นายน้อยเจ้าสำราญ - ตอนที่ 1059 ก่อนศึกเริ่ม
ตอนที่ 1059 ก่อนศึกเริ่ม
ท้องนภาเริ่มมืดลง ฝนในรัฐจื่อฉีได้หยุดตกเนิ่นนานแล้ว สุริยายังคงสาดแสงสีแดงสะท้อนไปทั่วทั้งท้องนภา
มีกลิ่นดอกไม้ที่ซึมซับไปถึงจิตใจของผู้คนลอยอบอวลอยู่ในอากาศ สวนดอกลาเวนเดอร์ที่ไกลสุดลูกหูลูกตาหลังจากผ่านพ้นพายุฝน ราวกับเปลี่ยนไปจนดูงดงามยิ่งกว่าเดิม
ทว่าน่าเสียดายที่ตรงนั้นเป็นดินโคลน ดังนั้นฟู่เสี่ยวกวนจึงมิได้ใช้รถเข็นเพื่อพาเจี่ยหนานซิงออกไป
เจี่ยหนานซิงนั่งอยู่หน้าประตู แสงสุริยาสีแดงสะท้อนรับใบหน้าของเขา เขาจ้องมองไปยังทิวทัศน์ที่สวยงามหลังฝนตก ทันใดนั้นก็หัวเราะร่าขึ้นมา
เขาชี้ไปยังท้องนภาผืนนั้น “ฝ่าบาท ทรงทอดพระเนตร รุ้งพ่ะย่ะค่ะ ! ”
ฟู่เสี่ยวกวนเงยหน้าขึ้นมอง เป็นไปตามนั้น…สายรุ้งที่ตระการตาคาดอยู่บนท้องนภา ดูสวยงามมากยิ่งนัก
“รุ้งมักจะเกิดหลังจากพายุสิ้นสุดลง… พรุ่งนี้พวกเราจะออกเดินทางไปยังรัฐลู่ฉี เพื่อพบกับสหายเก่า”
“พ่ะย่ะค่ะ ! ”
…..
ณ รัฐลู่ฉี เผิงยวี๋เยี่ยนกำลังพบกับสหายเก่ารูปหนึ่ง เขาคือพระสงฆ์ที่มีนามว่าคูฉาน
“วัดป๋ายหม่ามิได้รับพระราชโองการให้ถอดออกไป วัดลันทาก็ยังคงอยู่ดังเดิม เพียงแต่พระสงฆ์ที่จำวัดอยู่ในนั้นได้ถูกเปลี่ยนยกชุด… เจ้ากลับไปแล้วจะมีประโยชน์อันใด ? ”
มือที่คลึงลูกประคำของคูฉานคล่อย ๆ คลายออกช้า ๆ “ข้าได้รับการเลี้ยงดูจากท่านอาจารย์จนเติบใหญ่ บัดนี้ท่านได้ไปพุทธมณฑลสถานแล้ว ข้าในฐานะลูกศิษย์…ก็ควรกลับไปท่องพระคัมภีร์ให้แก่เขา”
“ก็ดี…” เผิงยวี๋เยี่ยนนิ่งเงียบราวสองอึดใจ จากนั้นก็จ้องมองไปทางคูฉาน “ท่านเกลียดเขาหรือไม่ ? ”
เขาที่ว่าย่อมหมายถึงฟู่เสี่ยวกวนเป็นแน่แท้
หัวหน้านิกายฝู ฝานอู๋เซียงสิ้นใจด้วยปืนของฟู่เสี่ยวกวน ณ เมืองเปียนเฉิง ตอนนี้มันมิใช่ความลับแล้ว คูฉานเองก็ได้ทราบข่าวคราวเรื่องนี้มาเนิ่นนานแล้วเช่นกัน
จนถึงตอนนี้เขาเพิ่งจะตัดสินใจที่จะออกเดินทาง ก็เพราะในหนึ่งปีที่ผ่านมาเขาได้ครุ่นคิดถึงปัญหานี้มาโดยตลอด
ข้าควรเกลียดเขาหรือไม่ ?
