั่งให้พานชู่หยางไปเกณฑ์ทหารจำนวน 100,000 นายจากสองมณฑลต้าหลี่และสองมณฑลเยวี่ยซาน
และแต่งตั้งให้จ้าวเจวี๋ยเป็นผู้บัญชาการทหารบกกองทัพที่แปด ให้เกณฑ์ทหารจำนวน 100,000 นายที่สองมณฑลจิงตงและสองมณฑลเหอเป๋ย
เมื่อรวมกับกองทัพทหารม้าที่ท่าป๋าเฟิงบัญชาการอีก 100,000 นาย ครานี้จำนวนทหารบกของประเทศต้าเซี่ยก็จะมีมากถึง 900,000 นาย
นี่มิใช่เรื่องแปลกแต่อย่างใดเพราะต้าเซี่ยในวันนี้มีอาณาเขตกว้างใหญ่กว่าราชวงศ์อู๋เดิมถึงสามเท่า ดังนั้นย่อมต้องการกำลังพลในการป้องกันแนวชายแดนมากขึ้นเป็นธรรมดา
ในขณะที่กองทัพบกยังมิได้เคลื่อนไหว
เรือรบจินหลิงลำหนึ่งได้แล่นออกจากท่าเรือเจียงเฉิงอย่างเงียบเชียบไปยังทิศเหนือ
รัชสมัยต้าเซี่ยปีที่หนึ่ง วันที่สิบสอง เดือนหนึ่ง เฮ้อซานเตาที่กำลังฝึกฝนทหารเรืออยู่ที่เซี่ยเย๋ได้รับคำสั่งลับจากฟู่เสี่ยวกวน…
‘ให้เฮ้อซานเตาเข้ารับตำแหน่งผู้บัญชาการกองนาวิกโยธินและแต่งตั้งให้ถางเชียนจวินเป็นเสนาธิการประจำกองนาวิกโยธินเพื่อคอยให้ความช่วยเหลือเฮ้อซานเตาในการเพิ่มประสิทธิภาพด้านการรบของกองนาวิกโยธิน จงสร้างกองทัพที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในต้าเซี่ยขึ้นมา ! ’
เฮ้อซานเตาอ่านแล้วถึงกับตกตะลึง “แล้วกองทัพเรือที่สามของข้าเล่า ? ”
ฮว่าหนานสวิน เสนาธิการประจำกองทัพเรือที่สามหัวเราะขึ้นมา “เรียนท่านแม่ทัพ ฝ่าบาทมิได้ตรัสให้ท่านเลิกคุมกองทัพเรือที่สามนี่ขอรับ เท่ากับตอนนี้ท่านเป็นทั้งผู้บัญชาการกองทัพเรือที่สามและกองนาวิกโยธินในเวลาเดียวกัน”
“นี่มัน…” เฮ้อซานเตาเกาศีรษะแกรก ๆ “นี่เท่ากับข้าจะได้เบี้ยหวัดจากตำแหน่งทั้งสองทัพนี้เยี่ยงนั้นหรือ ? ”
ฮว่าหนานสวินผงะ ท่านแม่ทัพผู้นี้มีความคิดแปลกประหลาดมากยิ่งนัก เพราะหากเป็นผู้อื่นก็คงจะขอบคุณในความไว้วางพระทัยจากฝ่าบาทเสียยกใหญ่ ทว่าเมื่อเป็นเฮ้อซานเตา สิ่งที่กังวลกลับเป็นค่าตอบแทนไปเสียได้ !
