นายน้อยเจ้าสำราญ - ตอนที่ 1093 คนเก่า
ตอนที่ 1093 คนเก่า
บทกวี ‘มัวยวี๋เอ๋อร์ วันเวลาผ่านไปทุกคนอยู่หนใด’ ทำให้บรรยากาศในห้องขึ้นไปสู่จุดสูงสุดทันพลัน
มิมีผู้ใดนั่งสำรวมอีกต่อไป และมิมีผู้ใดปฏิบัติกับฟู่เสี่ยวกวนในฐานะองค์จักรพรรดิผู้สูงศักดิ์อีก
อย่างน้อยในตอนนี้ ฟู่เสี่ยวกวนก็คือสหายของพวกเขา
“พรสวรรค์ของเจ้ายังคงยอดเยี่ยมดังเดิม ข้าขอชนกับเจ้าหนึ่งจอก การที่พวกเราได้มาพบกันถือเป็นพรหมลิขิต ! ”
“เอ่ยได้ดี บำเพ็ญร้อยปีกว่าจะได้ขึ้นเรือลำเดียวกัน บำเพ็ญพันปีจึงจะได้หลับใหลไปด้วยกัน… อย่างน้อยตอนนี้พวกเราก็ได้ลงเรือลำเดียวกันแล้ว นี่คือโชคชะตาที่บำเพ็ญมานับร้อยปี หมดจอก ! ”
“…..”
เพียงพริบตาเดียว ฟู่เสี่ยวกวนก็ดื่มไปถึงแปดจอก เมื่อมีอาการเมามายถึงห้าส่วน เขาจึงนั่งลงและทานอาหารอยู่สองคำ “พวกเราดื่มช้าลงหน่อยเถิด อีกประเดี๋ยวพวกเราไปดื่มสุราสนามที่สองกันต่อที่หอหลิวหยุน ! ”
“ฮ่า ๆ ๆ ๆ วันนี้มิเมามิเลิกรา ! ”
“ใช่ ๆ ๆ มิได้ดื่มสุราอย่างสบายอารมณ์เยี่ยงนี้นานแล้ว มา ๆ ๆ ทุกคนมาดื่มด้วยกัน ! ”
ทันใดนั้นชั้นสองของหอซื่อฟางก็เต็มไปด้วยเสียงอันดังสนั่น
…..
…..
ห้องเทียนอินแห่งหอหลิวหยุน ณ หลิวหยุนถาย
ประตูของห้องรับรองที่สองค่อย ๆ ถูกเปิดออก มีสตรีใบหน้าแดงก่ำเดินออกมาจากด้านในนางหนึ่ง
นางยืนอยู่ตรงทางเดิน จ้องมองห้องโถงใหญ่ที่ครึกครื้น และเดินไปจนสุดปลายทางเดินของชั้นสอง จากนั้นก็เดินออกไปทางประตูด้านข้าง
ลมหนาวได้พัดพาหิมะปลิวมากระทบกับใบหน้าของนาง นางสั่นสะท้านขึ้นมาทันใด กุมเสื้อคลุมเอาไว้แน่น ยืนอยู่ใต้ตะเกียงไฟบริเวณชายคาของระเบียง จ้องมองหิมะที่สะท้อนกับตะเกียงไฟจนกลายเป็นสีแดงด้วยสายตาว่างเปล่า นี่คือหิมะของจินหลิง งดงามราวกับยามที่ดอกยิงฮวาของหยวนตงเต้าเบ่งบาน
บัดนี้เขาอยู่ที่ใดกัน ?
เขาเป็นถึงองค์จักรพรรดิ แน่นอนว่าต้องอยู่ในวังหลวง คิดว่าบัดนี้คงกำลังนั่งผิงเตาผิงอยู่ และคงกำลังสนทนากับเหล่าชายาของเขา
เพียงพริบตาเดียวก็ผ่านไปหนึ่งปีแล้ว เกรงว่าเขาคงจะลืมข้าไปแล้ว
ช่างลืมกันได้ง่ายดายมากยิ่งนัก !
แล้วเหตุใดข้าถึงลืมเขามิได้กัน ?
นางคือเถิงหยวนจี้เซียง !
