นายน้อยเจ้าสำราญ - ตอนที่ 1022 จำศีล
ตอนที่ 1022 จำศีล
ณ ตำหนักหยางซิน
ฟู่เสี่ยวกวนถือกล่องหยกเอาไว้ในมือ ในกล่องหยกใบนั้นมียาวิเศษรูปทรงงดงามอยู่ 3 เม็ดด้วยกัน
ยาวิเศษแต่ละเม็ดใหญ่เท่าไข่ของนกพิราบ สีดำสนิททั้งเม็ด เมื่อกระทบกับแสงมันจะส่องแสงประกายราวกับทองคำ
นี่คือยาเสริมกำลังภายในที่ทางซีเซี่ยส่งมอบให้แก่เขา
ท่าป๋าวั่งบอกไว้ว่ายาชนิดนี้ขึ้นอยู่กับสภาพร่างกายของคนที่ทาน สำหรับผู้ที่เพิ่งฝึกยุทธ์ หากมีร่างกายกำยำเพียงแค่ 1 เม็ดก็สามารถเลื่อนไปเป็นผู้มีฝีมือขั้นหนึ่งได้แล้ว !
ยาวิเศษนี้ช่างดึงดูดมากยิ่งนัก…ตนเข้ามาในโลกของผู้ฝึกยุทธ์มาเป็นเวลากว่าเจ็ดปีแล้ว ทว่าบัดนี้ยังเป็นเพียงแค่ผู้มีฝีมือขั้นสามที่มิเอาไหนเท่านั้น เรื่องนี้ได้สร้างความอับอายให้แก่ชายหนุ่มผู้เดินทางข้ามกาลเวลามาผู้นี้เสียเหลือเกิน !
โดยเฉพาะเมื่อต้องไปอยู่เบื้องหน้าของเฮ้อซานเตา เจ้าบ้านั่นชอบเอาเรื่องนี้มาตอกหน้าเขาอยู่เรื่อยและเขาก็ยังจนปัญญาที่จะตอกกลับให้อีกฝ่ายหน้าหงาย
หากว่ายานี้ได้ผลขึ้นมาจริง เขาจะทานทั้งสามเม็ด จากนั้นก็จะบรรลุเป็นปรมาจารย์ภายในเวลาครึ่งปี ฮึ ๆ ฟู่เสี่ยวกวนดีอกดีใจเสียเต็มประดา เมื่อบรรลุเป็นปรมาจารย์เมื่อใดก็ขออัดเจ้าเฮ้อซานเตาจนน่วมเพื่อสะสางปมแค้นในใจสักครา !
จะว่าไปแล้ว…ยานี้เหตุใดถึงดูคล้ายยาพิษมากยิ่งนัก ?
จากที่เคยศึกษามาจากตำรา ยาวิเศษที่ว่านี้ควรเป็นสีใสมิใช่หรือ ?
เหตุใดมันถึงเปลี่ยนเป็นสีดำทะมึนไปได้เล่า ?
หรือท่าป๋าวั่งตั้งใจจะทำร้ายข้า ?
หากวางยาพิษข้าให้ตายก็มิเกิดผลดีอันใดต่อซีเซี่ยของเขาหรอก
จะทานหรือมิทานดีนะ ?
ฟู่เสี่ยวกวนรู้สึกลังเลใจ หากศิษย์พี่ใหญ่อยู่ด้วยกันที่นี่ก็คงจะดีเพราะศิษย์พี่เป็นปรมาจารย์ด้านการปรุงยา มองเพียงปราดเดียวก็คงจะแยกแยะได้ว่ายานี้เป็นของดีหรือไม่
ศิษย์พี่ใหญ่อยู่ที่ใดแล้วนะ ?
