นายน้อยเจ้าสำราญ - ตอนที่ 1108 ข้าตัดสินใจแล้ว
ตอนที่ 1108 ข้าตัดสินใจแล้ว
“เจ้ารู้หรือไม่ ? ฝ่าบาทเสด็จมาที่เซี่ยเย๋ ! ”
“ได้ยินมาว่าคนของนายท่านเจ็ด ถูกสั่งสอนเสียจนราบคาบ”
“ใช่ ๆ ได้ยินมาว่าท่านแม่ทัพเฮ้อลงมือสังหารนายท่านเจ็ดด้วยตนเอง ! ”
“เช่นนั้นก็หมายความว่า…พวกที่ชอบข่มเหงรังแกผู้อื่นเหล่านั้นถึงคราวซวยแล้วสินะ ? ”
“ใช่ ! ท่านแม่ทัพเฮ้อเขียนประกาศออกมาด้วยตนเองว่า นับจากนี้ไปหากมีผู้ใดกล้ารังแกพวกเราอีก สามารถไปเรียกร้องที่ฐานทัพทหารได้ ! ”
“……”
การที่เมืองเซี่ยเย๋สามารถมีวันที่ท้องนภาโปร่งใสได้เช่นนี้ แน่นอนว่าเป็นเรื่องที่ดีมากยิ่งนัก !
ในอดีตนายท่านเจ็ดคิดว่าตนเองเป็นใหญ่นักหนา เขาถูกเฮ้อซานเตาสังหารไปแล้ว อีกทั้งยังจัดการกับทหารในกองพลที่หนึ่งนับร้อยคนของนายท่านเจ็ดจนสิ้น เรื่องนี้ทำให้ชาวบ้านและพ่อค้าในเมืองเซี่ยเย๋รู้สึกยินดีและโล่งใจเป็นที่สุด
โจวฮุยจูงมือลู่เอ๋อร์ที่กำลังอ่านประกาศใบนั้น เขาเพ่งพิจารณาไปยังประกาศนี้และอ่านซ้ำไปซ้ำมาถึงห้ารอบ จนในที่สุดก็หัวเราะเสียงดังขึ้นมา
เขาจูงมือลู่เอ๋อร์ไปยังโรงน้ำชาชุนยุน เถ้าแก่ของโรงน้ำชาได้เดินทางกลับมาแล้ว บรรดาโต๊ะเก้าอี้ที่ถูกทำลายจนเสียหายก็ได้เปลี่ยนเป็นโต๊ะใหม่แล้ว ในโรงน้ำชามีแขกนั่งจนเต็ม เมื่อโจวฮุยพิจารณาอย่างละเอียดแล้ว พบว่าบรรดาแขกในนี้ ล้วนกำลังสนทนาเรื่องที่ฝ่าบาทล้มนายท่านเจ็ดได้
“ลูกสาว…พ่อจะไปเล่าเรื่องแล้ว”
ลู่เอ๋อร์เงยหน้าขึ้นมองบิดาของตนด้วยความประหลาดใจ “ฝ่าบาทเสด็จมาที่เมืองเซี่ยเย๋แล้วมิใช่หรือ ? ท่านพ่อมิได้เอ่ยว่าจะไปเข้าเฝ้าฝ่าบาทด้วยตนเองหรอกหรือ ? ”
โจวฮุยนำมือขยี้ศีรษะของลู่เอ๋อร์ จากนั้นก็ยกยิ้มออกมาเบา ๆ แล้วเอ่ยว่า “พ่อตัดสินใจมิเข้าเฝ้าฝ่าบาทแล้ว”
“เพราะเหตุใดเล่าเจ้าคะ ? ”
“เพราะพ่อเข้าใจอย่างถ่องแท้แล้วว่า แม้ฝ่าบาทจะมีพระปรีชาสามารถเพียงใด แม้ว่าบรรดาขุนนางจะกระทำการอย่างโปร่งใสเพียงใด ใต้หล้านี้ก็ยังคงมีสถานที่ที่มืดมนอยู่ดี…นี่คือชีวิตของมนุษย์”
ลู่เอ๋อร์ทำหน้ามึนงง โจวฮุยจึงเอ่ยขึ้นมาอีกคราว่า “เจ้าถามพ่อว่าจะหลีกเลี่ยงได้เยี่ยงไรมิใช่หรือ ? ”
ลู่เอ๋อร์พยักหน้า โจฮุยได้จึงส่ายศีรษะช้า ๆ แล้วเอ่ยขึ้นมาว่า “พวกเรามิอาจหลีกเลี่ยงได้หรอก ดังนั้นพ่อมิจำเป็นต้องเข้าเฝ้าฝ่าบาทแล้ว พ่อจะเป็นนักเล่าเรื่องดังเดิม พ่อจะพาลู่เอ๋อร์เดินทางไปทั่วทุกแห่งหนในต้าเซี่ยอันกว้างใหญ่นี้ พวกเราจะเดินทางไปที่เมืองกวนหยุนและลงหลักปักฐานอยู่ที่นั่น พ่อจะเป็นนักเล่าเรื่องต่อไป ส่วนลู่เอ๋อร์ เจ้าจะต้องได้รับการศึกษา”
