นายน้อยเจ้าสำราญ - ตอนที่ 1028 ดอกทิวลิป
ตอนที่ 1028 ดอกทิวลิป
ณ ตำหนักกว่างหมิงแห่งวังหลวงประเทศต้าเซี่ย
เจี่ยหนานซิงดูมีชีวิตชีวาขึ้นมามาก ภายใต้การดูแลอย่างดีของหนานกงตงเซวี๋ย
อาการของเขาดีขึ้นจนมีเรี่ยวแรงลุกขึ้นมาปลูกดอกไม้นานาพรรณไว้ในสวนของตำหนักแล้ว
สวี่ซินเหยียนเป็นคนนำพันธุ์ดอกไม้มาให้เขา มีดอกไม้ป่านานาชนิดที่มิรู้จักชื่อซึ่งมาจากที่ราบหลีลั่ว และเมล็ดพันธุ์ดอกไม้ที่หลิวจิ่นนำกลับมาเมื่อปีกลาย
ในช่วงเดือนสี่นี้เอง บรรดาดอกไม้ในความดูแลของเขาบานสะพรั่งพอดี เจี่ยหนานซิงโปรดปรานการถือถังน้ำออกไปรดน้ำดอกไม้ในยามเช้าตรู่และยังโปรดปรานการชมเชยดอกไม้สีสันละลานตาในยามพลบค่ำอีกด้วย
เขาชื่นชอบบุปผาและมักจะหวนคะนึงถึงดอกเหมยบนภูเขาลั่วเหมยเป็นประจำ
ฟู่เสี่ยวกวนมิได้แวะมาเยี่ยมเยือนหลายวันแล้ว เขาคะนึงถึงอีกฝ่ายมากยิ่งนัก แต่ก็รู้ว่าฟู่เสี่ยวกวนคือจักรพรรดิ เขามีภารกิจใหญ่ให้กระทำ จะมาเสียเวลาเพราะตนมิได้
บัดนี้เป็นช่วงอาทิตย์อัสดง หมู่มวลวิหคเกาะกลุ่มกันบินกลับรัง เจี่ยหนานซิงนั่งต้มชาอยู่ในศาลาพักร้อนกลางสวนดอกไม้ จากนั้นก็หันหน้าไปมองชายชราผู้หนึ่งที่นั่งอยู่ฝั่งตรงกันข้าม…ชายชราผู้นั้นคือโหยวเป่ยโต้ว !
“เจ้าอย่าได้มองข้าด้วยสายตาเวทนาเช่นนี้เลย บัดนี้ข้าสบายดี ทั้งยังสบายกว่าแต่ก่อนเสียอีก ! ”
“ข้าได้ปล่อยวางทุกสิ่งแล้ว ข้าหวังจะให้ตนเองมีชีวิตต่ออีกสักปีสองปี เพราะฝ่าบาทเคยตรัสไว้ว่าพระองค์จะพาข้าไปเที่ยวชมทุกแห่งหนในต้าเซี่ย”
เจี่ยหนานซิงหัวเราะเบา ๆ ใบหน้าเหี่ยวย่นทอประกายภายใต้แสงเรืองรองของอาทิตย์อัสดง
“เจ้ามิเชื่อเยี่ยงนั้นหรือ ? เจ้ามักจะสงสัยโน้นสงสัยนี่อยู่ตลอดเวลา ใช้ชีวิตเยี่ยงนี้จะไปสนุกอันใด ? ”
เจี่ยหนานซิงรินชาให้โหยวเป่ยโต้วหนึ่งถ้วย จากนั้นก็ยกยิ้มขึ้นแล้วเอ่ยว่า “ข้ามิไปภูเขาลั่วเหมยแล้ว เพราะข้ารู้สึกว่าที่นี่คือบ้าน มีองค์จักรพรรดินีและบรรดาพระสนมมาเยี่ยมเยียนข้าทุกวัน แม้แต่ไทเฮาก็ยังมาเยี่ยมข้าเป็นครั้งคราว ข้าเล่นไพ่นกกระจอกเป็นแล้ว เพียงแต่สมองยังตอบสนองช้าไปหน่อยจึงตามมิทันความคิดของสาว ๆ ทว่าท้ายที่สุดข้าก็เล่นชนะจนได้เงิน…”
“พระสนมหลานชมว่าข้ามีโชค แท้ที่จริง…ข้ารู้อยู่เต็มอกว่าพวกนางออมมือเพื่อให้ข้ามีความสุข”
“และข้าก็มีความสุขจากใจจริง ข้ารู้สึกเหมือนพวกนางเป็นหลานสะใภ้ของตนเอง”
โหยวเป่ยโต้วผงะ “เจ้าเอ่ยสุ่มสี่สุ่มห้าเยี่ยงนี้มิได้ ! ”
