นายน้อยเจ้าสำราญ - ตอนที่ 1110 มิใช่ข่าวดี
ตอนที่ 1110 มิใช่ข่าวดี
วันเวลาดำเนินผ่านไปท่ามกลางความวุ่นวายในชีวิตประจำวันของฟู่เสี่ยวกวน เพียงชั่วพริบตาเดียวก็ดำเนินมาถึงวันที่หนึ่งเดือนเก้า
ฤดูใบไม้ร่วงเวียนมาบรรจบอีกครา ช่วงนี้เป็นช่วงที่สภาพอากาศดีที่สุดในปี
ยามพลบค่ำ เมฆสีสดใสลอยล่องทั่วท้องนภา ฟู่เสี่ยวกวนได้เชิญเสนาบดีอาวุโสทั้งสามคนไปยังกวนหยุนถาย
เมื่อแสงแดดสีทองสาดส่องลงมาที่ทะเลหมอกซึ่งกำลังซัดสาดจนเกิดเป็นหมอกควัน ราวกับภาพวาดที่หลุดออกมาจากนวนิยาย
ฟู่เสี่ยวกวนจ้องมองทะเลหมอกนี้แล้วครุ่นคิดอยู่ในใจว่า ในใต้หล้านี้คงมีเพียงมิกี่คนเท่านั้นที่รู้ว่าใต้ผืนทะเลหมอกนี้มีหอเทียนจีซ่อนอยู่
เขาเคยเข้าไปในหอเทียนจี แน่นอนว่ามันเป็นสถานที่ที่ลึกลับมากยิ่งนัก เขาอยากจะรู้เหลือเกินว่าผู้ใดเป็นคนสร้างหอเทียนจีขึ้นมากันแน่
“ในการประชุมวันนี้ กรมพิธีการกล่าวว่าทั้งเจ็ดประเทศนั้นยอมให้ความร่วมมือกับพวกเราแล้ว และต้าเซี่ยก็ได้สร้างสถานทูตขึ้นในเจ็ดประเทศนั้นเป็นที่เรียบร้อยแล้ว”
ฟู่เสี่ยวกวนละสายตากลับมาแล้วลงมือต้มชาหนึ่งกา ก่อนจะกล่าวขึ้นมาว่า “กรมการค้าได้ส่งคนไปประจำสถานทูตทั้งเจ็ดแห่งนั้นแล้ว ได้ยินมาว่าพ่อค้าของต้าเซี่ยก็เริ่มทยอยนำสินค้าขนส่งไปบ้างแล้ว ทว่าระหว่างทำการเผยแพร่สกุลเงินต้าเซี่ยได้เกิดข้อขัดข้องขึ้นเล็กน้อย”
“เรื่องนี้เดิมทีควรประชุมหารือร่วมกันทั้งสามสำนักถึงแนวทาง แต่เมื่อข้ามาครุ่นคิดดูแล้ว เห็นว่าพวกเราควรร่วมกันคิดหาวิธีก่อนจะดีกว่า พวกท่านคิดว่าควรจะจัดการปัญหานี้เยี่ยงไรดี ? ”
เนื่องจากสถานการณ์ด้านเศรษฐกิจที่แตกต่างกัน และในใต้หล้านี้ก็ยังมิมีการแลกเปลี่ยนเงินตราระหว่างประเทศ หากจะจัดทำเจ้าสิ่งนี้ค่อนข้างวุ่นวายพอสมควร ฟู่เสี่ยวกวนมิอยากปวดหัวกับเรื่องนี้อีก
ความคิดของเขาค่อนข้างหยาบและเรียบง่าย สิ่งที่เขาต้องการคือการให้เงินของต้าเซี่ยหมุนเวียนในประเทศต่าง ๆ เหล่านั้น เหมือนกับสินค้าโภคภัณฑ์ทั่วไป มิว่าจะเป็นการนำสินค้าจากต้าเซี่ยไปขายให้กับประเทศเหล่านั้น หรือนำสินค้าของประเทศเหล่านั้นเข้ามาขายที่ต้าเซี่ย ทั้งหมดนี้ล้วนต้องใช้สกุลเงินต้าเซี่ย
เห็นได้ชัดว่ามีการรุกรานของสกุลเงินเกิดขึ้น แม้ว่าทั้งเจ็ดประเทศนี้จะเป็นอาณานิคมของต้าเซี่ย พวกเขาก็คงมิเต็มใจมากนัก พวกเขาเชื่อว่าหากเป็นเช่นนี้ไปเรื่อย ๆ ด้วยความแข็งแกร่งทางเศรษฐกิจของต้าเซี่ยและความแข็งแกร่งของสกุลเงินต้าเซี่ย เกรงว่าอีกมิกี่ปีข้างหน้าสกุลเงินประจำชาติของพวกเขาจะลดลงและมิต่างอันใดกับเศษกระดาษ จากนั้นก็จะค่อย ๆ เลือนหายไปจากสายตาของทุกคนในที่สุด
