นายน้อยเจ้าสำราญ - ตอนที่ 1076 การปกครองที่โหดร้ายทารุณ
ตอนที่ 1076 การปกครองที่โหดร้ายทารุณ
ชายอ้วนจากไปแล้ว
ก่อนไปเอ่ยว่าจะไปอีกฟากฝั่งของทะเล
สุดท้ายแล้วชายอ้วนที่เลี้ยงดูเขามาสิบกว่าปี ก็ใช้โอกาสที่เขามิอยู่ข้างกายเดินทางจากเขาไป คาดว่าชายอ้วนคงอยากหลีกเลี่ยงความรู้สึกโศกเศร้าที่จะต้องอำลากัน
เขาจะไปที่ใดเยี่ยงนั้นหรือ ?
ต่างแดนที่ไกลโพ้น…ท่านพ่อ ท่านต้องรักษาตัวด้วย !
ฟู่เสี่ยวกวนถอนหายใจยาว จากนั้นก็เดินมาถึงบ้านของหลี่ซิ่วไฉ
หลี่ซิ่วไฉรู้สึกตื่นตระหนกเล็กน้อย เมื่อเห็นคนกลุ่มนี้ผ่านช่องหน้าต่าง พลางครุ่นคิดในใจว่าบุคคลสำคัญเยี่ยงนี้มาทำอันใดในหมู่บ้านเล็ก ๆ ที่ยากจนข้นแค้นนี้กัน ?
ฟู่เสี่ยวกวนเดินมาหยุดอยู่เบื้องหน้ากระท่อมของหลี่ซิ่วไฉ แม้ว่าจะชำรุดทรุดโทรมไปบ้างทว่าก็จัดเก็บได้สะอาดเรียบร้อย จากนั้นเขาก็เดินไปเคาะประตูที่ปิดอยู่
หลี่ซิ่วไฉนิ่งเงียบไปครู่หนึ่ง พลางครุ่นคิดในใจว่านี่คือคนสำคัญจากประเทศต้าเซี่ย มิใช่ขุนนางจากราชวงศ์เหลียว และที่เขามาที่นี่อาจจะมาเพื่อเรียนรู้สถานการณ์ในอดีตของราชวงศ์เหลียวแห่งนี้ ซึ่งนี่ถือว่าเป็นเรื่องที่ดี
อยากจะให้คนสำคัญท่านนี้ นำเรื่องราวต่าง ๆ ไปกราบทูลต่อองค์จักรพรรดิ ให้พระองค์ได้รับรู้ถึงความทุกข์ทรมานของราษฎรราชวงศ์เหลียว บางทีองค์จักรพรรดิอาจจะเข้าใจและเห็นอกเห็นใจ แล้วยกเว้นภาษีเกษตรให้กับราษฎรได้จริง ๆ
ทว่าหากบุคคลสำคัญท่านนี้อารมณ์แปรปรวน และมิเห็นใจราษฎรล่ะก็…หากข้าเอ่ยความจริงออกไปจะนำหายนะมาสู่ตัวข้าหรือไม่ ?
บ้านหลังนี้ล้วนพึ่งพาเขาเพียงคนเดียวเท่านั้น หากคนสำคัญท่านนี้มิพอใจ แล้วจับตัวเขาไปขังไว้ในคุก ท่านแม่จะอยู่ต่อไปได้เยี่ยงไรเล่า ?
