นายน้อยเจ้าสำราญ - ตอนที่ 1113 รับศิษย์
ตอนที่ 1113 รับศิษย์
รถม้าธรรมดา 3 คันได้มุ่งหน้าออกมาจากเมืองกวนหยุนในเช้าวันนี้
ภายในรถม้าคันใหญ่สุดที่อยู่ตรงกลาง ลู่เอ๋อร์กำลังกินปิงถังหูลู่อยู่ ส่วนดวงตาของนางก็จ้องมองไปที่พี่ชายที่นั่งอยู่ฝั่งตรงข้ามตามิกะพริบ
เขาคือจักรพรรดิแห่งประเทศต้าเซี่ยเยี่ยงนั้นหรือ ?
เหตุใดพอมองดูแล้ว ถึงมิน่ากลัวเลยสักนิดล่ะ ?
มิใช่ว่าเขาควรมีท่าทีถือตัวและหยิ่งยโสหรอกหรือ ?
บัดนี้ภายในใจของโจวฮุยกระวนกระวายมากยิ่งนัก ถึงแม้ว่าเขาจะได้ยินมานานแล้วว่าฝ่าบาทองค์ปัจจุบันเป็นผู้โอบอ้อมอารี ทว่าในยามที่กำลังเอ่ยเรื่องมิดีของฝ่าบาทอยู่ก็ถูกพระองค์ได้ยินเข้าพอดี
หากฝ่าบาทมิพอใจขึ้นมา การที่ตนจะถูกบั่นศีรษะก็คงมิใช่เรื่องแปลกอันใด ที่น่ากลัวคือจะทำให้ลู่เอ๋อร์ตกที่นั่งลำบากไปด้วย
เป็นซูซูที่นั่งอยู่ข้าง ๆ ฟู่เสี่ยวกวน ดวงตากลมโตของซูซูจ้องมองลู่เอ๋อร์ตาไม่กะพริบ หลังจากนั้นก็มองไปทางปิงถังหูลู่ในมือของลู่เอ๋อร์
ครั้งหนึ่ง ตนก็ชอบกินปิงถังหูลู่เช่นกัน จนถึงตอนนี้…นานเท่าใดแล้วนะที่มิได้ทาน ?
รสชาตินั้น เป็นรสชาติที่นางคำนึงถึง !
เมื่อนึกถึงปิงถังหูลู่ขึ้นมา ซูซูจึงเลียริมฝีปากแพลบ ๆ ซึ่งตกในอยู่ครรลองสายตาของลู่เอ๋อร์พอดิบพอดี ลู่เอ๋อร์ที่เห็นดังนั้น จึงรู้สึกราวกับว่าพี่สาวผู้นี้คิดจะฉกปิงถังหูลู่ในมือของตน นางจึงรีบเลียอย่างกระวีกระวาด ตั้งแต่ด้านบนจรดด้านล่าง เพื่อประกาศความเป็นเจ้าของปิงถังหูลู่นี้
ซูซูหัวเราะขึ้นมาทันใด มือข้างหนึ่งของนางจับที่ไหล่ของลู่เอ๋อร์ทั้งยังออกแรงบีบเบา ๆ แต่แล้วก็ต้องประหลาดใจขึ้นมาทันใด
ในยามนั้นฟู่เสี่ยวกวนก็ได้เอ่ยทำลายความเงียบลง เขาเอ่ยกับโจวฮุยว่า “เมื่อกล้าเอ่ยก็ต้องกล้ารับ ในเมื่อเอ่ยมาแล้วก็ต้องรับผิดชอบ… ความจริงแล้วเจ้ามิจำเป็นต้องกังวลถึงเพียงนี้ เพราะที่เจ้าเอ่ยมานั้นถูกต้อง”
“ในใต้หล้านี้ การคงอยู่ของวรยุทธ์เป็นสิ่งที่วิเศษ… แท้จริงแล้วมันมิสมเหตุสมผล ข้ามิควรลบล้างมันไป และข้าควรจะทำให้วรยุทธ์รุ่งเรืองมากยิ่งขึ้น”
ดังนั้นฝ่าบาททรงหมายความว่าพระองค์ยอมรับข้อผิดพลาดเยี่ยงนั้นหรือ ?