คูฉานยังคงจำเรื่องราวในคฤหาสน์จิ้งหูที่เมืองกวนหยุนในปีนั้นได้ เขาได้ประพันธ์อธิษฐานใต้ร่มโพธิ์จนทำให้ตนเองรู้แจ้งขึ้นมาและย่างก้าวเข้าสู่หนทางวรยุทธ์ คูฉานในตอนนี้ได้ย่างก้าวเข้าสู่ประตูปรมาจารย์มาหนึ่งก้าวแล้ว
ความเข้าใจในวรยุทธ์ของเขารวมไปถึงหลักคำสอน เป็นฟู่เสี่ยวกวนที่เพิ่มระดับให้ทั้งสิ้น
แต่พระอาจารย์ก็เป็นผู้ที่เลี้ยงตนเองมาเช่นกัน เลี้ยงดูตนจนเติบใหญ่ ทั้งยังมอบคทาที่มีความหมายถึงตำแหน่งที่สูงที่สุดของนิกายฝูให้แก่ตนอีกด้วย ท่านอาจารย์คือคนที่สำคัญที่สุดในชีวิตของเขาคนหนึ่ง
ท่านอาจารย์ต้องการสังหารฟู่เสี่ยวกวน ทว่ากลับสิ้นใจในเงื้อมมือของฟู่เสี่ยวกวน
ด้านหนึ่งคือพระอาจารย์ผู้มอบวิชาให้ อีกด้านหนึ่งคือสหายที่ทำให้ตนตรัสรู้ ความแค้นนี้ควรค่าให้ชำระหรือไม่ ?
คูฉานยกยิ้มบาง ๆ “ในช่วงนี้ข้ามักคิดอยู่เสมอว่าพระพุทธคืออันใด ? ”
“ท่านอาจารย์บูชาพระพุทธมาทั้งชีวิต สุดท้ายก็ผิดศีลที่ว่าห้ามฆ่าสิ่งมีชีวิตและตกตายในเงื้อมมือของเขาในที่สุด นี่คือชะตากรรมที่ท่านได้รับ”
“เขามิบูชาศาสนา แต่เขาก็เข้าใจในคำสอนอย่างถ่องแท้ พระพุทธองค์ตรัสไว้ว่ากุศลทั้งหลายมีอยู่ทั่วไปในใต้หล้า อยู่ในที่ละเอียดอ่อนมิร้ายหมด หนทางที่ถูกต้องเป็นวิถีชีวิตให้แก่ทุกคน”
“การกระทำของเขาคือหนทางที่ถูกต้อง เขาน่าจะเกิดมาในหนทางที่ถูกต้อง ยามที่อยู่ในอดีตราชวงศ์หยู เขาก็ได้กอบกู้หลายสรรพสิ่ง และประเทศต้าเซี่ยในตอนนี้ เขากำลังวางแผนเพื่อราษฎรในใต้หล้า ดังนั้นการกระทำเล็ก ๆ น้อย ๆ ของท่านอาจารย์ จึงพ่ายแพ้ให้แก่หนทางที่ถูกต้อง นี่คือชะตากรรมของท่านอาจารย์ ดังนั้นข้าจึงคิดได้แล้วว่า ข้ามิได้เกลียดเขา”
เผิงยวี๋เยี่ยนรินชาให้กับคูฉานหนึ่งจอก เหลือบสายตามองพระสงฆ์รูปนี้ที่ยังเยาว์วัย เขามีท่วงท่าน่าเกรงขาม ดูทรงคล้ายกับเจ้าอาวาสมากขึ้นสองสามส่วนแล้ว
“เมื่อเจ้าคิดเยี่ยงนี้ได้ก็ถือเป็นเรื่องดี ข้ามิเข้าใจในหลักคำสอนของศาสนาพุทธหรอก ข้าทราบเพียงหนึ่งหลักการเท่านั้น ทุกอย่างพัฒนาไปตามกระแสของเวลา”
