นายน้อยเจ้าสำราญ - ตอนที่ 1031 อารมณ์ซับซ้อนเมื่อใกล้ถึงบ้าน
ตอนที่ 1031 อารมณ์ซับซ้อนเมื่อใกล้ถึงบ้าน
จากท่าเรือเจียงเฉิงจนถึงท่าเรือเขตเหยา ความเร็วในการเดินทางโดยเรือที่มีเครื่องจักรไอน้ำเป็นตัวขับเคลื่อนใช้เวลาเพียง 4 วันเท่านั้น แม้ว่าจะเป็นการเดินทางทวนกระแสน้ำก็ตาม
เยี่ยนซีเหวินเดินทางจากเมืองหางโจวไปยังซีซานในเมืองหลินเจียงโดยมิได้หยุดพักซึ่งใช้เวลา 4 วันเต็มเช่นกัน
เขาเดินทางไปยังท่าเรือเขตเหยา เมื่อมองท่าเรือขนาดใหญ่ที่พลุกพล่านไปด้วยผู้คนจึงถอนหายใจออกมาด้วยความใจหาย…เขาเพิ่งจากลาเขตเหยาไปยังมิถึงสามปีด้วยซ้ำ ทว่าท่าเรือแห่งนี้กลับใหญ่โตจนสุดลูกหูลูกตาแล้ว
บัดนี้ท่าเรือเขตเหยาอยู่ภายใต้การดูแลของตระกูลหลู่ มีการก่อสร้างอู่ต่อเรือ 10 แห่งและยังมีท่าเทียบเรืออีกหลายสิบช่องด้วยกัน
อู่ต่อเรือเหล่านี้มิได้มีไว้เพื่อสร้างเรือรบอีกต่อไป ในตอนนี้มันมีไว้สำหรับการขนส่งสินค้าและการโดยสาร หมายความว่ามีไว้เพื่อต่อเรือขนส่งสินค้าและเรือบรรทุกผู้โดยสารนั่นเอง
ท่าเรือชุลมุนวุ่นวายเพราะต้องรับสินค้าเข้ามาจำนวนมหาศาลในแต่ละวัน สินค้าเหล่านี้มาจากแต่ละพื้นที่ของเจียงหนานเต้าและกำลังจะถูกส่งไปยังแต่ละพื้นที่ในประเทศต้าเซี่ย
วันนี้ท่าเทียบเรือว่างทั้งหมด 6 ช่อง คาดว่าจะเว้นไว้ให้เรือของฝ่าบาทเข้าเทียบท่า เยี่ยนซีเหวินเห็นหลู่เฟิงผู้นำตระกูลหลู่ยืนอยู่บริเวณนั้น
“คารวะท่านใต้เท้าเยี่ยนขอรับ ! ”
“คารวะหัวหน้าตระกูลหลู่ ! ”
“…” หลู่เฟิงเหลียวซ้ายแลขวา จากนั้นก็รู้สึกสงสัยขึ้นมาทันใด เห็นได้ชัดว่าเยี่ยนซีเหวินมารอรับเสด็จ เขาควรพาขุนนางจำนวนมากมาต้อนรับพระองค์มิใช่หรือ ?
“ใต้เท้า…ท่านมาคนเดียวเยี่ยงนั้นหรือขอรับ ? ”
“อืม…อย่าคิดมากไปเลยเพราะนี่คือพระประสงค์ของฝ่าบาท”
หลู่เฟิงผงะ เพราะตัวเขาขนญาติโกโหติกายกโขยงมาโดยพร้อมเพรียงกัน
“ฝ่าบาทมิทรงโปรดความครึกครื้นเยี่ยงนั้นหรือขอรับ ? ”
“มิใช่หรอก พระองค์มิโปรดอันใดที่เกินพอดีต่างหาก”
หลู่เฟิงครุ่นคิดอยู่ชั่วครู่ จากนั้นก็เอ่ยออกมาว่า “เช่นนั้นข้าน้อยจะนำบรรดาญาติพี่น้องกลับไปขอรับ”
“เจ้าให้บรรดาญาติกลับไปเสียก็ได้ แต่ทางที่ดีเจ้าควรอยู่รอพระองค์ เพราะคาดว่าฝ่าบาทคงมีเรื่องที่อยากจะเอ่ยถามเจ้ามากมาย”
“ข้าน้อยต้องจัดงานเลี้ยงที่เขตเหยาเพื่อต้อนรับหรือไม่ขอรับ ? ”