“เจ้าก็ดูเอาเถิด แท้จริงแล้วเป็นเพราะเจ้ามิเข้าใจในองค์จักรพรรดิ พระองค์ตรัสกับข้าว่ามิมีท่านปู่จึงดูแลข้าเหมือนปู่แท้ ๆ พระองค์ต้องการดูแลข้าจนกว่าชีวาจะหาไม่ ! ”
โหยวเป่ยโต้วตื่นตกใจสุดขีด เขาโน้มกายลงมาพลางเอ่ยเสียงเบาว่า “เจ้าบ้าไปแล้วหรือ ! พระองค์เป็นถึงจักรพรรดิ แล้วจะเห็นเจ้าเป็นปู่ได้เยี่ยงไร ? พระองค์จะดูแลเจ้าจนกว่าชีวาจะหาไม่ได้อย่างไร ? ! พระองค์เป็นคนดี ข้อนี้ข้ารู้ และการที่ให้เจ้าอาศัยอยู่ที่นี่ก็ถือเป็นบุญคุณอันใหญ่หลวงแล้ว ในเมื่อเจ้ามิปรารถนาจะกลับไปยังภูเขาลั่วเหมย เจ้าก็จงอยู่รักษาตัวที่นี่ ทว่าเจ้าต้องพึงระลึกเอาไว้เสมอว่า… ต้องทำตัวดี ๆ อย่าได้มีความคิดเพ้อฝันเป็นอันขาด ! ”
เจี่ยหนานซิงดึงสายตากลับมาและมิหันไปมองโหยวเป่ยโต้วอีกต่อไป เพราะถึงเยี่ยงไรอีกฝ่ายก็มิเข้าใจอยู่ดี ในเมื่อเป็นเช่นนี้ก็มิจำเป็นต้องเอ่ยอันใดให้มากความ
และทันใดนั้นเองฟู่เสี่ยวกวนและหลิวจิ่นก็ได้เดินเข้ามาพอดี
เขาเดินเข้ามายังศาลาพักร้อน เมื่อเห็นโหยวเป่ยโต้วนั่งอยู่จึงตกตะลึงไปชั่วครู่ จากนั้นก็ส่งยิ้มให้ทางสายตา “มิมีอันใดหรอก ข้าแค่อยากมาสนทนากับเขาก็เท่านั้น”
โหยวเป่ยโต้วยืนขึ้น ฟู่เสี่ยวกวนโบกมือปัดเป็นเชิงบอกว่ามิจำเป็น “พวกท่านเป็นพี่น้องกัน ท่านก็เป็นดุจท่านปู่คนหนึ่งในใจข้า ท่านก็รู้ว่าข้ามิชอบพิธีรีตองอันใดทั้งนั้น นั่งลงเถิด หลิวจิ่น…”
“พ่ะย่ะค่ะฝ่าบาท ! ”
“เย็นวันนี้จงสั่งห้องเครื่องให้ส่งอาหารมาที่นี่โดยเตรียมสำรับสำหรับสามคน อ้อ…ใช่สิ ! เจ้าจงสั่งให้ทางห้องเครื่องตุ๋นอาหารจนนิ่มเป็นพิเศษด้วย แล้วไปนำสุราองุ่นที่เก็บไว้ในห้องใต้ดินมาสักขวด จากนั้นก็ไปทูลไทเฮาว่ามิต้องรอข้ากลับไปทานมื้อค่ำด้วย เอาล่ะ…เจ้าไปเถิด”
หลิวจิ่นโค้งคำนับแล้วเดินจากไป ส่วนเจี่ยหนานซิงแสดงท่าทีดีอกดีใจ จากนั้นก็หันไปมองโหยวเป่ยโต้วราวกับจะเอ่ยว่า ‘เป็นเยี่ยงไรเล่า ? ข้ามิได้โกหกเจ้าสักหน่อย ! ’
โหยวเป่ยโต้วหย่อนกายลงนั่งช้า ๆ ในใจรู้สึกราวกับว่ากำลังมีคลื่นโหมกระหน่ำอย่างบ้าคลั่ง… จักรพรรดิทุกพระองค์ในประวัติศาสตร์แม้จะเชื่อพระทัยในตัวขันที ทว่าให้เชื่อใจในระดับเดียวกันกับที่จักรพรรดิองค์ปัจจุบัน คาดว่าคงมิมีปรากฎมาก่อนในประวัติศาสตร์ !
นี่มาไกลเกินกว่าความสัมพันธ์ระหว่างองค์ประมุขและขุนนาง มันได้พัฒนาเป็นความสัมพันธ์ระหว่างปู่กับหลานไปแล้ว !