โจวฮุยประหลาดใจมากยิ่งนัก เขามีการวิจัยเชิงประวัติศาสตร์ที่ค่อนข้างลึก เหล่าอดีตจักรพรรดิในแต่ละยุคสมัย มีน้อยคนนักที่กล้าจะยอมรับความผิดพลาดของตนเอง
“หลังจากไปที่วัดหานหลิงแล้ว ข้าจะออกแถลงการณ์ ให้ยกเลิกข้อจำกัดของยุทธภพ ประเทศต้าเซี่ยคือบุปผานานาพันธุ์ที่ประชันกันเบ่งบาน แต่คงต้องมีกฎเกณฑ์สำหรับพวกเขา…ผู้มีคุณธรรมคือผู้ยิ่งใหญ่ มิอนุญาตให้ใช้วรยุทธ์ในทางที่ผิด”
“คนจากยุทธภพสามารถเปิดสำนักรับลูกศิษย์ได้ โดยที่พวกเขาต้องยอมรับเงื่อนไขด้วยความเต็มใจ กองทัพของประเทศต้าเซี่ยยินดีต้อนรับพวกเขาเข้าร่วมกองทัพด้วยเช่นกัน”
“ข้าจำได้ว่าเจ้าชื่อโจวฮุย” ฟู่เสี่ยวกวนเอ่ยด้วยสีหน้ายิ้มแย้ม พลางยื่นมือออกไปลูบศีรษะของลู่เอ๋อร์ “ข้าเองก็จำได้ว่าเจ้าชื่อลู่เอ๋อร์ เจ้าน่ะ…ควรเข้าไปร่ำเรียนในสำนักศึกษาได้แล้ว”
ลู่เอ๋อร์เงยหน้าขึ้นมา จ้องมองฟู่เสี่ยวกวนด้วยดวงตาเป็นประกาย ในดวงตาของลู่เอ๋อร์ ฟู่เสี่ยวกวนมิใช่องค์จักรพรรดิแห่งต้าเซี่ยที่เลิศเลอแต่อย่างใด เหมือนว่าเขาเป็นเพียงท่านอาผู้ใจดีก็เท่านั้น
“ข้าอยากเรียนวรยุทธ์เจ้าค่ะ…ข้าฝึกฝนมาได้ 6 ปีแล้ว”
“ไอหยา…จะเอ่ยว่าลู่เอ๋อร์อยากเป็นยอดฝีมือแห่งยุทธภพเยี่ยงนั้นหรือ ? ” ฟู่เสี่ยวกวนหัวเราะขึ้นมาทันใด ทว่าคาดมิถึงว่าลู่เอ๋อร์จะส่ายศีรษะ
แม่นางน้อยจ้องมองไปทางฟู่เสี่ยวกวน ภายในดวงตาคู่นั้นทอประกายแน่วแน่ นางเอ่ยด้วยความจริงจังเป็นอย่างมากว่า “ท่านอา…ลู่เอ๋อร์อยากเป็นแม่ทัพหญิงของประเทศต้าเซี่ยเจ้าค่ะ ! ”
“อยากเป็นผู้บัญชาการทหารเฉกเช่นเดียวกับท่านแม่ทัพเฮ้อซานเตา ! ”
ทันใดนั้นฟู่เสี่ยวกวนก็หัวเราะออกมาเสียงดัง “ดี ! ลู่เอ๋อร์มีอุดมการณ์เยี่ยงนี้ถือเป็นเรื่องที่ดี แต่…ลู่เอ๋อร์เอ๋ย หากจะเป็นผู้บัญชาการทหารก็จำต้องร่ำเรียนตำรา การทำสงครามก็ต้องใช้สมองเช่นกัน”
“เจ้าค่ะ” แม่นางน้อยพยักหน้ารับ “ข้าเรียนตำรากับท่านพ่อ เพียงแต่…”
แม่นางน้อยมุ่ยปากลง “เพียงแต่วรยุทธ์ของท่านพ่อมิได้ดีเท่าใดนัก ข้าต้องหาอาจารย์ดี ๆ… เดิมทีคิดจะไปสำนักเต๋า แต่ท่านพ่อเอ่ยว่าสำนักเต๋าล่มสลายไปแล้ว”
ทันทีที่เอ่ยเยี่ยงนี้ออกมา ใจของโจวฮุยถึงกับกระตุกวูบ ซูฉางเซิงผู้สังเกตแห่งสำนักเต๋าตกตายด้วยเงื้อมมือของฟู่เสี่ยวกวน ในสายตาของยุทธภพ ปัจจุบันสำนักเต๋าถือเป็นสิ่งต้องห้าม
“เวลานางเอ่ยปากมักมิมีหูรูดพ่ะย่ะค่ะ ฝ่าบาทโปรดประทานอภัยด้วย”
ลู่เอ๋อร์ชะงักงัน รู้สึกว่าสิ่งที่ตนเองเอ่ยออกไปนั้นเป็นเรื่องจริง เหตุใดบิดาต้องขออภัยด้วยกัน ?