“ข้าคาดว่ามิจำเป็นเพราะฝ่าบาทนำองครักษ์หลวงมาตั้ง 10,000 นาย เช่นนั้นเจ้าจะจัดการเยี่ยงไร ? อีกอย่างฝ่าบาทมิได้กลับมายังซีซานเป็นเวลา 4 ปีแล้ว เกรงว่าพระทัยของพระองค์จะอยู่ที่ซีซานเสียมากกว่า”
หลู่เฟิงเข้าใจในทันที “เช่นนั้นข้าน้อยขอตัวไปบอกให้บรรดาญาติแยกย้ายกันกลับไปก่อนขอรับ”
……
……
ฟู่เสี่ยวกวนและชายอ้วนยืนรับลมอยู่บนเรือลำมหึมา
“ท่านอยากกลับไปเยี่ยมหลินเจียงหรือไม่ ? ” ฟู่เสี่ยวกวนเอ่ยถาม
“…แล้วเจ้าเล่า ? ”
ฟู่เสี่ยวกวนยืนนิ่งอยู่ครู่หนึ่ง “ก็ต้องแล้วแต่ท่านสิ ท่านมิได้พบพานบรรดาท่านน้าของข้ามานานเพียงใดแล้ว ? ”
ชายอ้วนได้แต่พยักหน้ารับ ทว่าดวงตาน้อย ๆ ของเขากลับทอดมองออกไปยังแม่น้ำที่กว้างไกล “เหมือนว่าจะสี่ถึงห้าปีได้แล้วล่ะ”
ฟู่เสี่ยวกวนจ้องมองไปที่ชายอ้วน จากนั้นก็เอ่ยถามด้วยน้ำเสียงจริงจังว่า “เหตุใดท่านต้องหลบหน้าพวกนางด้วย ? พวกนางบางคนแต่งงานกับท่านตั้งแต่อายุสิบห้าสิบหกปี ทั้งยังมีบุตรให้ท่าน จะทิ้งขว้างมิดูแลเช่นนี้น่ะหรือ ? ”
“ข้าดูแลพวกนางอยู่ตลอด ข้าให้เงินพวกนางใช้มิขาดมือ”
“ท่านคิดว่าพวกนางแต่งงานกับท่านเพื่อเงินอย่างนั้นหรือ ? ”
“แล้วจะเพื่อสิ่งใดอีกเล่า ? ”
ฟู่เสี่ยวกวนหัวเราะร่า “ท่านพ่อ อย่าหาว่าข้าตำหนิท่านเลย พวกนางแต่งงานกับท่านในขณะที่ตนเองกำลังเป็นสาวแรกรุ่น ทว่าท่านกลับทิ้งให้พวกนางเฝ้าเรือนอย่างโดดเดี่ยวตั้งสี่ห้าปี… ต่อให้พวกนางแต่งงานกับท่านเพราะเงินจริง ๆ ก็เถอะ แต่การที่ท่านปล่อยให้พวกนางเหี่ยวเฉาเช่นนี้ มันดีแล้วจริง ๆ หรือ ? ”
ใบหน้าของชายอ้วนเริ่มแดงเรื่อ เขาเบ้ปากแล้วเอ่ยออกมาว่า “แต่ข้ามิได้มีความรู้สึกพิเศษกับพวกนางนี่ ! ”
“ในอดีตท่านเป็นคนบอกข้าเองมิใช่หรือ ? ชายหญิงสองคนนอนกลิ้งอยู่ใต้ผ้าห่มในยามราตรีด้วยกัน ความรู้สึกก็ย่อมก่อขึ้นมาเอง เหตุใดเมื่อเป็นเรื่องของท่านเองถึงทำมึนเสียได้ ? ”
ฟู่เสี่ยวกวนนิ่งเงียบไปครู่หนึ่ง จากนั้นก็หันไปมองสีหน้างอง้ำของชายอ้วน “ข้าคิดว่าในใจของท่านยังคำนึงถึงไทเฮาซั่งอยู่ ทว่านางสิ้นลมไปแล้ว ท่านควรอยู่กับความเป็นจริง ! ท่านมีสนมมากถึง 6 คนซึ่งนั่นล้วนเป็นครอบครัวของท่าน ท่านพ่อ…ท่านมิใช่คนหนุ่มอีกต่อไปแล้ว เยี่ยงไรเสียท่านก็ต้องมีครอบครัวคอยดูแล”
ชายอ้วนทอดสายตามองแม่น้ำแยงซีอันเวิ้งว้างด้วยสีหน้าสับสน
ข้ากำลังทำอันใดอยู่กันแน่ ?
