นายน้อยเจ้าสำราญ - ตอนที่ 1010 ค่าใช้จ่ายสูงลิ่ว
ตอนที่ 1010 ค่าใช้จ่ายสูงลิ่ว
ท่าป๋าวั่งฮ่องเต้แห่งแคว้นซีเซี่ยผู้มิเคยทุกข์ร้อนมิว่าต้องเผชิญหน้ากับเรื่องใด บัดนี้กลับรู้สึกกระสับกระส่ายภายในใจราวกับมีหนูหลายพันตัวคอยข่วนอยู่
ใบหน้าเหลี่ยมของเขาเริ่มมืดครึ้ม คิ้วเริ่มขมวดเป็นปมพลางนึกในใจว่าจักรพรรดิต้าเซี่ยมิใช่สหายสนิทและมิได้มีความสัมพันธ์ใดร่วมกัน หากมิใช่เรื่องของเงินทอง ฟู่เสี่ยวกวนก็ไร้ความจำเป็นใดต้องไปมีเรื่องกับราชวงศ์เหลียวเพื่อปกป้องซีเซี่ยที่แสนยากจน
ทว่าเหตุใดอีกฝ่ายถึงส่งเทียบเชิญให้ตนเป็นการส่วนตัวเล่า ?
หรือต้องการพิสูจน์ความจริงใจของข้ากัน ?
หรือเพราะ… ท่าป๋าวั่งหวั่นวิตกขึ้นมาในใจ หรือเพราะฟู่เสี่ยวกวนต้องการรวมซีเซี่ยเข้ามาอยู่ในอาณาเขตของต้าเซี่ยด้วยกัน ?
เป็นไปมิได้เด็ดขาด !
หรืออาจเป็นเพราะเขาต้องการเห็นความจริงใจของข้า ?
ทว่าบัดนี้ข้ายากจนมากยิ่งนัก !
อย่าว่าแต่นำเพชรนิลจินดามาถวายเลย ทุกวันนี้แม้แต่วังหลังก็เสวยได้เพียงแค่อาหารธรรมดา ๆ เท่านั้น
ท่าป๋าวั่งสูดลมหายใจเข้าลึกหลายคราจากนั้นก็เอ่ยถามท่าป๋ายวี่ว่า “หากเขานำเครื่องราชบรรณาการมาเป็นตัวกำหนดระดับความสัมพันธ์ของแต่ละแคว้น…พวกเราจะทำเยี่ยงไรดี ? ”
ราชครูท่าป๋ายวี่ครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง “ทูลฝ่าบาท กระหม่อมได้ยินมาว่าจักรพรรดิแห่งประเทศต้าเซี่ยได้เข้าสู่โลกของการฝึกยุทธ์เนิ่นนานแล้ว ทว่าทุกวันนี้เขายังคงย่ำอยู่ก้าวแรก เขาเป็นเพียงผู้มีฝีมือระดับสามเท่านั้น ดังนั้นในการมาเยือนครานี้กระหม่อมจึงได้นำยาเสริมกำลังภายในจำนวน 3 เม็ดที่ถนอมไว้อย่างดีมาด้วยพ่ะย่ะค่ะ”
ยาเสริมกำลังภายในเป็นยาวิเศษที่จอมยุทธ์หลายคนถวิลหา เพราะเมื่อใช้แล้วสามารถเพิ่มกำลังภายในได้อีก 20 ปีซึ่งเท่ากับว่าสามารถเลื่อนขั้นเป็นจอมยุทธ์ขั้นหนึ่งได้เพียงการทานยาเม็ดเดียวเท่านั้น
ยาชนิดนี้ได้สูญหายไปจากยุทธภพเนิ่นนานแล้ว มีแค่พระราชวังไป๋ฮวาแห่งซีเซี่ยเท่านั้นที่รู้วิธีการสกัด หนึ่งในนั้นมีส่วนผสมที่เรียกว่าหญ้าหลงตานอายุพันปีซึ่งหาได้ยากลำบากมากยิ่งนัก จึงเป็นเหตุให้หญ้าชนิดนี้มีมูลค่ามากมายเหลือเกินในสายตาของชาวยุทธ !