ฟู่เสี่ยวกวนโบกมือไปมาอย่างมิถือสาหาความ “ดูเหมือนว่าผู้คนจะกังวลกันเป็นอย่างมาก มิเช่นนั้น…” เขาหันหน้าไปมองซูซู “อยากรับลูกศิษย์หรือไม่ ? ”
ตอนที่ซูซูได้จับตัวของลู่เอ๋อร์ นางได้ค้นพบต้นกล้าที่เหมาะกับการฝึกยุทธแล้ว เพียงแต่นางมิเข้าใจที่มาที่ไปของบิดาและบุตรีคู่นี้ จึงมิกล้าตัดสินใจอย่างง่ายดาย
ทันทีที่ได้ยินฟู่เสี่ยวกวนเอ่ยเยี่ยงนั้น นางก็เบาใจลงได้มากโข นางรู้สึกมีความสุขมากยิ่งนัก
“เพคะ ! ” ซูซูหันไปมองลู่เอ๋อร์ ลู่เอ๋อร์เองก็มองพี่สาวผู้นี้อยู่เช่นกัน ใบหน้าของนางค่อนข้างงุนงง
“ท่าน…ท่านสอนข้าได้จริง ๆ หรือ ? ”
“แม่นางน้อย มิใช่เจ้าอยากเข้าสำนักเต๋าหรอกหรือ ? สำนักเต๋าในปัจจุบันนี้ มีข้าเป็นผู้รับผิดชอบ ! ”
“พี่สาวเป็นลูกศิษย์สำนักเต๋าเยี่ยงนั้นหรือ ? ” ดวงตาของลู่เอ๋อร์เป็นประกายขึ้นมาทันใด ทั้งยังเอ่ยถามด้วยความตื่นเต้น
“ใช่ ! ข้าเป็นศิษย์ลำดับที่หกในสำนักเต๋า เจ้ายังมีอาจารย์ใหญ่และอาจารย์เล็กอีกหลายคน เพียงแต่พวกเขาในตอนนี้…ตอนนี้ยังคงมีธุระติดพัน จึงมีข้าเป็นผู้ฝึกสอนวรยุทธ์ในแก่เจ้า เห็นเป็นเยี่ยงไรบ้าง ? ”
ลู่เอ๋อร์คุกเข่าลงกับพื้นดังตึง “ศิษย์ขอคำนับท่านอาจารย์ ! ”
ซูซูดีใจมากยิ่งนัก นางประคองลู่เอ๋อร์ให้ลุกขึ้น “เอาล่ะ ! ต่อจากนี้เจ้าคือศิษย์ใหญ่ของข้าแล้ว ! ”
“เจ้าค่ะ ศิษย์จะมิทำให้ท่านอาจารย์ขายหน้าเป็นอันขาด ! ”
ลู่เอ๋อร์ดีใจมากยิ่งนัก แต่โจวฮุยกลับสูดหายใจเข้าลึก ศิษย์ลำดับที่หกสำนักเต๋าซูซู พระสนมซูแห่งประเทศต้าเซี่ยในปัจจุบัน คาดมิถึงว่าพระนางผู้สูงส่งจะรับบุตรีของตนเป็นลูกศิษย์…นี่คือโอกาสที่ยิ่งใหญ่ของบุตรี !