ทุกวันนี้เมื่อกลับไปใคร่ครวญถึงวันวานโดยละเอียดก็เหมือนว่ามีแต่เรื่องเหลวไหลอันใดมิรู้ เหมือนว่าที่ผ่านมาตนมิเคยทำสิ่งใดเป็นชิ้นเป็นอันสักอย่าง
หากถามว่าช่วงเวลาที่ตนมีความสุขมากที่สุดคือช่วงใด ก็คงเป็นคืนวันเหล่านั้นที่ได้อาศัยอยู่ในเมืองหลินเจียง การได้อยู่เคียงข้างฟู่เสี่ยวกวนจนเติบใหญ่ถือเป็นช่วงเวลาที่มีความหมายที่สุด
อาศัยอยู่ในจวนตระกูลฟู่และมีที่ดินผืนใหญ่อยู่ในมือ เป็นเศรษฐีที่ดินผู้ยิ่งใหญ่แห่งหลินเจียง จริงสิ ! ข้าเป็นเศรษฐีที่ดินแห่งหลินเจียง บัดนี้ซั่งรั่วซุ่ยได้กลายเป็นอดีตไปแล้ว ข้าก็ควรกลับมาอยู่กับความเป็นจริงเสียที
“เมื่อเสร็จสิ้นการเดินทางไปเยือนราชวงศ์เหลียวกับเจ้าในครานี้ ข้าจะกลับหลินเจียงและอีกครึ่งชีวิตที่เหลือของข้าคือการลงหลักปักฐาน ณ เมืองหลินเจียงเพื่อเป็นเศรษฐีที่ดินต่อไป ! ”
“จริงหรือท่านพ่อ ? ”
“ลูกรัก…พ่อร่อนเร่มานานหลายปี อยู่ ๆ ก็ฉุกคิดขึ้นมาได้ว่าหลินเจียงคือรากฐานของพ่ออย่างแท้จริง”
“เช่นนั้นท่านก็ควรปฏิบัติต่อบรรดาท่านน้าและบรรดาน้อง ๆ ของข้าให้ดีกว่านี้”
ชายอ้วนฉีกยิ้มจนเห็นฟัน “แน่นอนอยู่แล้ว พวกเขาคือสายเลือดของข้านี่ ! ”
ท้ายที่สุดปมในใจของชายอ้วนก็ถูกคลายออก ใบหน้าอ้วนกลมทอประกายเจิดจรัสใต้แสงสุริยาที่สาดส่องลงมา
“ข้าคิดว่าอย่างนี้ เจ้าเป็นจักรพรรดิเยี่ยงไรเสียก็คงมิได้ครองบัลลังก์ไปชั่วชีวิต เมื่อบุตรชายของเจ้าเติบใหญ่ เจ้าอาจจะเลือกสักคนมารับช่วงต่อ ถ้าเจ้าอยากกลับมา…ก็กลับมาที่เมืองหลินเจียงดีหรือไม่ ? ”
ฟู่เสี่ยวกวนยกยิ้มขึ้น “เช่นนั้นท่านจงดูแลทรัพย์สินของตระกูลไว้ให้ดี”
การหวนคืนสู่เหย้าเป็นสิ่งที่แน่นอนอยู่แล้ว แต่ให้กลับตอนนี้คงเป็นไปมิได้…อำนาจขององค์จักรพรรดิจะต้องส่งต่อให้ผู้อื่น ส่งต่อให้ผู้ใดก็ได้ที่มีความสามารถ ทว่าเหล่าเสนาบดีในราชสำนักคงมิเห็นด้วยอย่างแน่นอน
เพราะความคิดของพวกเขาฝังรากลึก พวกเขามีความจงรักภักดีต่อองค์เหนือหัวและจงรักภักดีต่อเลือดเนื้อเชื้อไขของพระองค์
หนางกงอี้หยู่และเมิ่งฉางผิงได้ทูลเสนอให้มีการแต่งตั้งองค์รัชทายาทอยู่หลายครั้งหลายครา หรือแม้แต่จัวอี้สิงที่อยู่ไกลถึงเมืองไท่หลินก็ได้ส่งจดหมายมาย้ำอยู่เนือง ๆ
เมื่อประเทศมิอาจไร้ประมุขได้ฉันใด ประเทศก็มิอาจไร้ซึ่งองค์รัชทายาทได้ฉันนั้น