คาดมิถึงเลยว่าพระองค์จะมาเสวยมื้อค่ำเป็นเพื่อนเจี่ยหนานซิง… เช่นนั้นก็หมายความว่าสิ่งที่เจี่ยหนานซิงเอ่ยเมื่อครู่เป็นเรื่องจริงน่ะสิ ทว่าบัดนี้วรยุทธของเจี่ยหนานซิงสูญสลายไปจนหมดสิ้นแล้ว เขาจึงเป็นเพียงแค่ไม้ใกล้ฝั่ง คนเช่นนี้สำหรับฝ่าบาทไร้ซึ่งความหมายใด พระองค์มีจุดประสงค์อันใดกันแน่ ?
โหยวเป่ยโต้วมิสามารถเข้าใจความสัมพันธ์อันแน่นแฟ้นระหว่างฟู่เสี่ยวกวนกับเจี่ยหนานซิงได้ เขาจึงนั่งดื่มชาอย่างเงียบ ๆ พลางฟังฟู่เสี่ยวกวนสนทนากับเจี่ยหนานซิง…
“ช่วงนี้เป็นช่วงที่บุปผากำลังผลิบานมิใช่หรือ ? เมื่อช่วงปลายปีที่แล้วเราได้ตกลงกันว่าฤดูใบไม้ผลิปีนี้ พวกเราจะไปท่องเที่ยงยังสถานที่ต่าง ๆ ในต้าเซี่ย บัดนี้ก็ถึงเวลาอันสมควรแล้ว ข้าวางแผนจะออกเดินทางในอีกสองวันข้างหน้า ส่วนท่านมิต้องพกสิ่งใดติดตัวไป เพราะข้าจะเตรียมทุกอย่างให้เอง เพียงแต่ว่าอาจจะต้องเปลี่ยนเส้นทางสักหน่อย…”
ดวงตาของเจี่ยหนานซิงเป็นประกายขึ้นมาทันใด ส่วนโหยวเป่ยโต้วขมวดคิ้วเป็นปมแน่น
ข่าวที่ว่าต้าเซี่ยจะโจมตีราชวงศ์เหลียวดังกระหึ่มไปทั่วหล้า แม้จะยังมิทราบรายละเอียดเรื่องการทหาร แต่หากดูตามวันเวลาแล้ว สิ่งที่ฟู่เสี่ยวกวนเอ่ยในพิธีถวายความเคารพนั้นเป็นเรื่องจริง ทว่าบัดนี้เขาควรประจำการอยู่ที่เมืองกวนหยุนเพื่อบัญชาการมิใช่หรือ ?
เขายังมีอารมณ์พาเจี่ยหนานซิงไปเที่ยวอยู่อีกหรือ ?
หรือวันนั้นเขาเพียงแค่เอ่ยเล่น ๆ เท่านั้น ?
ขณะที่ในสมองของโหยวเป่ยโต้วเต็มไปด้วยคำถาม ฟู่เสี่ยวกวนก็ได้เอ่ยต่อว่า “พวกเราจะนั่งเรือจากท่าเรือเจียงเฉิงไปยังเมืองจินหลิง จากนั้นก็ถือโอกาสแวะไปยังซีซาน หลังจากนั้นก็พักอยู่ที่เมืองจินหลิงสักสองสามวันเพื่อชมบุปผาและไปเล่นว่าวบนภูเขาเถิงซีนอกเมืองจินหลิง”
“หลังจากนั้นก็เดินทางไปยังชื่อเล่อชวนเพื่อชมทุ่งหญ้าอันกว้างไกลสุดลูกหูลูกตา จากนั้น…ก็เดินทางไปยังซีเซี่ยเพราะที่นั่นได้กลายเป็นหนึ่งในเขตปกครองตนเองของต้าเซี่ยแล้ว ข้ามิค่อยรู้จักที่นั่นสักเท่าใดนัก ดังนั้นข้าคิดว่าควรเดินทางไปเที่ยวชมสักหน่อย หากท่านรู้สึกเหนื่อยและต้องการพักที่เมืองจินหลิง ก็สามารถพักอยู่ในจวนเจิ้นกั๋วกงได้ ข้าจะส่งคนไปคอยดูแลจนกว่าตัวข้ากลับมา ท่านคิดเห็นเยี่ยงไร ? ”
เจี่ยหนานซิงมิได้รับรู้ถึงสถานการณ์ที่เกิดขึ้นภายนอก เขารู้สึกประหลาดใจเป็นอย่างยิ่ง… “ฝ่าบาททรงยึดซีเซี่ยมารวมกับต้าเซี่ยได้แล้วหรือพ่ะย่ะค่ะ ? ”
“อืม…ที่นั่นดีมิน้อยเลยล่ะ”
เจี่ยหนานซิงรีบตอบกลับขึ้นมาทันใด “กระหม่อมต้องเดินทางไปเยือนซีเซี่ยกับฝ่าบาทให้จงได้พ่ะย่ะค่ะ”
“ได้ ! เช่นนั้นพวกเราก็ไปเยี่ยมชมซีเซี่ยด้วยกันเถิด”
โหยวเป่ยโต้วตะลึงงัน ราวกับว่าเขาจะเข้าใจในบางสิ่งขึ้นมาแล้ว… การที่ฟู่เสี่ยวกวนจะเดินทางไปเยือนซีเซี่ยในครานี้ เกรงว่าจะมิใช่การไปเที่ยวเล่น !