“ที่เคยเอ่ยกันว่าหากฟ้ามิให้กำเนิดฟู่เสี่ยวกวน ผู้คนจะตกอยู่ในความมืดมิดไปตลอดกาล… เมื่อมาลองใคร่ครวญดูดี ๆ แล้ว หากฟ้ามิให้กำเนิดฟู่เสี่ยวกวน ก็เกรงว่าใต้หล้านี้จะยังคงเป็นเฉกเช่นในอดีต”
“ผืนปฐพีนี้ ห้าแคว้นยืนหยัดร่วมกัน รบกันบ้างเป็นบางครา ชีวิตของราษฎรก็ผันผวนไปตามสันติและสงคราม มิอาจหาหนทางที่มั่นคงไปตลอดกาลได้”
“แท้จริงแล้วอีกฟากมหาสมุทรก็มีผู้คนอาศัยอยู่เช่นกัน เป็นคนที่แตกต่างจากพวกเราออกไป พวกเขาเคยไปมาแล้ว หากมิใช่เพราะเรือรบของฟู่เสี่ยวกวน หากมิใช่เพราะทหารเรือที่เขาก่อตั้งขึ้นมา… ข้าก็มิทราบแล้วว่าจะเกิดอันตรายมากมายเพียงใดยามที่ชาวต่างแดนพวกนั้นขึ้นฝั่ง แต่อย่างน้อยบัดนี้ในมหาสมุทร พวกเราก็ยังมิเห็นว่าจะมีประเทศใดที่เป็นคู่มือของเขาได้”
“เขาปรากฏตัวขึ้นมาโดยบังเอิญ ทว่าหนทางที่เขาเดินนั้น เป็นหนทางที่หลีกเลี่ยงมิได้ ดังนั้นข้าจึงมิได้เกลียดเขา แม้สามีของข้าจะตกตายด้วยกองทัพของเขา จนถึงขั้นที่ข้าได้ส่งบุตรชายทั้งสองไปเข้าร่วมกองทัพของเขา โดยที่มิใช่เพราะต้องการแก้แค้นแต่อย่างใด แต่เพื่อรักษาสันติอันยาวนานให้กับผืนปฐพีที่ใหญ่โตแห่งนี้”
เผิงยวี๋เยี่ยนลุกขึ้นยืน จากนั้นก็มองไปยังแสงสุริยาที่งดงามนอกหน้าต่างและทุ่งหญ้าเขียวขจีที่อยู่ภายใต้แสงสุริยานั้น ฤดูร้อนกำลังเบ่งบาน หญ้าบนที่ราบชังซีก็น่าจะเขียวเหมือนที่นี่แล้วเช่นกัน
ดอกไม้ป่า พากันเบ่งบานอย่างบ้าคลั่ง
หลุมศพของเขาตั้งอยู่ที่เนินเขาบนพื้นที่ราบชังซี สามารถมองเห็นอดีตฐานทัพของค่ายทหารกองทัพชายแดนใต้ได้ คาดว่าเขาน่าจะชอบพื้นที่ตรงนั้น
หนึ่งปีแล้ว หญ้าที่หน้าหลุมศพ ดอกไม้ที่หน้าหลุมศพ คาดว่าคงเบ่งบานขึ้นมาแล้ว
สิ่งที่นางเป็นกังวลในตอนนี้ก็คือบุตรชายทั้งสอง หากเจ้าสามารถรับรู้ได้…โปรดอวยพรให้กับบุตรชายทั้งสองด้วย
หากพวกเขาสามารถกลับมาได้อย่างปลอดภัย รอให้พวกเขามีเวลาว่าง ข้าจะพาพวกเขาไปชนจอกสุรากับเจ้า ณ พื้นที่ราบชังซี และจุดธูปหนึ่งดอก
หยูชุนชิวสละชีพเพื่อชาติ เขาสิ้นใจเพราะความภักดีต่อราชวงศ์หยู
เผิงยวี๋เยี่ยนไร้ซึ่งความคิดที่จะแก้แค้น สิ่งที่นางมีคือคุณธรรมอันสูงส่ง
มิมีผิดมีถูก เพียงแค่เป็นทางเลือกก็เท่านั้น
…..
…..