ทว่าทุกวันนี้ฟู่เสี่ยวกวนยังมิเห็นชอบเพราะลูก ๆ ของตนยังเด็กจนเกินไป จำต้องรอให้พวกเขาเติบโตอีกสักหน่อย รอให้พวกเขารู้เรื่องรู้ราวเสียก่อน จากนั้นค่อยปล่อยให้แย่งชิงไขว่คว้าตำแหน่งกันเอง… มิใช่การแย่งชิงที่แอบทำสงครามอย่างลับ ๆ เหมือนกรณีของหยูเวิ่นเทียนกับหยูเวิ่นชู ทว่าเป็นการกล่าวสุนทรพจน์ต่อสาธารณชนต่างหาก
องค์ชายที่มีพระประสงค์จะแย่งชิงตำแหน่งองค์จักรพรรดินั้น สามารถก่อตั้งพรรคการเมืองของตนได้ พวกเขาจะต้องปราศรัยนโยบายในอนาคตเพื่อขอคะแนนเสียงสนับสนุนจากราษฎร
เมื่อผู้ที่ต้องลงคะแนนให้เป็นถึงองค์ชาย เยี่ยงนั้นกระแสคัดค้านต่อวิธีใหม่นี้ก็อาจจะน้อยลง
นี่คงเป็นก้าวสำคัญที่ตนได้ช่วยให้ราษฎรเกิดความตื่นรู้ขึ้นมาบ้าง
แต่เรื่องนี้ยังต้องรอนานอีกนับสิบปี เอาเถิด…ในตอนนั้นตนคงจะอายุสามสิบกว่าปีแล้ว
“บุตรชายเอ๋ย ข้าได้ยินพวกซูเจวี๋ยเอ่ยกันว่าพวกเขาไปขึ้นฝั่ง ณ ริมทะเลแห่งหนึ่ง ได้ยินมาว่าที่นั่นมีผืนปฐพีกว้างใหญ่ไพศาลทั้งยังมีชนเผ่าอาศัยอยู่มากมาย…พ่อคิดว่าเมื่อต้าเซี่ยบุกเบิกเส้นทางออกทะเลได้สำเร็จแล้ว พวกเราสามารถย้ายไปอาศัยที่นั่นได้ใช่หรือไม่ ? ”
“เมื่อครู่ท่านเพิ่งบอกว่าหลินเจียงคือรากฐานของท่านมิใช่หรือ ? ”
ฟู่เสี่ยวกวนมิค่อยเข้าใจเท่าใดนัก แต่เยี่ยงไรเสียความคิดของชายอ้วนก็เข้าท่าดี
“แท้ที่จริง อยู่ ๆ ข้าก็ฉุกคิดขึ้นมาได้ว่ารากฐานที่ว่ามิได้สำคัญมากถึงเพียงนั้น เพราะข้าสามารถไปลงหลักปักฐานที่ใดก็ได้” ชายอ้วนเหมือนคิดบางอย่างขึ้นมาได้จึงรู้สึกมีชีวิตชีวาและเอ่ยอย่างกระตือรือร้นออกมาว่า “เจ้าลองคิดดูเถิด หากวัฒนธรรมของต้าเซี่ยได้เผยแพร่ไปถึงที่นั่น ดินแดนที่เรียกว่าอะแลสกาอันใดนั่น… หากพวกเราไปเผยแพร่วัฒนธรรมและภาษาของต้าเซี่ยให้กับชนเผ่าพื้นเมืองเหล่านั้น นี่มิเท่ากับว่าอาณาเขตของต้าเซี่ยได้แผ่ขยายไปจนถึงดินแดนอันไกลโพ้นหรอกหรือ ? ”
“ท่านกำลังหนี ท่านต้องการหนีจากดินแดนที่ทำให้ท่านทุกข์ระทมมากกว่า ! ”
“มิใช่ ! ข้าต้องการไปขยายเผ่าพันธุ์ต่างหากและครานี้ข้าจะมิไปคนเดียวอย่างแน่นอน ข้าจะพาบรรดาน้าและน้อง ๆ ของเจ้าไปด้วย และข้าจะมีบุตรที่นั่นอีกหลายสิบคน ! ”
ฟู่เสี่ยวกวนตะลึงงัน ทันใดนั้นก็รู้สึกว่าความคิดของชายอ้วนเข้าท่ามิน้อย กองเรือรบของต้าเซี่ยจะสร้างสำเร็จภายในสองปีนี้และคงบุกเบิกเส้นทางเดินเรือได้สำเร็จ
เมื่อถึงเวลานั้นค่อยส่งคนไปสร้างท่าเรือไว้ที่อะแลสกาเพื่อที่จะได้ไปมาหาสู่กันได้อย่างสะดวก
เหมือนว่านี่จะเป็นความคิดที่ดีมากยิ่งนัก !