……
……
ณ ท่าเรือเซี่ยเย๋
ภายใต้การคุ้มกันของเฮ้อซานเตาและคนอื่น ๆ ฟู่เสี่ยวกวนได้ทำการขึ้นเรือรบกวนหยุนห้าวได้สำเร็จ
ในห้องโดยสารชั้นสาม เขายกกล้องส่องทางไกลขึ้นมองออกไปในมหาสมุทรอันกว้างใหญ่ ในใจเขารู้สึกถึงอารมณ์ที่แปลกประหลาด ตนได้เดินทางมายังใต้หล้านี้และได้ทำการเปลี่ยนแปลงอย่างมหาศาล ทว่านี่มิใช่ประวัติศาสตร์ของชาติที่แล้ว นี่ข้าอยู่ที่ใดกันแน่ ?
ดูเหมือนเขาจะวนกลับมาคิดถึงปัญหาที่มิอาจใช้หลักวิทยาศาสตร์มาตอบได้
ฟู่เสี่ยวกวนยกยิ้มออกมาอย่างมีเลศนัย เฮ้อซานเตาเห็นแล้วรู้สึกประหลาดใจจึงเอ่ยถามออกมาว่า “ท่านยิ้ม มีอันใดเยี่ยงนั้นหรือ ? ”
“อ้อ…เรือรบลำนี้ดีมากยิ่งนัก ซานเตา พวกเราไปลองยิงกระสุนสักสองสามนัดดีหรือไม่ ! ”
“ตกลง ! ”
กวนหยุนห้าวได้ขับเคลื่อนออกจากท่าเรือตามคำสั่งของเฮ้อซานเตา มุ่งหน้าออกไปนอกชายฝั่ง
คลื่นสีเขียวขจีสาดกระทบมาเป็นระลอก นกนางนวลหลายตัวกำลังบินอยู่เหนือน้ำทะเล
“มือยิงเข้าประจำที่… ! ”
“ยิง… ! ”
“ปัง… ! ”
เสียงปืนดังสนั่นทำลายความเงียบสงบของท้องทะเล เมื่อกระสุนตกลงบนผิวน้ำก็ระเบิดเป็นคลื่นขนาดยักษ์ขึ้นมา เฮ้อซานเตากลับมายืนอยู่ข้างกายของฟู่เสี่ยวกวนแล้วหัวเราะแหะ ๆ “ฝ่าบาทบัดนี้ปืนใหญ่ของพวกเราสามารถยิงได้ในระยะ 1 ลี้ และระยะยิงที่ให้ความแม่นยำที่สุดคือ 3 จั้ง น่าเสียดายที่ทำได้เพียงแค่ฝึกหัด ยังมิเคยมีประสบการณ์รบจริง ๆ สักที”
ระยะการยิงเช่นนี้สำหรับเทคโนโลยีในปัจจุบันนับว่ามิเลวแล้ว แต่จากที่ฟู่เสี่ยวกวนมองดูแล้วเขายังมิค่อยพอใจเท่าใดนัก เนื่องจากตามคำบอกเล่าของปิซาร์โร ตอนที่เดินทางออกมาจากฝูหล่างจี ประเทศทางตะวันตกกำลังวิจัยค้นคว้าเรื่องของเครื่องจักรไอน้ำ
บัดนี้ปิซาร์โรเดินทางมาถึงต้าเซี่ยได้หนึ่งปีเต็มแล้ว และนับจากวันที่เขาเดินทางออกจากฝูหล่างจีก็นับได้สองปีกว่าแล้ว คาดว่าอีกฝ่ายหนึ่งจะประดิษฐ์เครื่องจักรไอน้ำได้สำเร็จแล้ว และคิดว่าได้นำมาใช้ในการทหารเป็นที่เรียบร้อยแล้ว
เมื่อเป็นเช่นนี้ การพัฒนาเรือรบของเขาอาจจะมิสามารถรักษาความได้เปรียบเอาไว้ได้
เรื่องของวิทยาศาสตร์นั้นจะพัฒนาให้ก้าวหน้าขึ้นเสมอ แน่นอนว่าทักษะการยิงและความแม่นยำของเรือรบฝ่ายตรงข้ามก็ต้องสูงขึ้นเช่นกัน