เรื่องนี้…เมิ่งฉางผิงเองก็มิได้เห็นด้วยสักเท่าใดนัก
“ฝ่าบาทพ่ะย่ะค่ะ สินค้าของต้าเซี่ยถูกนำไปขายให้กับประเทศอื่น แน่นอนว่าจะได้เงินของประเทศนั้น ๆ กลับคืนมา เงินเหล่านั้น พวกเราสามารถนำไปซื้อของกลับมาได้ เหตุใดถึงต้องรวมสกุลเงินให้เป็นหนึ่งด้วยเล่า ? ”
ฟู่เสี่ยวกวนรินน้ำชาให้แก่เสนาบดีอาวุโสทั้งสามแล้วครุ่นคิด “หลังจากนี้มีความเป็นไปได้สูงอย่างยิ่งที่พวกเราจะทำการค้ากับทั้งสิบประเทศนี้ หากว่ามีสกุลเงินนับสิบเข้ามาในประเทศของเรา เมื่อถึงเวลานั้นเงินของเราก็จะยุ่งเหยิงมิเป็นท่า”
“ในวันนี้ที่เชิญพวกท่านมา มิได้ต้องการสนทนาว่าวิธีนี้ถูกหรือผิด แต่ต้องการรู้ว่าควรจะจัดการปัญหานี้เยี่ยงไรดี”
ฟู่เสี่ยวกวนเอ่ยเน้นย้ำเรื่องนี้ขึ้นมา ทำให้จัวอี้สิงและคนอื่น ๆ เข้าใจว่าเรื่องนี้สำคัญมากเพียงใด
“กระหม่อมคิดว่ามีอยู่สองวิธี วิธีที่หนึ่งก็คือการใช้อำนาจทางทหารบีบบังคับ พวกเราจะส่งกองทัพทหารออกไป ต่อให้พวกเขามิยินยอมก็ต้องยินยอม วิธีที่สองคือการเกลี้ยกล่อม กรมการค้าและกรมพิธีการจะส่งคนจำนวนมากเดินทางไป เพื่อชี้แจงถึงความมั่นคงของสกุลเงินต้าเซี่ยและรับรองการไหลเวียนของสกุลเงินต้าเซี่ยในประเทศต่าง ๆ ดังนั้น…นี่อาจเป็นทางออก ทว่ามันต้องใช้เวลาค่อนข้างนานพ่ะย่ะค่ะ”
ฟู่เสี่ยวกวนพยักหน้าแล้วมองไปทางหนานกงอี้หยู่ ด้านหนานกงอี้หยู่ลูบเครายาวของตนเองพลางทำหน้าครุ่นคิด “ฝ่าบาททรงคิดเห็นว่าหากมีสกุลเงินมากมายหลั่งไหลเข้ามาในประเทศต้าเซี่ยจะทำให้เกิดความโกลาหลในประเทศของเรา กรมการค้าและกรมพิธีการได้เขียนจดหมายชี้แจงกลับมาว่า สินค้าของเราได้รับความนิยมอย่างมากในประเทศเหล่านั้นโดยเฉพาะชนชั้นสูง”
“ในเมื่อพวกเขากังวลว่าค่าเงินของเราจะครองตลาดของพวกเขา ดังนั้นจะเป็นเยี่ยงไรหากใช้ทองคำและเงินเป็นมาตรฐาน เมื่อพวกเราขายสินค้าให้กับพวกเขาก็ให้พวกเขานำเงินและทองคำมาแลกเปลี่ยน แต่หากพวกเขาอยากขายสินค้าให้กับพวกเราก็ต้องรับเพียงสกุลเงินต้าเซี่ยเท่านั้น”
“หากเป็นเช่นนี้ พ่อค้าของเราก็จะได้เงินและทองคำกลับมา ซึ่งสามารถนำมาแลกเป็นธนบัตรต้าเซี่ยได้ ส่วนพ่อค้าจากประเทศอื่น ๆ ที่เดินทางเข้ามาในประเทศของเรา พวกเขาจะได้รับธนบัตรของพวกเรากลับไป ท้ายที่สุดแล้วธนบัตรของพวกเราก็จะเข้าไปหมุนเวียนในประเทศของพวกเขาอยู่ดี เมื่อวันเวลาผ่านไปนาน ๆ เข้า ธนบัตรของต้าเซี่ยก็อาจจะแพร่หลายในประเทศของพวกเขา จนกระทั่งกลายเป็นสกุลเงินที่ใช้ในทางการ”
เมื่อฟู่เสี่ยวกวนได้ยินดังนั้น ดวงตาของเขาก็เปล่งประกายขึ้นมาทันใด
ความคิดนี้ใช้ได้เลยทีเดียว !