“ลูกเอ๋ย…ดูเหมือนจะมีคนมาเคาะประตู”
ในขณะที่หลี่ซิ่วไฉกำลังสับสนอยู่นั้น ท่านแม่ที่นอนพักรักษาตัวอยู่ที่ห้องด้านหลังก็เอ่ยทักขึ้นมา
“ขอรับท่านแม่ ข้าจะไปเปิดประตูประเดี๋ยวนี้”
หลี่ซิ่วไฉทำท่าทางเด็ดเดี่ยวแล้วเดินไปเปิดประตู สิ่งที่เขาเห็นคือใบหน้าที่เต็มไปด้วยความเหนื่อยเมื่อยล้าจากการเดินทาง
สีหน้าสดใสปรากฎขึ้นมาบนใบหน้าของเขาพร้อมกับรอยยิ้มที่อ่อนโยน “พี่ชายท่านนี้ พวกเราเดินทางมาจากจินหลิง พวกเรามิใช่คนมิดีแต่อย่างใด พี่ชายอย่าได้กลัวไปเลย ข้าขอพักเหนื่อยที่บ้านของเจ้าได้หรือไม่ ? ”
หลี่ซิ่วไฉจ้องมองไปยังผู้อาวุโสทั้งสามคนและสาวใช้ที่อยู่ด้านหลังบุคคลสำคัญท่านนี้ ดูท่าทางผู้อาวุโสทั้งสามจะเป็นผู้ที่มีเมตตาและคงจะเป็นผู้ช่วยของบุคคลสำคัญท่านนี้ ส่วนสาวใช้ผู้นั้นก็งดงามดั่งเทพธิดาจนทำให้เขามิกล้าที่จะมองไปตรง ๆ หลี่ซิ่วไฉรู้สึกมั่นใจมากยิ่งขึ้นว่าชายหนุ่มที่อยู่เบื้องหน้าเขามีภูมิหลังที่ดี
เขาเคารพหนึ่งคราอย่างเร่งรีบ จากนั้นก็เอ่ยขึ้นมาว่า “บ้านของข้ายากจนข้นแค้นมากยิ่งนัก หากคุณชายมิถือสาก็เชิญด้านในเถิดขอรับ”
ฟู่เสี่ยวกวนย่อมมิได้ถือสาเรื่องนี้อยู่แล้ว เขาก้าวข้ามธรณีประตูแล้วเดินเข้ามาในเรือน
หลี่ซิ่วไฉใช้แขนเสื้อเช็ดเก้าอี้มิกี่ตัวให้สะอาด จากนั้นก็ยกมาให้พวกเขา ทว่ามิได้ต้มชาต้อนรับแขก เพราะว่าเขานั้นมิมีใบชาเลย
“ที่นี่เรียกว่าหมู่บ้านฮวงหลิน ช่างเป็นชื่อที่เหมาะสมมากยิ่งนัก หมู่บ้านแห่งนี้มีกี่ครัวเรือนเยี่ยงนั้นหรือ ? ”
ฟู่เสี่ยวกวนจ้องมองไปยังกระท่อมที่เรียบง่ายพลางเอ่ยถามหลี่ซิ่วไฉที่ยังคงตกอยู่ในอารามประหม่า หลี่ซิ่วไฉกลืนน้ำลายลงไปหนึ่งอึกแล้วตอบด้วยน้ำเสียงแผ่วเบาว่า
“เรียนคุณชาย…เดิมทีหมู่บ้านฮวงหลินแห่งนี้มีชาวบ้านอาศัยอยู่ 36 ครัวเรือน แต่เนื่องจากมีสงครามติดต่อกันมานานหลายปี ผู้ที่มีหนทางหน่อยก็ล้วนออกไปจากหมู่บ้านแห่งนี้กันหมดแล้ว ขณะนี้เหลืออยู่เพียง 13 ครัวเรือนและ 45 คนเท่านั้นขอรับ”
“ตอนเดินทางมาที่นี่ข้าได้ยินมาว่ามีการสู้รบระหว่างราชวงศ์เหลียวและซีเซี่ยยังมิหยุดยั้ง พี่ชาย…ท่านยังสามารถดำรงชีวิตต่อไปได้อยู่อีกหรือ ? ”
หลี่ซิ่วไฉใจเต้นแรงขึ้นมาทันใด พลางครุ่นคิดว่าบุคคลสำคัญท่านนี้มาเพื่อสอบถามเรื่องราวที่นี่จริง ๆ ด้วย
เขามิรู้ฐานะของบุคคลสำคัญท่านนี้ และยิ่งมิรู้นิสัยของบุคคลสำคัญท่านนี้ เขาเอ่ยถามคำถามที่ละเอียดอ่อนออกมาเพื่ออันใดกัน