นางมาที่เมืองกวนหยุนอีกครา นางมาดูว่าธุรกิจที่เมืองกวนหยุนเป็นเยี่ยงไรบ้าง
ยามที่นางได้กลับไปยังหยวนตงเต้า นางได้นำสิ่งที่เรียกว่ากระป๋องไปด้วย
นางได้เปิดโรงงานกระป๋องแห่งหนึ่งขึ้นที่เซียอี๋ อาหารกระป๋องจำพวกปลาและกุ้งที่ผลิตออกมาถูกนำมาขายที่เมืองกวนหยุนโดยขนส่งผ่านเรือข้ามฟาก
นางได้อ่านจดหมายของหลงจู๊ที่ประจำอยู่เมืองกวนหยุน เขากล่าวว่าการค้าขายอาหารกระป๋องนั้นดีมากยิ่งนัก บัดนี้ถูกส่งขายไปทั่วทุกพื้นที่ในประเทศต้าเซี่ยด้วยเรือขนส่งเส้นทางแม่น้ำแยงซีแล้ว
ทว่ามีปัญหาอยู่หนึ่งอย่างคือกำลังการผลิตต่ำจนเกินไป บัดนี้สินค้ามิเพียงพอต่อความต้องการซื้อแล้ว
นางจึงเดินทางมาตรวจสอบด้วยตนเอง ซึ่งก็เป็นอย่างที่หลงจู๊ได้กล่าวเอาไว้ในจดหมาย ผู้คนจากทั่วสารทิศในประเทศต้าเซี่ยชื่นชอบปลากระป๋องและกุ้งกระป๋องเป็นอย่างมาก นางจึงตัดสินใจจะกลับเซียอี๋ในวันพรุ่งนี้ จำต้องอาศัยสถานการณ์ในตอนนี้ขยายโรงงานอาหารกระป๋องให้ใหญ่มากยิ่งขึ้น
หยวนตงเต้าในตอนนี้รุ่งเรืองกว่าปีที่ผ่านมามากยิ่งนัก
ตั้งแต่เปิดการขนส่งระหว่างเมืองเปียนเฉิงและหยวนตงเต้า การค้าระหว่างทั้งสองดินแดนก็เริ่มก่อตัวขึ้น สินค้าของประเทศต้าเซี่ยได้กระจายเข้าสู่หย่วนตงเต้า ทำให้ผู้คนในหยวนตงเต้าได้เปิดโลกทัศน์ขึ้นมา
และเช่นเดียวกัน สินค้าของหยวนตงเต้าก็ได้เข้าถึงทุกพื้นที่ของประเทศต้าเซี่ยเช่นกัน ทำให้ราษฎรในแต่ละท้องที่ได้พบกับความแปลกใหม่
ด้านการเกษตร ผลผลิตข้าวที่เก็บเกี่ยวได้เมื่อปีที่แล้วเยอะมากยิ่งนัก ผลผลิตของมันเทศก็เป็นที่น่าตกใจเช่นกัน เวลาเพียงแค่หนึ่งปี หยวนตงเต้าก็มิต้องกังวลเรื่องเสบียงอาหารอีกต่อไปแล้ว
การค้าเริ่มคึกคักมากยิ่งขึ้น พ่อค้าจากหยวนตงเต้าได้ข้ามฝั่งมายังเมืองเปียงเฉิงแห่งประเทศต้าเซี่ยเป็นการใหญ่
ทั้งหมดนี้ ต่างก็ประสบความสำเร็จภายใต้นโยบายที่เขาเสนอออกมา
ที่หยวนตงเต้าสามารถมีวันที่รุ่งเรืองดั่งวันนี้ได้ ล้วนมีความเกี่ยวข้องกับเขาทั้งสิ้น
เขาคือบุคคลที่มีพรสวรรค์ ทว่าน่าเสียดายที่ข้างกายของเขามิมีพื้นที่สำหรับตัวข้าอยู่เลย
วันนี้นางได้เชิญเหล่าพ่อค้าจากหยวนตงเต้ามายังห้องเทียนอิน ณ หอหลิวหยุน การค้าขายคือความประสงค์ของบิดา ในฐานะจ่งตูแห่งหยวนตงเต้า บิดาจำต้องได้รับการสนับสนุนจากพ่อค้าเหล่านี้
บิดาสั่งให้นางเข้าวังเพื่อไปพบเขา จะไปพบเพื่อการใดกัน ?