ผ่านซีเซี่ยขึ้นไปทางเหนือก็จะเป็นราชวงศ์เหลียว… เขาต้องไปตีราชวงศ์เหลียวเป็นแน่ !
โหยวเป่ยโต้วมิค่อยรู้เรื่องราชวงศ์เหลียวสักเท่าใดนัก ทว่ามีความเป็นไปได้สูงว่าสถานที่แห่งนั้นจะกลายเป็นสนามรบหลัก !
ในเมื่อเป็นสนามรบย่อมมีอันตรายที่ยากต่อการคาดเดา การที่ฝ่าบาทเดินทางไปที่นั่นมิเท่ากับว่าเป็นการพาตนเองไปตกอยู่ในอันตรายหรือเยี่ยงไร ?
“กระหม่อมจะติดตามฝ่าบาทไปด้วยพ่ะย่ะค่ะ ! ”
“การเดินทางครานี้ค่อนข้างเอิกเกริก มีหนิงซือเหยียนเป็นผู้นำองครักษ์หลวงกว่าหนึ่งหมื่นนายและยังมีเป่ยหวังฉวนติดตามไปด้วย… ท่านจงรักษาแผลให้หายดีเถิด ข้าได้ยินมาว่าท่านได้รับบาดเจ็บจากการปกป้องท่าป๋าเฟิงเมื่อคราก่อน”
“ข้าหวังว่าเมื่อข้าหวนกลับคืนมาอีกครา ท่านและหนิงฝาเทียนจะหายเป็นปลิดทิ้ง ! ”
“ดินแดนของประเทศต้าเซี่ยนับวันยิ่งแผ่ขยายใหญ่ขึ้น พวกท่านเป็นดั่งเทพารักษ์ที่คอยปกปักรักษาต้าเซี่ย ! ดังนั้นต้องรักษาเนื้อรักษาตัวให้ดี เพื่อคอยอยู่คุ้มภัยให้แก่ต้าเซี่ยสืบไป ! ”
เมื่อฟู่เสี่ยวกวนเอ่ยออกมาเช่นนี้ โหยวเป่ยโต้วจึงอดมองเขาใหม่อย่างพินิจพิเคราะห์มิได้
บัดนี้ฟู่เสี่ยวกวนทอดสายตามองไปยังสวนดอกไม้ด้านนอก… อยู่ ๆ เขาก็รู้สึกสนใจดอกไม้เหล่านั้นขึ้นมา เขาเดินเข้าไปในแปลงดอกไม้แล้วเด็ดมันขึ้นมาหนึ่งดอกพลางเอ่ยถามว่า “ท่านรู้หรือไม่ว่านี่คือดอกไม้ชนิดใด ? ”
เจี่ยหนานซิงยิ้มตอบ “ทูลฝ่าบาท…ดอกไม้เหล่านี้พระสนมเหยียนเป็นผู้มอบให้ ในเมื่อพระนางมิทรงทราบ แล้วกระหม่อมจะทรงทราบได้เยี่ยงไรพ่ะย่ะค่ะ”
ฟู่เสี่ยวกวนหัวเราะร่า “มันเรียกว่าดอกทิวลิป ! ”
ดอกทิวลิปเยี่ยงนั้นหรือ ?
นามนี้ช่างไพเราะมากยิ่งนัก
ฟู่เสี่ยวกวนทราบดีว่าดอกไม้ชนิดนี้ทำให้ประเทศเนเธอร์แลนด์อดีตศูนย์กลางเศรษฐกิจอันยิ่งใหญ่ของทวีปยุโรปต้องล่มสลาย !
วิกฤตดอกทิวลิป หรือ Tulip Mania เป็นวิกฤตทางการเงินที่เกิดขึ้นระหว่างปี 1636-1637 ในประเทศเนเธอร์แลนด์ ก่อนหน้านั้นเนเธอร์แลนด์ยังไม่มีดอกทิวลิป ยุโรปก็ยังไม่มีทิวลิป มันเป็นสินค้าต่างแดนที่มาจากประเทศตุรกี ใครๆ ก็อยากจับจอง ราคาของมันจึงค่อยๆ สูงขึ้นทีละนิด จนทิวลิปหนึ่งหัวราคาพอกับเพนท์เฮาส์ สุดท้ายฟองสบู่ก็แตก