ยาเสริมกำลังภายในจำนวน 3 เม็ด…หากว่าฟู่เสี่ยวกวนสามารถใช้มันได้อย่างถูกต้องก็เพียงพอต่อการก้าวข้ามขอบเขตผู้มีฝีมือระดับสามไปยังระดับปรมาจารย์ภายในระยะเวลาหนึ่งปี
เขาคือจักรพรรดิแห่งประเทศต้าเซี่ย ทั้งยังมีเพียบพร้อมทั้งหมดทุกอย่าง สิ่งเดียวที่เขาขาดคือวรยุทธ์ ด้วยเหตุผลทั้งหมดทั้งมวลจึงทำให้ยาวิเศษ 3 เม็ดนี้เป็นสิ่งที่ล้ำค่าที่สุด
“ท่านราชครูช่างรอบคอบมากยิ่งนัก เจิ้นจะจดจำความดีของท่านเอาไว้ในใจ”
“ขอบพระทัยฝ่าบาท เพื่อซีเซี่ยแล้ว กระหม่อมจะทำจนสุดความสามารถพ่ะย่ะค่ะ ! ”
ในขณะที่ท่าป๋าวั่งกำลังกระสับกระส่าย ขบวนรถม้าก็ได้เข้าสู่เขตพระราชฐาน จากนั้นก็ตรงไปยังหงหลูซื่อโดยมีเซียวยวี่โหลวเสนาบดีกรมพิธีการยืนต้อนรับด้วยตนเอง
“ทูลองค์ฮ่องเต้ ได้โปรดปฏิบัติตามคำบัญชาขององค์จักรพรรดิประเทศต้าเซี่ย เรื่องกฎเกณฑ์ในการต้อนรับคณะราชทูตเป็นเช่นนี้…” เซียวยวี่โหลวประคองมือขึ้นพลางหันหน้าไปทางท่าป๋าวั่ง “ทางหงหลูซื่อมีที่พักให้บริการและที่พักระดับบนจะเป็นคฤหาสน์แยกที่มีความเป็นส่วนตัว คฤหาสน์นี้สามารถพักได้ถึง 30 คนและสามารถจอดรถม้าได้พ่ะย่ะค่ะ”
“ส่วนที่พักระดับล่างเป็นเช่นนี้…”
เขาหันไปชี้ห้องแถวสองชั้นที่ตั้งเรียงรายอยู่ด้านหลัง “ที่นี่สามารถพักรวมกันได้ แน่นอนว่าสภาพความเป็นอยู่ก็เรียบง่ายพอสมควร ทว่าก็มีข้อดีคือราคาถูกโดยแต่ละห้องจะจ่ายเพียงหนึ่งหรือสองตำลึงเท่านั้น พระองค์ทรงตริตรองเองเถิด…ว่าประสงค์จะพักระดับบนหรือระดับล่างพ่ะย่ะค่ะ ? ”
ท่าป๋าวั่งผงะ นี่หมายความว่าเยี่ยงไร ?