ปีที่แล้วข้าอยู่ที่เมืองกวนหยุน สุดท้ายเขาก็มิแม้แต่จะมาใยดีข้า ความหมายมันก็ชัดเจนอยู่แล้ว ให้ข้าไปพบเขาอีกครา ก็มีแต่จะเพิ่มความรำคาญให้เขาก็เท่านั้น
ค่ำนี้ดื่มไปค่อนข้างเยอะ เดิมทีคิดว่าจะลืมเขาได้ คาดมิถึงว่าจะคิดถึงยิ่งกว่าเดิม… นี่ข้าไปทำเวรทำกรรมอันใดไว้กัน !
เถิงหยวนจี้เซียงเงยหน้าขึ้นมองท้องนภาที่ดำทะมึนราวกับสีของน้ำหมึก จากนั้นก็สูดหายใจเข้าลึก ๆ อาการเมามายได้เจือจางลงไปแล้ว นางหันกลับเข้าไปในหอหลิวหยุน เมื่อเดินมาถึงหน้าประตูห้องเทียนอิน ก็เป็นอันต้องชะงักไปทันพลัน
…..
…..
ฟู่เสี่ยวกวนสวมอาภรณ์สีเขียวอ่อน มิมีผู้ใดในหอหลิวหยุนมองออกว่าเขาคือจักรพรรดิแห่งประเทศต้าเซี่ยคนปัจจุบันเลยสักคน
เขาพาเยี่ยนซีเหวินและคนอื่น ๆ เดินผ่านห้องโถงใหญ่และตรงขึ้นไปยังชั้นสอง !
ทว่าเถิงหยวนจี้เซียงกลับจำเขาได้ ต่อให้เขาเหลือเพียงเถ้าถ่านก็ยังสามารถจดจำเขาได้อยู่ดี !
ม่านตาของเถิงหยวนจี้เซียงหดลง ตื่นตกใจขึ้นมาทันพลัน นางกลืนก้อนน้ำลายลงไปอึกใหญ่ เขามาที่นี่ได้เยี่ยงไรกัน ?
เขามาพร้อมกับกลุ่มชายหนุ่มที่อายุรุ่นราวคราวเดียวกันกับเขา… คิดว่าน่าจะเป็นขุนนางของประเทศต้าเซี่ย
เขาต้องการเลี้ยงต้อนรับเหล่าชายหนุ่มที่นี่เยี่ยงนั้นหรือ ?
เขาจองห้องเทียนหยุนห้องที่หนึ่งไว้เป็นแน่ ซึ่งมิน่าแปลกใจที่ค่ำนี้เมิ่งซีมิออกมารับแขก
จากเสียงฝีเท้าที่ดังมา คณะของฟู่เสี่ยวกวนได้ขึ้นไปยังชั้นสอง หลังจากเถิงหยวนจี้เซียงครุ่นคิดอยู่ชั่วครู่ สุดท้ายก็เลือกที่จะหันหลังกลับไปเปิดประตูห้องเทียนอินและเดินเข้าไป
นางปิดประตูลง คิดว่าจะเป็นการปิดความคำนึงของนางได้แล้ว แต่คาดมิถึงว่าความคำนึงจะรุนแรงมากขึ้นเรื่อย ๆ
ฟู่เสี่ยวกวนมิทราบว่าห้องข้าง ๆ นั้นมีเถิงหยวนจี้เซียงที่เคยเสพสุขร่วมกับเขานั่งอยู่ เขาได้พากลุ่มสหายเดินเข้าไปในห้องเทียนหยุนภายใต้การนำทางของแม่นางเมิ่งซี
ประตูปิดลงแล้ว เสียงหัวเราะในห้องนั้นค่อย ๆ เบาลง
เมื่อสุราและอาหารถูกนำขึ้นโต๊ะ เสียงฉินที่แม่นางเมิ่งซีบรรเลงก็ดังขึ้นมา บทเพลงที่บรรเลงยังคงเป็นบทกวี “คลื่นลมทราย ชูจอกสุราขอลมบูรพา” ที่ฟู่เสี่ยวกวนเป็นผู้ประพันธ์
“ชูจอกสุราขอลมบูรพา โปรดสงบนิ่งอยู่ด้วยกันประเดี๋ยวก่อน
ทางเดินต้นหลิวสีม่วงมิได้อยู่ทางบูรพา
เพลานั้นจับมือกันเสมอมา ท่องไปรอบบุหงานานาพรรณ