“ท่านแม่ทัพ…ที่นี่ช่างเงียบเหงามากยิ่งนัก แม้ว่าจะมีเงินทองก็มิมีสถานที่ให้ใช้สอย พวกเราต้องไปรับช่วงต่อจากกองนาวิกโยธินบัดนี้เลยหรือขอรับ ? ”
“เหล่าฮว่า เจ้าโง่หรือเยี่ยงไร ? พวกเรามิได้ติดอยู่ในถิ่นทุรกันดารเช่นนี้ไปชั่วกัปชั่วกัลป์สักหน่อย หากกองทัพเรือที่สามฝึกฝนเสร็จเมื่อใด พวกเราก็จะออกปล้นในท้องทะเล อ้อ ! จริงสิ…”
เฮ้อซานเตาตบหน้าผากตนเอง แล้วเอ่ยขึ้นมาว่า “ข้าถูกมารร้ายครอบงำเนิ่นนานแล้ว เงินที่ได้จากการออกปล้นในทะเลต่างหากถึงจะเป็นเงินของข้าโดยแท้จริง ต่อให้ได้เบี้ยหวัดเยอะขึ้นก็ไร้ซึ่งประโยชน์เพราะเมียข้าริบไปทั้งหมด มิเหลือให้ข้าแม้แต่อีแปะเดียว แต่หากข้าออกปล้นในท้องทะเล เมียข้าจะริบได้สักเท่าใดกันเชียว ? ใช่ ๆ ๆ ความคิดนี้ช่างยอดเยี่ยมยิ่ง ! เจ้ารีบไปเรียกเหล่าทหารใหม่มาฝึกประเดี๋ยวนี้ ข้าจะบอกอันใดให้ว่าเดือนห้า… เดือนห้าเป็นอย่างช้า ข้าจะนำพวกเขาออกปล้น ! ”
“อีกอย่างจงไปสั่งให้ช่างต่อเรือเร่งรีบต่อเรือสักหน่อย ต่อเรือมานานมากแล้ว ทว่ามิมีทีท่าว่าจะเสร็จสักที มัวแต่ทำบ้าอันใดอยู่กัน ! ”
ฮว่าหนานสวินยังสามารถโต้แย้งอันใดได้อีกกัน ?
อู่ต่อเรือเพิ่งสร้างเสร็จเมื่อเดือนที่แล้ว แม้ว่าบัดนี้ได้เริ่มก่อสร้างเรือรบแล้ว แต่มันสามารถสร้างได้เร็วถึงเพียงนั้นเลยหรือ ?
เรือรบลำนี้จะแล้วเสร็จอย่างเร็วที่สุดก็คงเป็นสิ้นปี ทว่าเขายังคิดจะออกปล้นในช่วงเดือนห้าอยู่อีก ถ้าเป็นเดือนห้าของปีหน้าก็ว่าไปอย่าง
“ข้าน้อยคิดว่าน้องสะใภ้กำลังจะให้กำเนิดบุตร ท่านมิคิดจะกลับไปหานางสักหน่อยหรือ ? ”
“ข้าก็คิดอยู่…แต่จะไปหาให้ได้อันใดขึ้นมาเล่า ? ข้าต้องออกปล้นสิ ! ทรัพย์สมบัติที่ได้มาก็เก็บไว้เองหนึ่งส่วน ที่เหลือก็ทูลถวายให้แก่ฝ่าบาท พระองค์คงมิตำหนิข้าหรอก ของมีค่าอื่น ๆ ที่ปล้นมาได้ ข้าจะมอบให้บุตรชายของข้า ในเมื่อข้าเป็นคุณชายเศรษฐีที่ดินแห่งหลินจื๋อ บุตรชายของข้าต้องเป็นคุณชายเศรษฐีที่ดินแห่งต้าเซี่ย ! ”
“ไป ๆ ๆ อย่าได้ต่อความยาวสาวความยืดอีกเลย พวกเราไปประจำที่กองนาวิกโยธินกันเถิด”
ทั้งสองจึงเดินออกจากค่ายที่พัก อยู่ ๆ เฮ้อซานเตาก็โพล่งถามขึ้นมาว่า “ช้าก่อน…เหล่าฮว่า เจ้าคิดว่าการที่ฝ่าบาทมอบกองนาวิกโยธินให้กับข้า พระองค์มีสิ่งใดแอบแฝงอยู่หรือไม่ ? ”
“ยังจะมีสิ่งใดแอบแฝงอยู่อีกกัน ? ท่านเคยร่วมทุกข์ร่วมสุขกับฝ่าบาทมามิใช่หรือ ? นี่ย่อมเป็นเพราะฝ่าบาททรงเชื่อพระทัยท่านมิใช่หรอกหรือ ? ”