สุดท้ายซูฉางเซิงก็เลือกบัญชาการทหารไปทางเหนือ
กองทัพใหญ่ 250,000 นายตรงไปยังเมืองต้าติ้งเมืองหลวงของราชวงศ์เหลียวอย่างเอิกเกริก
เฮ้อซานเตาเลือกที่จะต่อต้านโดยมิลังเลแม้แต่น้อย เขาได้รวมกองทัพฝ่ายเหนือขององค์ชายรองจำนวน 200,000 นายและทหารรักษาเมืองอีกหนึ่งแสนกว่านายเข้าด้วยกัน
เขามิเหลือทหารไว้ในเมืองชั้นในแม้แต่คนเดียว เขาส่งทหารไปยังเมืองชั้นนอกทั้งหมด
บนกำแพงมีกองกำลังปกป้องอยู่อย่างหนาแน่น กองนาวิกโยธิน 20,000 นายของเขาถูกแบ่งออกเป็น 4 กอง โดยให้ผู้บัญชาการทั้งสี่เป็นผู้ควบคุมด้วยตนเองและคอยเฝ้าอยู่บนประตูเมืองทั้งสี่ด้าน
นี่คือศึกที่ท้าทายที่สุดตั้งแต่ที่เฮ้อซานเตาเข้าร่วมกองทัพดาบเทวะมา
“กลัวหรือไม่ ? ” ถังเชียนจวินเอ่ยถามขึ้นมา
“กลัวกับผีสิ ! หากตกตายในสนามรบ อีก 18 ปีให้หลังข้าก็ยังเป็นชายอกสามศอกอยู่ดี ! ”
ถังเชียนจวินหัวเราะร่าขึ้นมา “เจ้าว่าหากพวกเราสามารถเกิดใหม่ได้จริง ๆ ในชาติหน้าเจ้าหวังจะเกิดในตระกูลแบบใดกัน ? ”
เฮ้อซานเตาตอบอย่างมิลังเลว่า “ย่อมเป็นตระกูลจู้กั๋ว ! ”
“ข้าเองก็คิดเช่นเดียวกัน ทว่าข้ามิอยากเกิดในตระกูลจู้กั๋ว”
เฮ้อซานเตาจ้องมองถังเชียนจวินด้วยสวยตาตกตะลึง “เพราะเหตุใดกัน ? ”
“มิมีเหตุผลอันใดทั้งนั้น เจ้าคิดเสียว่าข้าอยากจะเปลี่ยนสภาพแวดล้อมก็แล้วกัน”
สุดท้ายถังเชียนจวินก็มิได้เอ่ยถึงความกดดันที่เกิดมาในตระกูลขุนนางระดับสูงออกไปให้เขาฟัง ชั่วชีวิตของเขาอยู่แต่ในกรอบของท่านปู่มาโดยตลอด ตั้งแต่เกิดจนถึงบัดนี้และรวมไปถึงในอนาคต เหมือนว่ายากที่จะเปลี่ยนแปลงได้แล้ว
เขาจะต้องเติบโตขึ้น และจะต้องแบกรับเสาขนาดใหญ่ของจวนจู้กั๋วเอาไว้
เขาพยายามร่ำเรียนและฝึกฝนวรยุทธ์อย่างหนัก และบัดนี้เขาก็ได้ก้าวเข้าสู่ขั้นที่หนึ่งแล้ว ทั้งยังประสบความสำเร็จในการเป็นเสนาธิการของกองนาวิกโยธินอีกด้วย
บนเส้นทางนี้ ตามแผนการที่ท่านปู่วางไว้ คาดว่าเขาคงจะกลายเป็นเทพแห่งการทหารอีกหนึ่งรุ่น
ทว่าในยุคสมัยนี้กลับมีแม่ทัพที่โดดเด่นปรากฏตัวออกมาเป็นจำนวนมาก อย่างเช่นท่านแม่ทัพใหญ่ไป๋ยู่เหลียน อย่างเช่นคนที่อยู่เบื้องหน้าเขาอย่างเฮ้อซานเตาที่ดูไร้เหตุผลและคนอื่น ๆ อีกมากมาย
สามารถเอ่ยได้ว่าผู้บัญชาการทหารทุกคนของประเทศต้าเซี่ยต่างก็โดดเด่นมากยิ่งนัก ต่างก็เป็นคนที่เขามิอาจข้ามผ่านได้
เขารู้สึกว่าตำแหน่งเสนาธิการนี้ก็มิเลวแล้ว แต่เหมือนว่าท่านปู่จะยังมิพอใจกับตำแหน่งนี้ ดังนั้นคู่หมั้นของเขาก็คือเมิ่งอีเหลียนหลานสาวของอัครมหาเสนาบดีประเทศต้าเซี่ยเมิ่งฉางผิง
“อุดมการณ์ของฝ่าบาทคือต้องการเป็นเพียงคุณชายเศรษฐีที่ดิน เจ้าว่านี่มันหมายความว่าเยี่ยงไร ? ก็หมายความว่าอนาคตของคุณชายเศรษฐีที่ดินนั้นไร้ที่สิ้นสุดเยี่ยงไรเล่า ! ”
ถังเชียนจวินยกยิ้มขึ้นมา ฝ่าบาทประสงค์จะมีอนาคตที่ไร้ที่สิ้นสุดเยี่ยงนั้นหรือ ?
ฝ่าบาททรงไล่ตามอิสระต่างหากเล่า !
เขาเองก็ต้องการมันเช่นกัน !