เมื่อนึกถึงกองทัพอันทรงพลังที่อยู่ข้างนอกของบุคคลสำคัญท่านนี้ หลี่ซิ่วไฉก็ยิ่งตื่นตระหนกตกใจ เขาตอบกลับด้วยใบหน้าฝืนยิ้ม “นี่…มันก็ผ่านมาหลายปีแล้ว ข้าก็เลยคุ้นชินกับมันเสียแล้ว”
ฟู่เสี่ยวกวนหัวเราะออกมาทันใด พลางครุ่นคิดว่าบุรุษที่อยู่เบื้องหน้าสวมเสื้อบัณฑิตสีเขียวอมน้ำเงิน แม้ว่าเสื้อบัณฑิตจะเก่าไปบ้างทว่าก็ยังดูสะอาดสะอ้าน หากมิใช่เพราะใบหน้าที่ดำคล้ำ เขาก็จะยิ่งดูเหมือนบัณฑิตเข้าไปอีก
“พี่ชายมีนามว่าเยี่ยงไร ? ”
“ข้าน้อยแซ่หลี่ นามว่าตงเซิง”
“อ่า…ครอบครัวของพี่หลี่มีกี่คนเยี่ยงนั้นหรือ ? ”
“มีเพียงข้าน้อยและท่านแม่เท่านั้นขอรับ”
ฟู่เสี่ยวกวนยื่นหัวมองดูรอบ ๆ “ท่านป้าอยู่ที่ใดแล้วเล่า ? อากาศร้อนอบอ้าวเยี่ยงนี้ยังทำงานอยู่ข้างนอกอีกหรือ ? ”
“คือ…ท่านแม่มิสบายนอนป่วยอยู่บนเตียงขอรับ”
“ไอหยา…เมื่อครู่ข้าไปดูต้นกล้าในนา พี่หลี่ข้ามองดูแล้วคาดว่าข้าวที่ปลูกเอาไว้ในนามิอาจเก็บเกี่ยวได้แล้ว เรื่องอาหารที่บ้านท่านจะทำเยี่ยงไรต่อไป ? ข้าได้ข่าวว่าจ่งตูคนใหม่ยกเว้นภาษีเกี่ยวกับการเกษตรทุกชนิด… หากมิต้องเสียค่าภาษี จะมีปัญหาเรื่องของอาหารการกินอยู่อีกหรือไม่ ? ”
ดวงตาของหลี่ซิ่วไฉเปล่งประกาย “คุณชาย ท่านจ่งตูหนิงได้ยกเว้นภาษีเกษตรจริง ๆ หรือ ? ”
ฟู่เสี่ยวกวนพยักหน้าอย่างจริงจัง เมื่อหลี่ซิ่วไฉเห็นดังนั้น จึงมีรอยยิ้มแห่งความสุขปรากฏขึ้นมาทันใด ดูเหมือนว่าข่าวที่เขาได้ยินมาจากสหายจะเป็นเรื่องจริง
“นี่…ช่างเป็นข่าวดีมากยิ่งนัก ข้าขอเอ่ยตามจริงกับคุณชายว่าพวกเรากำลังทุกข์ใจกับภาษีของปีนี้อยู่”
หลี่ซิ่วไฉสูดหายใจเข้าลึก ความรู้สึกตึงเครียดภายในจิตใจได้ผ่อนคลายลงไปบ้างแล้ว อาจจะเป็นเพราะว่าได้รับการยืนยันข่าวดีที่ได้ยินมา จากนั้นเขาก็เริ่มสนทนาอย่างเป็นกันเองว่า
“คุณชายคงยังมิทราบว่าการเรียกเก็บภาษีของอดีตราชวงศ์เหลียว…” เขาส่ายศีรษะแล้วเอ่ยต่อว่า “มิเหลือทางรอดชีวิตให้แก่ราษฎรเยี่ยงพวกเราเลย ! ”
“เมื่อสิบปีก่อนเรียกเก็บภาษาสองส่วน ห้าปีต่อจากนั้นเรียกเก็บเพิ่มอีกสามส่วน พอผ่านไปอีกสองปีเรียกเก็บเพิ่มอีกสี่ส่วน และเมื่อปีที่แล้วได้ตั้งกฎหมายขึ้นมาใหม่ ให้ชำระข้าวเป็นภาษีสิบส่วนหรือเป็นจำนวนเงินสองตำลึง…”
“หากเป็นทุ่งนาของพวกเราเองอาจจะพอเก็บเกี่ยวได้อยู่บ้าง แต่ 1 หมู่ให้ผลผลิตข้าวอย่างมากที่สุดก็แค่ 200 ชั่งนี่ถือว่าเป็นปีที่โชคดีมากแล้ว ทว่าปีนี้แม้จะเก็บเกี่ยวมิได้แต่ก็ต้องจ่ายภาษีให้แก่ราชสำนักโดยห้ามขาดไปแม้แต่อีแปะเดียว”