เพียงชั่วพริบตาเวลาก็ล่วงเลยไปหนึ่งปีครึ่งแล้ว ขออย่าให้เขาหลงทิศจนไปโผล่ทวีปยุโรปเลย เพราะเมื่อหลงทิศแล้วก็เกรงว่าจะหาทางกลับมิได้ชั่วชีวิต
ศิษย์พี่สามที่ดูเหมือนใจเย็น ทว่ายามที่นางก้มลงปักผ้าในบางคราก็มักจะปักโดนนิ้วของตนเองอยู่เสมอ เห็นได้ชัดว่าจิตใจของนางมิได้อยู่กับเนื้อกับตัว
ส่วนเหมียหลี่เสวี่ยหง ปรมาจารย์สาวรูปงามผู้นั้นก็มิรู้ว่าสายตาของนางทำมาจากอันใด เพราะนางได้ตกหลุมรักศิษย์พี่สองเกาหยวนหยวนชนิดหัวปักหัวปำ !
ฟู่เสี่ยวกวนได้แต่มองอดีตผู้อาวุโสแห่งป่ากระบี่ผู้นี้ด้วยความเคารพอยู่ไกล ๆ เขากังวลว่านางจะเอากระบี่มาแทงตนเข้าสักวัน เพราะแท้จริงแล้วที่สำนักป่ากระบี่ถูกทำลายก็ฝีมือของเขาด้วยเช่นกัน
หากปรมาจารย์จากป่ากระบี่อยากชำระแค้นขึ้นมา นางคงมิแยแสว่าข้าเป็นจักรพรรดิหรือไม่
ในขณะที่ฟู่เสี่ยวกวนกำลังครุ่นคิดเรื่อยเปื่อยอยู่นั้น สวี่หยุนชิงก็ได้เดินเข้ามา สายตาของนางจ้องมองไปที่ใบหน้าของฟู่เสี่ยวกวนก่อนสิ่งอื่นใด จากนั้นก็เลื่อนไปมองยาวิเศษในกล่องหยกใบนั้นเป็นลำดับถัดไป
“เอ๋… ? ”
นางนั่งลงข้างกายฟู่เสี่ยวกวน จากนั้นก็ยื่นมือออกไปหยิบกล่องหยกใบนั้นพลางสังเกตยาในกล่องอย่างตั้งใจอยู่ครู่หนึ่ง ทั้งยังยื่นจมูกเข้าไปดมใกล้ ๆ
“ของดี ! ” สวี่หยุนชิงเอ่ยขึ้นมาด้วยน้ำเสียงตื่นเต้น จากนั้นก็หันไปเอ่ยถามฟู่เสี่ยวกวนว่า “เจ้าไปเอาของชิ้นนี้มาจากที่ใด ? ”
“ท่านแม่รู้จักด้วยหรือ ? ”
“ยาเสริมกำลังภายใน แม่มิเพียงแค่รู้จักเท่านั้น แม่ยังเคยทาน 1 เม็ดด้วย”
ฟู่เสี่ยวกวนผงะ “ท่านแม่เคยทานด้วยหรือ ? ”
“ก็ใช่น่ะสิ ! ปีนั้นอาจารย์ของเจ้านำกลับมาให้แม่ทาน 1 เม็ด มิเช่นนั้นแม่จะบรรลุเป็นปรมาจารย์ได้เยี่ยงไร”
ฟู่เสี่ยวกวนรู้สึกประหลาดใจมากยิ่งนัก เช่นนั้นก็หมายความว่าท่าป๋าวั่งมิได้หลอกลวงตนและหมายความว่าตนจะบรรลุเป็นปรมาจารย์ได้ในเร็ววันใช่หรือไม่ ?