ดังนั้นปืนบรรจุกระสุนท้ายลํากล้องที่ฉินรั่วเสวี๋ยวิจัยออกมา จะต้องรีบวิจัยให้เสร็จสิ้นโดยเร็วที่สุด จากนั้นก็มอบให้ทางทหารเรือนำมาทดลอง
ปืนบรรจุกระสุนท้ายลํากล้องชุดแรกเพิ่งทำการดัดแปลงแก้ไข และกำลังส่งมาที่เมืองเซี่ยเย๋ หากการทดลองมิมีปัญหาอันใดจำต้องใช้ปืนบรรจุกระสุนท้ายลํากล้องแทนปืนบรรจุกระสุนหน้าลํากล้อง
“ซานเตา รอให้ปืนบรรจุกระสุนท้ายลํากล้องส่งมาถึงแล้ว เจ้าจงให้ทหารทำความคุ้นเคยกับมัน และให้ทดลองประสิทธิภาพในทุก ๆ ด้าน จงจำเอาไว้ว่า กระสุนปืนเปรียบเสมือนชีวิตของทหารเรือ ดังนั้นการทดลองนี้เจ้าจะต้องเข้าควบคุมด้วยตนเอง และจดบันทึกข้อเสียของมันเอาไว้ จึงจะสามารถให้ศูนย์วิจัยวิทยาศาสตร์ทำการดัดเเปลงเเก้ไขต่อไปได้”
“ฝ่าบาทโปรดวางพระทัยเถิด กระหม่อมจะปฏิบัติภารกิจให้นี้ให้ดีพ่ะย่ะค่ะ”
“อืม…” ฟู่เสี่ยวกวนมองออกไปที่มหาสมุทรอันกว้างใหญ่ ผ่านไปชั่วครู่เขาก็เอ่ยออกมาเสียงแผ่ว “การเดินทางออกทะเลในครานี้ ข้าจะลอบเดินทางไปกับพวกเจ้าด้วย…”
เฮ้อซานเตาเบิกตาโพลงขึ้นมาทันใด ในขณะที่เขากำลังจะเอ่ยบางอย่างออกมานั้น ฟู่เสี่ยวกวนก็รีบยกมือขึ้นปิดปากเขาเอาไว้ทันทีแล้วเอ่ยว่า “เจ้าอย่าเอะอะโวยวายไป เจ้ามิใช่พี่น้องของข้าหรอกหรือ ? เรื่องนี้เจ้ารู้เพียงคนเดียวก็พอแล้ว ! ”
“แต่ว่า…” เฮ้อซานเตาลดเสียงของเขาลง จากนั้นก็กลืนน้ำลายอึกใหญ่แล้วเอ่ยว่า “ทว่านี่เป็นคราแรกที่จะเดินทางออกไปยังมหาสมุทรอันไกลโพ้น พวกเรายังไร้ประสบการณ์ใด ๆ หากฝ่าบาทอยากจะไปเที่ยวเล่นขอรอคราหน้าดีหรือไม่พ่ะย่ะค่ะ ? ”
นี่เป็นวิธีที่เหมาะสมที่สุด เนื่องจากมิมีผู้ใดรู้ได้ว่าในท้องทะเลอันกว้างใหญ่นั้นจะเกิดอันใดขึ้นบ้าง และมิมีผู้ใดรู้ว่าการเดินทางในครานี้ จะเกิดข้อบาดหมางกับประเทศแถบชายฝั่งหรือไม่
นี่เป็นการเดินทางผจญภัยซึ่งเต็มไปด้วยสิ่งมิคาดฝันกับอันตราย ! เฮ้อซานเตาจะยอมให้ฟู่เสี่ยวกวนไปเผชิญหน้ากับอันตรายเช่นนี้มิได้เป็นอันขาด !
“อย่าเอ่ยไร้สาระให้มากนัก ! ข้าตัดสินใจแน่วแน่แล้ว ! เจ้าลองคิดว่าข้ามิใช่จักรพรรดิดูสิ เพียงเท่านี้ก็หมดเรื่องแล้วมิใช่หรือเยี่ยงไร ? ”
แต่ท่านเป็นจักรพรรดิน่ะสิ !
เฮ้อซานเตารู้สึกกระสับกระส่ายขึ้นมาทันใด หากเขาพาองค์จักรพรรดิไปออกทะเลด้วย อย่างน้อยก็ต้องใช้เวลานานถึงหนึ่งปี… แล้วต้าเซี่ยจะดำเนินเยี่ยงไรต่อไปเล่า ?