การนำเงินและทองคำมาเป็นตัวแทนในการทำธุรกรรม สิ่งนี้เป็นของล้ำค่า มิว่าจะเป็นประเทศใดหรือยุคสมัยใด ก็ล้วนมิมีผู้ใดรังเกียจ
แท้ที่จริงแล้วความคิดของหนานกงอี้หยู่ เขากำลังจะทำให้เงินและทองคำรับหน้าที่เป็นอัตราการแลกเปลี่ยน สินค้าโภคภัณฑ์ของต้าเซี่ยจะถูกแลกเปลี่ยนเป็นทองคำและเงินในราคาที่เทียบเท่า ทองคำและเงินเหล่านี้จะไหลเวียนกลับไปยังต้าเซี่ยดังเดิมอย่างแน่นอน จากนั้นค่อยนำไปแลกเป็นธนบัตรในต้าเซี่ย
ตราบใดที่ระบบการเงินของต้าเซี่ยยังสามารถควบคุมได้อย่างเคร่งครัด โดยเฉพาะอย่างยิ่งปริมาณทองคำ มันก็จะแข็งแรงและมั่นคงมากยิ่งขึ้น
สำหรับสกุลเงินต้าเซี่ยที่ไหลออกไปยังประเทศอื่น ๆ ถือเป็นการแลกเปลี่ยนสินค้า เช่นนี้ก็จะมิคุกคามความปลอดภัยของสกุลเงินต้าเซี่ย
เขาวางถ้วยชาลง “ส่วนตัวข้าคิดว่าความเห็นของท่านเสนาบดีหนานกงอี้หยู่มิเลวเลยทีเดียว ทว่าทางกรมคลังต้องจำเอาไว้ว่า เงินที่หมุนเวียนกลับมานั้น ต้องนำไปหมุนเวียนเป็นธนบัตรอีกครา ส่วนทองคำที่หมุนเวียนกลับมาทั้งหมดจะต้องนำเข้าสู่คลังของประเทศเพื่อการจัดการให้เป็นระบบต่อไป”
“ปริมาณของเงินในตลาดจะเพิ่มขึ้นหรือลดลง ก็ขึ้นอยู่กับปริมาณทองคำสำรองของต้าเซี่ย ปัจจัยที่ต้องพิจารณาอีกประการหนึ่งคือความเจริญรุ่งเรืองของตลาด”
“เมื่อตลาดอยู่ในช่วงขาขึ้นก็สามารถผ่อนคลายธนบัตรได้อย่างเหมาะสม เมื่อตลาดอยู่ในช่วงขาลงคือช่วงที่สินค้าขายมิดี จำต้องรัดกุมธนบัตรเพื่อหลีกเลี่ยงการล่มสลายของระบบเศรษฐกิจในประเทศ”
“เรื่องนี้…วันพรุ่งนี้ข้าจะให้ท่านเสนาบดีหนานกงอี้หยู่เรียกประชุมเศรษฐกิจอีกครา เชิญขุนนางในกรมการค้าและกรมคลังทุกคนมาเข้าร่วมประชุม แน่นอนว่าหากมีผู้ใดเสนอความคิดเห็นได้ดีกว่านี้ ก็สามารถนำมาหลอมรวมกันได้ ข้าเพียงต้องการผลสำเร็จ มิว่าเยี่ยงไรเสียธนบัตรของต้าเซี่ยก็จำต้องครองใต้หล้านี้ให้ได้”
การโต้วาทีเช่นนี้ได้กลายเป็นกิจวัตรประจำวันของขุนนางในต้าเซี่ยไปเสียแล้ว แม้ว่าจะเป็นนโยบายหลักของประเทศ นอกจากแนวทางที่ฟู่เสี่ยวกวนเสนอออกมาแล้ว ขุนนางในกรมอื่น ๆ ก็สามารถเสนอความคิดของตนเองได้เช่นกัน