“เจ้ามิเข้าใจฝ่าบาทดีพอ พระองค์กำลังวางกับดักข้า… เจ้าลองคิดดูสิ ! ไป๋ยู่เหลียนผู้หล่อเหลาเป็นผู้ฝึกฝนกองนาวิกโยธินนี้เองกับมือและเขาก็เป็นอาจารย์ของข้า ! ”
“ฝ่าบาททรงตรัสว่าต้องสร้างกองทัพที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในต้าเซี่ยขึ้นมา ทว่าวิชาที่ข้ารู้…พวกทหารกองนาวิกโยธินก็ได้ร่ำเรียนไปหมดแล้วเช่นกัน แล้วจะให้ข้าทำเยี่ยงไร ? ”
ฮว่าหนานสวินยิ้มร่า แม้เฮ้อซานเตาจะดูเหมือนคนหยาบกระด้าง ทว่าจิตใจกลับละเอียดอ่อนมากยิ่งนัก บางทีนี่อาจจะเป็นหนึ่งในสาเหตุที่ฝ่าบาททรงเชื่อพระทัยในตัวคนผู้นี้
“ข้าน้อยคิดว่าประเด็นหลักอยู่ที่ความยิ่งใหญ่ของกองนาวิกโยธินต่างหาก ท่านลองคิดสิ ! กองทัพส่วนใหญ่ในต้าเซี่ยเป็นกองทัพที่ประสบความสำเร็จก็จริง ทว่ามิมีกองทัพใดเป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกันและกองทัพเหล่านั้นก็มีทหารฝีมือระดับสามมากที่สุด หากท่านแม่ทัพถ่ายทอดวรยุทธและเพลงดาบให้แก่กองนาวิกโยธินก็จะทำให้เหล่าทหารในกองนาวิกโยธินมีฝีมือขั้นหนึ่งทั้งหมด ส่วนพวกที่มีฝีมือด้อยกว่าขั้นหนึ่งก็จะถูกคัดออกทั้งหมด”
“ฝ่าบาทมิได้ตรัสว่าห้ามแตะต้องกองนาวิกโยธินนี่ขอรับ ถางเชียนจวินก็มิสามารถรบได้เก่งกาจเท่าท่าน ดังนั้นท่านสามารถคัดเลือกผู้ที่มีความสามารถโดยอ้างพระนามของฝ่าบาทได้ หากทำเช่นนี้ท่านแม่ทัพลองคิดดูเถิด การมีทหารชั้นยอดกว่าห้าหมื่นนายและติดอาวุธล้ำสมัยเยี่ยงปืนเหมาเซ่ออันใดนั่นกับดาบยาว… ครานี้ทหารแต่ละนายก็จะสามารถรบได้อย่างโหดเหี้ยมจนฟ้าสะท้านดินสะเทือน ท่านลองคิดภาพดูเถิดว่ากองทัพเยี่ยงนี้จะเป็นกองทัพแบบใด ? ”
“เช่นนี้จะมีกองทัพใดเทียบเท่าได้อีกเล่า ? ”
เฮ้อซานเตาตบลงบนไหล่ของฮว่าหนานสวินที่ฉีกยิ้มให้กับเขา จากนั้นก็หัวเราะลั่นออกมา “ท่านเสนาธิการฮว่า ข้าจะขอจดจำคุณงามความดีครานี้ของเจ้าไว้ ! เรื่องนี้ก็เอาเช่นนี้ก็แล้วกัน เอาล่ะ…เราไปดูพวกเด็กเหลือขอกันก่อนเถิด ! ”
ฟู่เสี่ยวกวนคาดมิถึงว่าเฮ้อซานเตาจะมีกุนซือฝีมือดีอยู่ข้างกาย ผ่านไปมินานหลังจากที่เฮ้อซานเตาเข้ารับช่วงต่อ กองนาวิกโยธินก็ได้ท้าประลองฝีมือเป็นเวลา 3 วัน ทหารทุกนายที่มิสามารถต้านทานเขาได้ถึง 5 กระบวนท่า จะถูกคัดออกไปอยู่ในกองทัพเรือที่สามทั้งหมด !