รวมตัวและแยกจากทุกข์ระทมจนร้อนรน ความชิงชังไร้หนทางที่สิ้นสุด”
บุหงาปีนี้ผลิบานกว่าปีที่แล้วมา
เสียดายผกาปีหน้าที่ดียิ่งกว่า รู้ไหมว่าครุ่นคิดไว้เหมือนใคร”
นี่คือบทกวีที่ตรงกับสถานการณ์ตอนนี้ เมื่อแม่นางเมิ่งซีขับร้องจนจบ ก็ได้รับเสียงปรบมือเกรียวกราวทั่วทั้งห้อง
นางค่อย ๆ ลุกขึ้นยืนช้า ๆ จากนั้นก็รินสุราให้กับทุกคน และรินให้กับตนเองหนึ่งจอก
นางเอ่ยปากขึ้นอย่างช้า ๆ และนุ่มนวลว่า “ฝ่าบาทเพคะ หม่อมฉันขออภัยที่เสียมารยาท หากหม่อมฉันขอชนจอกสุรากับฝ่าบาทสักหนึ่งจอก จะได้หรือไม่เพคะ ? ”
“เอาเถิด…”
“หม่อมฉันขอบพระทัยฝ่าบาทเพคะ… ทั้งนี้ขอชนจอกกับฝ่าบาทและนายท่านทั้งหลาย ณ ที่นี้ หม่อมฉันขอขอบคุณการสนับสนุนจากทุกท่าน”
พวกเขาดื่มสุราพร้อมกันจนหมดจอก เยี่ยนซีเหวินหัวเราะน้อย ๆ จ้องมองเหตุการณ์เบื้องหน้าโดยที่สายตามิล่อกแล่กไปที่ใด
“เจ้าหัวเราะอันใดเยี่ยงนั้นหรือ ? ” ฉินโม่เหวินเอ่ยถามเสียงแผ่ว
“ประเดี๋ยวจะมีการแสดงที่น่าสนุกเกิดขึ้น”
เป็นเยี่ยงที่คิดเอาไว้ แม่นางเมิ่งซีได้หยิบยกขวดสุราและรินให้กับฟู่เสี่ยวกวนจนเต็มอีกครา หลังจากนั้นก็รินให้ตนเองจนเต็ม แล้วเอ่ยอย่างจริงใจว่า “เกรงว่าฝ่าบาทจะทรงลืมไปแล้ว เมื่อปีนั้นหม่อมฉันได้รับบทกวีไร้ซึ่งปรารถนาของฝ่าบาทในยามที่อยู่เรือนชิงเสียน หม่อมฉันอาศัยบทกวีนี้กลับมายังหลิวหยุนถายอีกครา ทั้งยังได้ขึ้นมาเป็นแนวหน้าของหอหลิวหยุนอีกด้วย”
“หม่อมฉันอยู่ที่หอหลิวหยุนมานานหลายปี หม่อมฉันร่ำร้องเพียงบทกวีที่ฝ่าบาททรงเป็นผู้ประพันธ์ ทุกคราที่ร้องก็จะนึกถึงฝ่าบาทขึ้นมา มิใช่เรื่องง่ายเลยที่ฝ่าบาทจะเสด็จมาเฉกเช่นวันนี้ หม่อมฉันขอชนจอกสุรากับฝ่าบาทสามจอก ได้หรือไม่เพคะ ? ”
ยังจะทำอันใดได้อีกกัน ?
มิสามารถยอมแพ้เรื่องสุราได้ !
ต่อให้ฟู่เสี่ยวกวนรู้สึกว่าตนเองเมามายไปแล้วเจ็ดส่วน ทว่าเมื่อแม่นางน้อยตั้งตาคอยเยี่ยงนี้ ก็มิอาจปฎิเสธความปรารถนาดีของผู้อื่นได้โดยปริยาย
“ดี ! ข้าจะชนกับแม่นางสามจอก ! ”
เมื่อสามจอกลงท้องไปแล้ว ฟู่เสี่ยวกวนก็รู้สึกมึนหัวมากยิ่งขึ้น ทว่ากลับเห็นดวงตาของแม่นางเมิ่งซีเปล่งประกายมากขึ้นเรื่อย ๆ ทั้งยังได้ยินแม่นางเมิ่งซีเอ่ยอย่างรอคอยว่า “หม่อมฉันขอบังอาจ มิทราบว่าฝ่าบาทจะประพันธ์กวีให้หม่อมฉันได้หรือไม่เพคะ ? ”