“ซีเซี่ยได้มอบสิ่งนี้ให้แก่ข้าและกำลังนึกสงสัยว่ามันจะมีพิษหรือไม่”
“มันมิมีพิษหรอก แต่จะมีผลข้างเคียงเล็กน้อย”
“ผลข้างเคียงอันใดเยี่ยงนั้นหรือ ? ”
“เมื่อทานยาเข้าไป 1 เม็ดก็อาจจะหมดสติไปสองสามวัน” เมื่อสวี่หยุนชิงเอ่ยเสร็จก็จ้องมองฟู่เสี่ยวกวนตั้งแต่ศีรษะจรดปลายเท้าอีกครา “ตอนนั้นที่แม่ทานยาเข้าไป แม่เป็นผู้มีฝีมือขั้นหนึ่ง หลังจากที่ทานก็หมดสติไปถึง 3 วัน พอตื่นขึ้นมาก็บรรลุเป็นปรมาจารย์แล้ว ทว่าเจ้า…เจ้าเป็นเพียงผู้มีฝีมือระดับสามเท่านั้น แม่มิรู้ว่าเมื่อเจ้าทานเข้าไปแล้วจะหมดสติกี่วัน”
ฟู่เสี่ยวกวนรู้สึกอับอายจนแทบจะแทรกแผ่นดินหนี
สวี่หยุนชิงจึงเกิดความรู้สึกสนใจขึ้นมา “ลูกชาย…เจ้าทานมันลงไปเถิด ประเดี๋ยวแม่จะคอยปกป้องเจ้าเอง”
“หากข้าหมดสติไปสิบกว่าวันแล้วจะทำเยี่ยงไร ? ”
“มันสำคัญด้วยหรือ ? ก็คิดเสียว่านอนหลับพักผ่อน พอเจ้าตื่นขึ้นมาอีกครา แม่คาดว่าเจ้าก็คงจะบรรลุเป็นผู้มีฝีมือขั้นหนึ่งแล้ว”
จากผู้มีฝีมือขั้นสามที่มิเอาไหนกระโดดขึ้นไปขั้นหนึ่ง นี่คือสิ่งที่ฟู่เสี่ยวกวนรอคอย
“เช่นนั้นเจ้าก็ทานเข้าไปก่อน 1 เม็ด ! ”
“ทานสิ…รีบทานเร็วเข้า ! ” ดวงตาของสวี่หยุนชิงจรัสแสงดั่งดวงดารา
นี่เป็นยาเสริมกำลังภายในสุดวิเศษแห่งยุทธภพเชียวนะ !
ของวิเศษชิ้นนี้ได้หายสาบสูญไปจากแวดวงยุทธภพมานานหลายปีแล้ว ทว่าวันนี้มันกลับมาอยู่ในมือของบุตรชายตั้งสามเม็ด เมื่อทานทั้งสามเม็ดนี้เข้าไปต่อให้บุตรชายไร้ความสามารถทางวรยุทธ์ เขาย่อมบรรลุเป็นปรมาจารย์ได้อย่างแน่นอน
บุตรชายของนางต้องทำการใหญ่ เมื่อเขาเป็นปรมาจารย์ย่อมสามารถใช้ชีวิตท่ามกลางภัยอันตรายเยี่ยงนี้ได้ นี่เป็นสิ่งที่คุ้มค่าต่อการรอคอย
เมื่อฟู่เสี่ยวกวนได้ยินมารดาเอ่ยดังนั้น จึงสลัดความลังเลใจไปทันใดเพราะตัวเขาเองก็รีบร้อนอยากเลื่อนขั้นแล้วเช่นกัน !
ดังนั้นเขาจึงหยิบยาขึ้นมา 1 เม็ดแล้วยัดเข้าไปในปาก ลำคอของเขาขยายตัวจากนั้นก็กลืนยาเม็ดโตลงคอดัง “อึก ! ”
“ตอนนี้เจ้าจงกลับไปนอน แม่จะคอยดูอยู่ที่นี่เอง ! ”
ฟู่เสี่ยวกวนเดินอย่างเชื่องช้ากลับไปที่ห้อง จากนั้นก็ล้มตัวนอนลงบนเตียง… เหตุใดข้าถึงมิรับรู้รสชาติเลยนะ ? ยานี้มิได้เขียนบอกวิธีการกินจึงมิรู้ว่าต้องเคี้ยวก่อนกลืนด้วยหรือไม่ ?
ของดีเยี่ยงนี้กลับไร้รสชาติ
มินานนัก ความง่วงก็ถาโถมเข้าหาฟู่เสี่ยวกวนอย่างหนักหน่วง เขาหลับตาลง จากนั้นก็ค่อย ๆ ดำดิ่งสู่ห้วงภวังค์แห่งการหลับใหล
สวี่หยุนชิงคอยเฝ้าดูแลอยู่ที่ตำหนักหยางซินและเฝ้าอยู่อย่างนั้นเป็นเวลาสิบวัน !