ทุกคนมองว่าเป็นเรื่องปกติทั่วไป ซึ่งทำให้ฟู่เสี่ยวกวนรู้สึกว่านี่เป็นเรื่องที่ดีมากยิ่งนัก
ฝ่าบาทได้แสดงความเห็นเกี่ยวกับเรื่องนี้แล้ว และเรื่องนี้ก็ได้รับการตัดสินขั้นพื้นฐานจากฝ่าบาทแล้ว เมื่อบรรยากาศเริ่มผ่อนคลาย จักรพรรดิและเสนาบดีทั้งสามจึงเริ่มเอ่ยถึงเรื่องอื่น ๆ
“เมื่อคืนนี้ราชทูตจิงเลี่ยเดินทางมาเพื่อชี้แจงถึงปัญหาด้านอาจารย์ของหยวนตงเต้า หนังสือเล่มใหม่ได้แจกจ่ายไปทั่วทั้งหยวนตงเต้าแล้ว ทว่าอาจารย์มีมิเพียงพอ ฝ่าบาทพ่ะย่ะค่ะ เรื่องนี้นับว่าเป็นเรื่องใหญ่เลยทีเดียว แท้ที่จริงแล้วมิใช่เพียงหยวนตงเต้าเท่านั้น แม้แต่ในต้าเซี่ยเองก็ขาดแคลนเช่นกัน กระหม่อมคิดเห็นว่าควรจะเปิดการอบรมอาจารย์วิชาคณิตศาสตร์ ฟิสิกส์ และเคมีขึ้นสักกลุ่มหนึ่ง เห็นเป็นเยี่ยงไรพ่ะย่ะค่ะ ? ”
“เป็นความคิดที่ดีเลยทีเดียว จำต้องรีบดำเนินการทันที”
“อีกอย่างเฮ่อเถียนเอ่ยว่า บุตรสาวของเถิงหยวนชิวจ่งตูแห่งหยวนตงเต้า นามว่าเถิงหยวนจี้เซียงใช่หรือไม่ ? เขาเอ่ยว่าแม่นางผู้นั้นตั้งครรภ์แต่ยังมิได้ออกเรือน นางให้กำเนิดบุตรสาวออกมา…แท้ที่จริงแล้วเรื่องเช่นนี้ก่อให้เกิดความเสียหายในด้านวัฒนธรรม แต่เถิงหยวนชิวมิเพียงมิโมโหเท่านั้น เขายังยินดีมากอีกด้วย ท่านว่าการศึกษาที่หยวนตงเต้ากำลังเปลี่ยนแปลงไปใช่หรือไม่ ? ”
ฟู่เสี่ยวกวนชะงักงันลงทันใด เรื่องนี้เขามิอาจเอ่ยอันใดต่อไปได้
นี่มิใช่ข่าวที่น่ายินดีเท่าใดนัก จำต้องส่งหลิวจิ่นไปดูสักหน่อย
ทันใดนั้น จี้หยุนกุยก็เดินเข้ามาโค้งคารวะ ก่อนจะยื่นกระดาษแผ่นหนึ่งให้แก่ฟู่เสี่ยวกวน “จดหมายจากหอเทียนจี แม่นางยิงฮวาและองค์หญิงใหญ่นั่งเรือออกจากเมืองจินหลิงไปแล้วพ่ะย่ะค่ะ”
“พวกนางไปที่ใดเยี่ยงนั้นหรือ ? ”
“บัดนี้ยังมิทราบ แต่ว่า…องค์หญิงใหญ่ได้ขายอุตสาหกรรมที่หนานซานทั้งหมด พวกนางนำเงินทองเพชรพลอยบรรทุกจนเต็มเรือหนึ่งลำไปด้วยพ่ะย่ะค่ะ”