“เรื่องภาษีการเกษตรก็เป็นเช่นนี้ ทว่าเมื่อมิกี่ปีมานี่ได้ตั้งกฎออกมายุ่งเหยิงไปหมด โดยตั้งกฏว่าหากเลี้ยงแกะต้องจ่ายภาษีต่อตัว หากมีบุตรจะต้องจ่ายภาษีต่อคน ทุกปีแต่ละครัวเรือนจะส่งบุตรหลานไปเป็นบ่าวรับใช้เป็นเวลาสองเดือน แต่กลับไม่มีสิ่งใดให้ทำเลย ดังนั้นจึงเปลี่ยนเป็นเงินหนึ่งหรือสองตำลึงและเรียกชื่อที่ดีหน่อยก็คือภาษีแรงงาน”
“เมื่อปีที่แล้วครอบครัวของข้าได้ปลูกข้าวไป 10 หมู่ และเลี้ยงแกะ 2 ตัวหากรวมภาษีทั้งหมดก็ต้องจ่ายเงินมากถึง 15 ตำลึง ! ข้ามิกลัวที่จะขายหน้าต่อหน้าคุณชาย หากมิใช่เพราะได้ลงมือปลูกข้าวสาลีในที่นาที่รกร้างว่างเปล่าและรวมกับผักป่าที่ขึ้นเองตามธรรมชาติก็คงจะอดตายไปเนิ่นนานแล้ว”
ฟู่เสี่ยวกวนขมวดคิ้วเล็กน้อย พลางครุ่นคิดว่าเส้นทางและสาเหตุของการล่มสลายของแต่ละราชวงศ์นั้นมิต่างกันเลยสักนิด
วาระสุดท้ายของราชวงศ์ พวกเขาขูดรีดภาษีหนักจากราษฎร จนทำให้ราษฎรมิสามารถอดทนจนลุกขึ้นต่อสู้
ความปรารถนาของราษฎรมีมากเกินไปเยี่ยงนั้นหรือ ?
ก็มิได้มีมากถึงเพียงนั้น
พวกเขาจะมิลุกขึ้นมาก่อกบฏหากมีอาหารให้กินอิ่ม มีสถานที่ให้นอนหลับ แต่คนเหล่านั้นกลับมิยินยอมให้พวกเขาได้กินอิ่มนอนอุ่น ทั้งยังบีบบังคับให้พวกเขามิมีทางออกอีก
“การปกครองที่โหดร้ายทารุณ…”
ฟู่เสี่ยวกวนถอนหายใจออกมาเบา ๆ “สถานการณ์ในตอนนี้ดีขึ้นแล้วเพราะจ่งตูคนใหม่ได้ประกาศยกเว้นภาษีอย่างเป็นทางการแล้ว คาดว่าหลังจากนี้ชีวิตความเป็นอยู่ของพวกเจ้าจะดีขึ้น อ้อ ! ได้ข่าวว่าจ่งตูหนิงได้ระดมอาหารทุกพื้นที่ในต้าเซี่ย ซึ่งจะถูกส่งมาที่นี่โดยใช้เวลาในการเดินทางราวสองหรือสามเดือน เขาจะช่วยทำให้ภัยพิบัติในปีนี้ผ่านพ้นไปได้ด้วยดี”
ดวงตาของหลี่ซิ่วไฉเปล่งประกายขึ้นมาทันใด “จริงหรือขอรับ ? ข้าขอเอ่ยตามจริงแก่คุณชายว่า ผู้คนในหมู่บ้านฮวงหลินกำลังเตรียมตัวหนีภัยกันแล้วขอรับ”
“จริงหรือ ? ทว่าอาหารนี้มิได้ให้เปล่า ๆ หรอกนะ คาดว่าน่าจะมีนโยบายใช้แรงงานของพวกเจ้าในการสร้างถนนเพื่อแลกกับอาหาร”
“ย่อมมิมีปัญหา ดีกว่าต้องอดตายขอรับ ! ”
ฟู่เสี่ยวกวนลุกขึ้นยืน “พวกเจ้าจะต้องข้ามผ่านปีนี้ไปให้ได้ เมื่ออาหารบรรเทาทุกข์มาถึงที่นี่ คาดว่าปีหน้าก็จะดีกว่านี้”
เขาหันหลังเดินจากไป หยุดยืนอยู่ที่หน้าประตูแล้วขมวดคิ้วขึ้นมาทันใด