หากว่าระหว่างการเดินทางเกิดอันใดขึ้นเล่า ? หากเขาตกตายไประหว่างการเดินทางเสียก็ดี แต่หากเขามีชีวิตรอดกลับมา ข้าคงจะถูกพวกกรมกลาโหมและขุนนางทั้งหลายฉีกเนื้อเป็นแน่
เฮ้อซานเตารู้สึกสับสนมากยิ่งนัก แต่ฟู่เสี่ยวกวนกลับตบลงที่บ่าของเขาปุ ๆ “เอาเป็นว่าเรื่องนี้พวกเราได้ตัดสินใจกันเรียบร้อยแล้ว เมื่อข้ากลับไป ข้าจะจัดการสิ่งต่าง ๆ เอาไว้ล่วงหน้า”
ฟู่เสี่ยวกวนอาศัยอยู่ที่ท่าเรือเซี่ยเย๋ต่ออีกสามวัน
ในสามวันนี้ เขาได้เดินทางไปดูเรือรบต่าง ๆ ได้ปรับปรุงแนวความคิดของเรือพิฆาตร่วมกับปิซาร์โรอีกครา จากนั้นก็ตรวจตรากองทัพเรือที่สามรวมไปถึงกองนาวิกโยธินอีกด้วย
รัชสมัยต้าเซี่ยที่สอง เดือนสาม วันที่สิบห้า เขาเดินทางกลับมาถึงเมืองกวนหยุน จากนั้นก็ได้เรียกกรมกลาโหมเข้าประชุมเรื่องทหารเป็นคราแรก
ผู้ที่เข้าร่วมประชุมในครานี้นอกเหนือจากขุนนางในกรมกลาโหมแล้ว ยังมีสามสำนักหกกรมและขุนนางระดับสูงในกรมการค้าด้วย
ท่ามกลางการประชุมครานี้ เขาได้ชี้แจงอย่างชัดเจนว่าทหารเรือกองทัพที่สามจะเดินทางออกสำรวจทะเลในกลางเดือนสิบ ซึ่งเขาได้เลื่อนเวลาออกไปครึ่งปี ประการแรกเพื่อทดสอบปืนบรรจุกระสุนท้ายลํากล้อง ประการที่สองปิซาร์โรเอ่ยว่าในฤดูร้อน มหาสมุทรเกิดพายุขึ้นบ่อยมากยิ่งนัก
ดังนั้นจึงมีเวลามากพอในการจัดเตรียมสำหรับกรมพิธีการและกรมการค้า เพื่อให้พวกเขาได้มีเวลาคัดเลือกผู้ร่วมเดินทางไปด้วย
นี่เป็นคราแรกในประวัติศาสตร์ต้าเซี่ยที่กองทหารเรือจะเดินทางออกทะเล หลังจากผ่านการพิจารณาของกรมกลาโหมแล้ว กรมสรรพาวุธก็ได้เริ่มลงมือทันที
การเดินทางครานี้คาดว่าจะยาวนานถึงหนึ่งปี กรมสรรพาวุธจะต้องจัดเตรียมกระสุนและสิ่งของอื่น ๆ ให้เพียงพอสำหรับทหารเรือเหล่านั้น
ส่วนกรมพิธีการและกรมการค้าเมื่อฟังจากคำเอ่ยของฟู่เสี่ยวกวนแล้ว การเดินทางในครานี้น่าจะผ่านถึงสิบประเทศด้วยกัน มิว่าจะเป็นการนั่งสนทนากันโดยดีหรือโจมตีเข้าไป ล้วนจำเป็นต้องใช้คนจำนวนมาก
โชคดียิ่งนักที่สองปีมานี้ต้าเซี่ยมีการจัดเตรียมผู้มีพรสวรรค์ไว้มิน้อย มิเช่นนั้นหยุนซีเหยียนและเซียวยวี่โหลวคงต้องหลับตาเลือกผู้ที่จะเดินทางติดตามไปด้วย
หลังจากแจกแจงเรื่องนี้เสร็จสิ้นแล้ว ฟู่เสี่ยวกวนก็มิได้เอ่ยถามซ้ำอีก โดยมากเขาจะใช้เวลาอยู่ในห้องทรงพระอักษรและวังหลัง
อาจจะเป็นเพราะเขารู้สึกผิดต่อภรรยาและลูก ๆ เขาจึงมิอยากเดินทางออกนอกพระราชวัง เขาพยายามใช้เวลาที่เหลืออยู่กับภรรยาและลูก ๆ ของเขาให้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้