“เจิ้นเดินทางมาจากต้าเซี่ยเพื่อถวายความเคารพ ทว่าเจิ้นยังต้องควักเงินเพื่อจ่ายค่าที่พักอาศัยอยู่อีกหรือ ? ”
“ใช่แล้วพ่ะย่ะค่ะ พระองค์มิเพียงต้องควักเงินเพื่อจ่ายค่าที่อยู่อาศัยเท่านั้น ทว่ายังต้องควักเงินจ่ายค่าอาหารการกินด้วยเช่นกันพ่ะย่ะค่ะ”
ในขณะที่ท่าป๋าวั่งถลึงตาโตและกำลังจะระเบิดโทสะออกมา เขาก็ได้ยินเซียวยวี่โหลวเอ่ยว่า “ทูลองค์ฮ่องเต้ ฝ่าบาทของกระหม่อมได้ทำการกำชับมาอีกว่า เมื่อพระองค์เสวยมื้อค่ำเสร็จแล้วก็ให้กระหม่อมพาพระองค์ไปยังกวนหยุนถายเพื่อพบปะกับฝ่าบาทพ่ะย่ะค่ะ”
“และอีกอย่าง…ที่พักระดับบนมีเพียง 3 หลังเท่านั้น วันนี้ถูกทางราชวงศ์เหลียวจับจองไปแล้ว 1 หลัง หากพระองค์มิเลือกเสียตั้งแต่บัดนี้ก็เกรงว่าพรุ่งนี้จะมิเหลือแล้วพ่ะย่ะค่ะ”
ท่าป๋าวั่งเก็บสีหน้าโมโหทันใด ทว่ามิใช่เพราะเรื่องที่พักอันใดนั่นหรอก แต่เป็นเรื่องที่เขาจะได้พบกับฟู่เสี่ยวกวนตามลำพังในราตรีนี้ต่างหาก
เพราะมันเกี่ยวข้องกับความเป็นความตายของซีเซี่ย มิว่าเยี่ยงไรก็จำต้องทนกล้ำกลืนความโกรธครานี้เอาไว้ให้ได้
“แล้วที่พักระดับบนที่ว่าราคาคืนละเท่าใด ? ”
“1,000 ตำลึงพ่ะย่ะค่ะ ! ”
นี่มันหลอกเชือดกันซึ่ง ๆ หน้าเลยนี่!
ทว่าบัดนี้เห็นทีท่าป๋าวั่งคงต้องยอมถูกเชือดแล้วจริง ๆ เพราะมิว่าซีเซี่ยจะยากจนมากเพียงใด เขาจำต้องควักเงินออกมาให้ได้เพื่อศักดิ์ศรีของแคว้นซีเซี่ย
“ถ้าเช่นนั้นก็เอาที่พักระดับบน ! ”
“เชิญองค์ฮ่องเต้เสด็จตามกระหม่อมมาเถิดพ่ะย่ะค่ะ”
เซียวยวี่โหลวนำขบวนของท่าป๋าวั่งเดินไปยังด้านข้างของหงหลูซื่อ จากนั้นก็เดินไปประชิดด้านหลังของท่าป๋าวั่ง ยกยิ้มขึ้นพลางเอ่ยออกมาว่า “แท้ที่จริงนี่เป็นพระเมตตาของฝ่าบาทที่มีต่อซีเซี่ยพ่ะย่ะค่ะ”
ท่าป๋าวั่งหันไปชำเลืองมองเซียวยวี่โหลวหนึ่งครา 1,000 ตำลึงต่อหนึ่งคืนยังกล้าเรียกว่าทรงมีพระเมตตาอยู่อีกหรือ ?
ถึงเยี่ยงไรก็แพงถึงเพียงนี้แล้ว เหตุใดมิแพงเสียให้สุดไปเลยเล่า ?
ทว่าคำเอ่ยของเซียวยวี่โหลวหลังจากนั้น ก็ทำให้ท่าป๋าวั่งสบายใจขึ้นมา “องค์ฮ่องเต้… พระองค์ทรงทราบหรือไม่ว่าคฤหาสน์อีกสองหลังมีราคาเท่าใด ? ”
“มีราคาแพงกว่าที่เจิ้นจ่ายอีกหรือ ? ”
“มันมีราคา 10,000 ตำลึงพ่ะย่ะค่ะ ฝ่าบาททรงลดให้พระองค์ตั้งเก้าในสิบส่วนพ่ะย่ะค่ะ”
ท่าป๋าวั่งแอบอ้าปากค้างด้วยความตกตะลึง นี่ตั้งราคาส่งเดชหรือเยี่ยงไร ? 10,000 ตำลึงสามารถซื้อจวนหลังมหึมาได้เลยนะ ทว่านี่เป็นเพียงราคาเช่าต่อหนึ่งคืนเท่านั้น !