เขารีบยกมือขึ้นคำนับ “ขอบพระทัยพระสนมพ่ะย่ะค่ะ… บุตรีของกระหม่อมค่อนข้างซุกซน ต้องขอให้พระสนมช่วยสั่งสอนด้วยพ่ะย่ะค่ะ ! ”
“เจ้าสบายใจเถิด ข้ารับประกันว่าจะสอนนางให้เป็นยอดฝีมือแห่งยุทธภพ ส่วนนางจะได้เป็นแม่ทัพของประเทศต้าเซี่ยหรือไม่นั้น ต้องดูที่ความสามารถทางการรบของนางแล้ว”
ความหมายของคำเอ่ยนี้ก็คือ พระนางมิรับประกันอนาคตของลู่เอ๋อร์ ลู่เอ๋อร์ต้องไปแสวงหาเส้นทางในอนาคตด้วยตนเอง
เมื่อมีความสัมพันธ์แบบอาจารย์และลูกศิษย์แล้ว ฟู่เสี่ยวกวนก็ถือเป็นอาจารย์เล็กของลู่เอ๋อร์แล้วเช่นกัน บรรยากาศภายในรถม้าจึงผ่อนคลายลงเล็กน้อย ฟู่เสี่ยวกวนอาศัยโอกาสนี้เอ่ยถามโจวฮุยเกี่ยวกับเรื่องราวของแต่ละพื้นที่ในประเทศต้าเซี่ยที่หอเทียนจีตกหล่นไปอีกเล็กน้อย
โจวฮุยเอ่ยในสิ่งที่ตนทราบ ฟู่เสี่ยวกวนถึงได้ทราบว่ายังมีปัญหาอยู่ในฝ่ายราชการของประเทศต้าเซี่ยอีกมิน้อยเลยทีเดียว
“หากจะให้เอ่ย จากการปกครองในประวัติศาสตร์นับพันปีที่ผ่านมา บัดนี้ถือว่าโปร่งใสโดยแท้จริงแล้ว ฝ่าบาทมิจำเป็นต้องฟื้นฝอยหาตะเข็บ เพราะมิมีเรื่องที่สมบูรณ์โดยแท้จริงในใต้หล้านี้หรอกพ่ะย่ะค่ะ”
ฟู่เสี่ยวกวนพยักหน้าอย่างมิใส่ใจ “หากจะให้เอ่ยแล้ว นี่มิใช่เพราะกฎหมายการปกครองยังมิครอบคลุม ทว่าดวงตาของข้ามองมิเห็นพื้นที่ห่างไกล พื้นที่ที่ซับซ้อน หอเทียนจีก็ทำมิได้เช่นกัน มีเพียงราษฎรที่อาศัย ณ ตรงนั้นเท่านั้น เป็นพวกเขาที่เข้าใจอย่างชัดเจน”
“แต่พวกเขามิเข้าใจกฎหมาย กฎหมายคืออาวุธรูปแบบใหม่ พวกเขามิกล้าที่จะหยิบยกมาใช้ ทว่าสุดท้ายก็ต้องมีวันที่พวกเขากล้าหยิบยกขึ้นมาใช้อยู่ดี เมื่อถึงเวลานั้นพวกเขาก็จะเข้าใจถึงสิทธิ์ของตนเองอย่างแท้จริง”
โจวฮุยตื่นตกใจขึ้นมาทันพลัน จากนั้นก็รีบเอ่ยออกมาว่า “ฝ่าบาท…หากเป็นเช่นนั้นจะเกิดความโกลาหลขึ้นนะพ่ะย่ะค่ะ ! ”
เขาเข้าใจความหมายที่แฝงอยู่ในคำเอ่ยของฟู่เสี่ยวกวนดี ฝ่าบาททรงกำลังกระตุ้นให้ราษฎรก่อกบฏใช่หรือไม่ ?
มุมปากของฟู่เสี่ยวกวนกระตุกยิ้มขึ้น “เกิดความวุ่นวายขึ้นมา เพื่อแลกกับความยุติธรรม มันก็คุ้มค่ามิใช่หรือ ? ”
“พวกเขามิมีจิตวิญญาณของขุนนาง พวกเขามิเข้าใจในหลักการรับใช้ราษฎร ขุนนางเยี่ยงนี้…ช่างหัวมันปะไร ! ”