เมื่อผู้เป็นองค์จักรพรรดิหายหน้าหายตาไปนานสิบวัน หนานกงอี้หยู่จึงเริ่มร้อนรนขึ้นมาทันใด… เจ้าให้ท่าป๋าวั่งเข้ามาในราชสำนักโดยมิได้ถือพระราชโองการใดมายืนยันเลย เขามีสถานะเป็นถึงฮ่องเต้แห่งซีเซี่ย แม้ว่าบัดนี้เขาจะบอกว่ามิใช่ฮ่องเต้ของแคว้นซีเซี่ยแล้ว ทว่าเป็นจ่งตูแห่งเขตปกครองตนเองซีเซี่ย เขาเข้ามาศึกษาดูงาน แต่กลับมิมีพระราชโองการใดมารองรับว่าเขาเอ่ยเรื่องจริงหรือเท็จ !
แล้วจะให้เขาเข้ามาเรียนรู้งานดีหรือไม่ ?
หนานกงอี้หยู่และเมิ่งฉางผิงวิ่งเข้าวิ่งออกตำหนักหยางซินอยู่หลายวัน โชคดีที่มีองค์ไทเฮาประทับอยู่ มิเช่นนั้นพวกเขาคงคิดว่าจักรพรรดิสิ้นพระชนม์ไปแล้ว !
บัดนี้องค์จักรพรรดิกำลังจำศีล…เอาเถิด เจ้าเป็นจักรพรรดินี่ อยากจะจำศีลก็จำไปเถิด บัดนี้กลายเป็นว่าให้ถือพระราชบัญชาขององค์ไทเฮาเป็นที่สุด
ทั้งสองจึงได้ขอคำแนะนำจากไทเฮา สวี่หยุนชิงได้ตริตรองแล้วว่า…ในเมื่อท่าป๋าวั่งกล้ามอบของล้ำค่าเหล่านั้นให้กับบุตรชาย ดังนั้นเขาย่อมเป็นพวกของตน
นางจึงลงนามอนุญาตในทันใด !
อนุญาตให้ท่าป๋าวั่งและท่าป๋ายวี่เข้ามาศึกษางานในแต่ละสำนักของต้าเซี่ยได้ตามสบาย ปัญหาเรื่องนี้จึงจบสิ้นไป ทั้งท่าป๋าวั่งและท่าป๋ายวี่จึงได้เข้ามาศึกษาส่วนกลางของอำนาจแห่งประเทศ จากนั้นพวกเขาจึงได้ค้นพบว่าระบบราชการของต้าเซี่ยมีความรวดเร็วและเสถียรภาพมากเพียงใด
ขณะที่ฟู่เสี่ยวกวนจำศีลเป็นคืนที่สิบ สวี่หยุนชิงและบรรดาลูกสะใภ้ก็ได้มารวมตัวกันเล่นไพ่นกกระจอกที่ตำหนักหยางซิน จากนั้นตำหนักหยางซินก็มีคนมาเยือนอีกสามคนด้วยกัน…หากเอ่ยให้ถูกต้องก็คือสองคนกำลังแบกหนึ่งคนเอาไว้ !
สวี่หยุนชิงยืนขึ้นพลางหรี่ตามองไปนอกพระตำหนัก
ผู้มาเยือนคือซูเจวี๋ยและเกาหยวนหยวน ส่วนคนที่พวกเขาแบกอยู่คือชายอ้วน !
หมวกของซูเจวี๋ยได้หายไปแล้ว ส่วนเกาหยวนหยวนก็ซูบผอมลงพอสมควร ส่วนชายอ้วนนั้น…
สวี่หยุนชิงก้าวเท้าออกไป จากนั้นก็หันไปสั่งหนานกงตงเซวี๋ยที่อยู่ด้านหลังว่า “รีบไปตามสุ่ยหยุนเจียนมาที่นี่โดยด่วน ! ”
“เกิดอันใดขึ้นเยี่ยงนั้น ? ”
ชายอ้วนมีโลหิตไหลอาบท่วมกายพร้อมกับลมหายใจที่รวยริน
เมื่อเขาได้ยินสองประโยคนั้นจึงค่อย ๆ ลืมตาขึ้นมา ใบหน้าอ้วนท้วมของเขาเผยรอยยิ้มออกมาให้เห็น
“เสี่ยวกวนอยู่ที่ใดเยี่ยงนั้นหรือ ? ”