“ผู้ที่สามารถเข้าพักที่นี่ได้ย่อมมีสถานะโดดเด่นเหนือผู้ใดเช่นองค์ฮ่องเต้ หากพระองค์ต้องพักที่ห้องแถวเหล่านั้น…” เซียวยวี่โหลวเอ่ยแล้วส่ายศีรษะ “ฮ่องเต้หรือคณะราชทูตของแคว้นอื่นจะมองพระองค์เยี่ยงไรเล่าพ่ะย่ะค่ะ ? ”
“พวกเขาคงคิดว่าซีเซี่ยยากจนมากยิ่งนัก คงคิดว่าพระองค์ดูธรรมดาเยี่ยงสามัญชนเสียเหลือเกินพ่ะย่ะค่ะ”
“ฝ่าบาทตรัสต่อกระหม่อมว่าทรงทราบถึงสถานการณ์ของแคว้นซีเซี่ยเป็นอย่างดี เงินจำนวน 9,000 ตำลึงนี้ทางต้าเซี่ยจะยอมสนับสนุนให้ พวกเราจะมิยอมให้ทางฮ่องเต้ของซีเซี่ยต้องเสื่อมเสียพระเกียรติเป็นอันขาดพ่ะย่ะค่ะ ”
นี่คือมิตรไมตรีที่ฟู่เสี่ยวกวนหยิบยื่นให้แก่ข้าเยี่ยงนั้นหรือ ?
เหตุใดเขาต้องทำเช่นนี้ด้วยกัน ?
ท่าป๋าวั่งเดินเข้าไปในคฤหาสน์พลางครุ่นคิด ทันใดนั้นก็พบว่าคฤหาสน์ได้รับการตกแต่งสวยงามมากเลยทีเดียว
ทั้งด้านหน้าและหลังประกอบด้วยลานห้าลานด้วยกัน ทั้งกว้างขวางและสว่าง ตัวอาคารและการตกแต่งก็วิจิตรงดงาม
“ตั้งแต่บัดนี้เป็นต้นไป ที่นี่คือเรือนประทับของพระองค์ หากพระองค์ทรงเต็มใจทางหงหลูซื่อสามารถไหว้วานให้ห้องเครื่องส่งอาหารรสเลิศมายังที่นี่ได้ ทว่าราคานั้น…ค่อนข้างสูงพ่ะย่ะค่ะ”
“กินข้าวต้องใช้เงินกี่ตำลึง ? ”
เซียวยวี่โหลวกวาดสายตามองคร่าว ๆ เห็นว่าขบวนของท่าป๋าวั่งมาด้วยกันราว 20 คน จากนั้นจึงยกยิ้มขึ้นมาแล้วเอ่ยว่า “โต๊ะของพระองค์ราคา 100 ตำลึง ส่วนโต๊ะอาหารของเหล่าเสนาบดีและผู้ติดตามโต๊ะละ 20 ตำลึง ทางคณะของพระองค์ต้องจัดโต๊ะ 3 โต๊ะด้วยกัน และยังมีค่าบริการ 30 ตำลึง…ขอองค์ฮ่องเต้ได้โปรดวางพระทัย นี่เป็นราคาที่ลดให้เก้าในสิบส่วนแล้วพ่ะย่ะค่ะ”
ท่าป๋าวั่งอยากสบถด่าออกมาเต็มแก่ ทว่าก็ต้องกล้ำกลืนฝืนทนจนแทบจะอกแตกตาย
นี่จะให้ทานของวิเศษอันใดกัน ?
ทั้งยังลดให้มากถึงเก้าในสิบส่วน ถ้าเป็นราคาเต็มมิปาเข้าไป 1,000 ตำลึงต่อหนึ่งโต๊ะเลยหรือ ?