เฮ้อซานเตาได้กำหนดกฎเกณฑ์ของหน่วยรบนี้ขึ้นมาใหม่ภายใต้สายตาตกตะลึงของถางเชียนจวิน “ข้ามิต้องการเลี้ยงผู้คนมากมายถึงเพียงนี้ ตั้งแต่บัดนี้เป็นต้นไปการปรับหน่วยรบของกองนาวิกโยธิน…ให้ขึ้นอยู่กับข้า ! ขอเน้นย้ำตรงนี้ว่าทหารตั้งแต่ขั้นหนึ่งลงไปให้เดินออกมาเองด้วยความสมัครใจ เมื่อไปยังกองทัพเรือที่สาม พวกเจ้าย่อมได้รับการฝึกฝนที่แตกต่าง”
“กองนาวิกโยธินต้องปฏิบัติภารกิจอันตราย ข้ามิปรารถนาจะส่งพวกเจ้าไปตาย ข้ามิได้ดูถูกความสามารถของพวกเจ้าแต่อย่างใด เพียงแค่มิอยากตามเก็บศพของพวกเจ้าก็เท่านั้น ! ”
มินานนักทหารในกองนาวิกโยธินก็ถูกคัดออกทั้งสิ้น 40,000 นาย ทำให้เหลือเพียง 10,000 นายเท่านั้น
หลังจากนั้นเขาก็ใช้เวลา 1 เดือนในการคัดเลือกทหารจำนวน 10,000 นายจาก 300,000 นายของกองทัพเรือที่สาม เพื่อมาสร้างกองนาวิกโยธินใหม่ซึ่งมีทหารเพียง 20,000 นายเท่านั้น
ทั้งสองหมื่นนายล้วนเป็นทหารชั้นยอด เขาจะถ่ายทอดวรยุทธและเพลงดาบให้อย่างหมดเปลือก อีกทั้งตนยังได้ทำเรื่องขอดาบโลหะผสมขนาดใหญ่จำนวน 30,000 เล่มมาจากกรมกลาโหม เมื่อข่าวนี้ถึงหูฟู่เสี่ยวกวนก็ทำให้เขาตื่นตกใจเสียยกใหญ่
เพราะฟู่เสี่ยวกวนคาดหวังให้จู่โจมแบบลอบสังหาร การตัดศีรษะศัตรูเป็นสิ่งที่กองนาวิกโยธินต้องฝึกฝน การฝึกฝนเหล่านี้มักจะฝึกแบบเงียบ ๆ ในที่ลับตาคน และจำต้องรุกรานศัตรูอย่างรวดเร็วจนพวกเขามิทันได้ตั้งตัว
ทว่าเมื่อเฮ้อซานเตาจัดหน่วยรบใหม่เช่นนี้ก็เท่ากับทำให้กองนาวิกโยธินออกนอกเส้นทางภารกิจหลัก… เจ้าเคยเห็นมือสังหารคนใดแบกดาบเล่มยักษ์บ้างเล่า ?
เจ้าต้องขอกริช 30,000 เล่มจึงจะถูกต้อง !
เอาเถิด…อย่างไรเสียกองทัพอันแข็งแกร่งก็ได้ถือกำเนิดขึ้นมาแล้ว
พวกเขามิได้เดินอยู่ในเงามืด ทว่าสวมชุดเกราะแสงระยิบระยับแบกดาบยักษ์ถือปืนยาวเดินใต้แสงสุริยาอย่างห้าวหาญ…
มิอาจมีผู้ใดขัดขวางได้ !
แม้แต่ระดับปรมาจารย์…ก็ยังต้องพ่ายแพ้