เอาเถิด…ถือว่านี่คือความเมตตาของฟู่เสี่ยวกวน เยี่ยงไรตนก็ต้องยอมรับเอาไว้
เขาโบกมือ “เช่นนั้นก็รบกวนท่านเสนาบดีช่วยจัดโต๊ะด้วยเถิด ! ”
“ขอให้พระองค์ทรงพระเกษมสำราญในระหว่างที่ประทับอยู่ในต้าเซี่ยพ่ะย่ะค่ะ” เซียวยวี่โหลวหันหลังกลับออกไป ส่วนท่าป๋าวั่งและท่าป๋ายวี่ เดินไปนั่งด้วยกันที่ศาลา ท่าป๋ายวี่ยกยิ้มเล็กน้อยในขณะที่กำลังต้มชา
“ทูลฝ่าบาท ดูเหมือนว่าจักรพรรดิแห่งต้าเซี่ยจะมีความเข้าใจต่อสถานการณ์ของแคว้นซีเซี่ยมิน้อยเลยพ่ะย่ะค่ะ”
“เจิ้นได้ยินมาว่าฟู่เสี่ยวกวนมิใช่ผู้มีจิตใจดีอันใดหรอก ท่านคิดว่า…เขากำลังวางกับดักเจิ้นอยู่หรือไม่ ? ”
หากเปรียบเทียบอำนาจของสองอาณาจักรแล้วนั้น ท่าป๋าวั่งก็อดคิดมากมิได้
เพราะที่ชื่อเล่อชวนเป็นฐานทัพของทหารบกกองทัพที่หนึ่งของประเทศต้าเซี่ย !
ที่นั่นยังมีทหารม้าซึ่งท่าป๋าเฟิงเป็นผู้ฝึกฝนเองกับมืออีกด้วย !
หากกองกำลังจำนวน 200,000 นายที่ติดอาวุธพร้อมสรรพออกเดินทางจากด่านเฮ้อหลาน หากว่าอีกฝ่ายต้องการเขมือบซีเซี่ยขึ้นมาจริง ๆ ก็คงมิใช่เรื่องยาก
“ทูลฝ่าบาท กระหม่อมคิดว่าจักรพรรดิแห่งต้าเซี่ยมิได้มีพระประสงค์ในการกำจัดซีเซี่ยให้สูญสิ้นพ่ะย่ะค่ะ”
“เพราะเหตุใดเยี่ยงนั้นหรือ ? ”
“เพราะถ้าเขาเดินทางออกจากภูเขาเฮ้อหลานเมื่อใดซีเซี่ยย่อมอับจนหนทาง เขาคงหวั่นเกรงว่าซีเซี่ยจะหันไปพึ่งพาราชวงศ์เหลียวด้วยสาเหตุนี้พ่ะย่ะค่ะ”
ท่าป๋าวั่งขมวดคิ้วเล็กน้อย ฟู่เสี่ยวกวนจะหวั่นกลัวจริงหรือ ?
ณ ห้องทรงพระอักษร ฟู่เสี่ยวกวนกำลังจ้องมองแผนที่ใหม่ซึ่งทางสายลับหอเทียนจีได้นำไปแก้ไขเพิ่มเติมให้ บัดนี้ถึงได้ค้นพบว่าแผนที่ประเทศซึ่งตนคิดว่าเป็นรูปแม่ไก่อย่างสมบูรณ์แบบแล้ว ทว่าแท้จริงยังมิสมบูรณ์ และยังได้ค้นพบว่าแท้จริงตนก็เป็นกบในกะลาครอบเช่นกัน
เขาใช้แท่งถ่านวงกลมไปที่อาณาเขตของแคว้นซีเซี่ยและราชวงศ์เหลียวพลางเอ่ยว่า “ครานี้คงใกล้สมบูรณ์เต็มทีแล้ว”