นายน้อยเจ้าสำราญ - ตอนที่ 1119 ออกเดินทาง
ตอนที่ 1119 ออกเดินทาง
เรือรบ 10 ลำของกองทัพเรือที่สามได้แล่นออกจากท่าเรือเซี่ยเย๋แล้ว
นี่คือชายผู้มากความสามารถของเถิงหยวนจี้เซียง บัดนี้เขายืนอยู่ในหอสังเกตการณ์บนเรือธงกวนหยุนห้าว เขายกกล้องส่องทางไกลขึ้นมองไปยังมหาสมุทรที่กว้างใหญ่
เขาวางกล้องส่องทางไกลลง แล้วเอ่ยกับไป๋ยู่เหลียนและเฮ้อซานเตาที่ยืนอยู่ข้าง ๆ ว่า “ครานี้เรือรบของฝูหล่างจีออกปฏิบัติการสุดกำลัง หากกองทัพเรือที่หนึ่งสามารถทำลายเรือรบของศัตรูลงที่น่านน้ำหยวนตงเต้าได้ พวกเราจะรวมกองทัพเรือที่หนึ่งและที่สองเข้าด้วยกัน จากนั้นก็มุ่งหน้าไปยังฝูหล่างจี… สถานที่ตรงนั้นเรียกว่ายุโรป พวกเราจะไปแย่งชิงมาให้หมด และจะต้องกลับมาอย่างอู้ฟู่ ! ”
นี่คือเรื่องที่เฮ้อซานเตาถวิลหา เขาแสยะยิ้มน้อย ๆ “พวกเรามีเรือลำเลียงสินค้าที่ติดตามมาเพียง 20 ลำเท่านั้น มันจะเพียงพอหรือไม่ ? ”
“เกรงว่าจะมิพอ แต่มิเป็นไร แม้แต่เรือของศัตรูพวกเราก็จะแย่งชิงมันมา ! ”
ทว่าไป๋ยู่เหลียนมิได้มองโลกในแง่ดีเยี่ยงนั้น เขาได้เผชิญหน้ากับศึกทางทะเลมาด้วยตนเองแล้วหนึ่งครา เขาเข้าใจอย่างลึกซึ้งว่าศึกบนบกกับศึกทางน้ำนั้นแตกต่างกันโดยสิ้นเชิง
เรือทุกลำจำต้องติดตั้งปืนบรรจุกระสุนท้ายลํากล้อง เขาถึงจะรู้สึกว่าเรือรบของประเทศต้าเซี่ยมีกำลังมากพอที่จะข่มเรือของศัตรูได้
ทว่าระยะเวลากระชั้นชิดจนเกินไป มีเพียงเรือธงลำนี้เท่านั้นที่ได้รับการติดตั้งปืนบรรจุกระสุนท้ายลํากล้อง
“ฝ่าบาท ออกเดินทางปีหน้า จะสะดวกยิ่งกว่านะพ่ะย่ะค่ะ ! ”
ข้อบกพร่องของปืนบรรจุกระสุนท้ายลํากล้องได้ถูกแก้ไขจนสมบูรณ์แล้ว ในปีหน้าอย่างน้อยกองทัพเรือต้าเซี่ยก็สามารถมีเรือรบไว้ในครอบครองได้ถึงสี่ห้าสิบลำ ทั้งยังสามารถติดตั้งปืนบรรจุกระสุนท้ายลํากล้องได้อีกด้วย ด้วยวิธีนี้จึงจะสามารถเอ่ยได้ว่าอยู่ยงคงกระพันอย่างแท้จริง
“สบายใจเถิด เทคโนโลยีบนเรือรบของพวกเรายังล้ำหน้ากว่าพวกยุโรปมากนัก นอกจากนี้…ข้าเชื่อมั่นในทหารของพวกเรา พวกเขาผ่านการฝึกฝนมาเกือบจะสองปีแล้ว พวกเขาจะมิทำเหมือนศึกทางทะเลเมื่อคราที่แล้วอีก”
“นอกจากนี้ ให้เวลาทางฝูหล่างจีมาหนึ่งปีกว่าแล้ว พวกมันได้สร้างเรือรบขึ้นมาอีกเป็นจำนวนมาก ครานี้หากฝูหล่างจีพ่ายแพ้ แล้วเห็นท่ามิดีขึ้นมา พวกมันอาจจะไปรวมกลุ่มกับประเทศอื่น ๆ ในยุโรปก็เป็นได้ เยี่ยงนั้นพวกเราก็จะเผชิญหน้ากับความกดดันคราใหญ่เช่นกัน”
“ที่พวกเราออกสำรวจตอนนี้ ประการแรกจำต้องลงมือโดยที่ฝูหล่างจียังมิทันตั้งตัว จะต้องทำให้ฝูหล่างจีพ่ายแพ้อย่างราบคาบ จะต้องสร้างความหวาดหวั่นให้กับประเทศอื่น ๆ ในแถบยุโรป มีเพียงวิธีนี้เท่านั้น ที่จะสามารถเปิดการค้าระหว่างประเทศได้อย่างราบรื่น”
“ประการที่สอง ข้าอยากจะเห็นว่าประเทศอื่น ๆ บนเส้นทางเดินเรือนี้เป็นเยี่ยงไร ประเทศเหล่านั้นต่างก็เป็นคู่ค้าของพวกเรา ภายภาคหน้าประเทศต้าเซี่ยจะต้องทำเงินได้มากขึ้น ทว่าก็ต้องพึ่งพาการทำธุรกิจกับประเทศเหล่านี้เช่นกัน”
เฮ้อซานเตารู้สึกว่าการทำธุรกิจนั้นน่าเบื่อโดยแท้จริง การต่อรองราคาก็น่ารำคาญสิ้นดี
“ฝ่าบาท กระหม่อมรู้สึกว่า พวกเราไปช่วงชิงพวกเขาปีละครั้งดีหรือไม่ แบบนี้คงจะทำรายได้ได้ดียิ่งกว่าการทำการค้าเป็นแน่ ทั้งยังเป็นรายได้ของท้องพระคลังทั้งหมดอีกด้วย ฝ่าบาทเห็นเป็นเช่นไรบ้าง ? ”
ฟู่เสี่ยวกวนหัวเราะขึ้นมาเสียงดัง วิธีคิดเลี้ยงแกะเยี่ยงนี้ย่อมดีอยู่แล้ว แต่หากเป็นเช่นนั้น กองทัพเรือต้าเซี่ยก็จะกลายเป็นโจรสลัดมิใช่หรือ ?
“หากไปเก็บขนแกะทุกปี ประเทศต้าเซี่ยจะร่ำรวยขึ้นมาก็จริง ทว่าเหล่าพ่อค้าก็จะสูญเสียโอกาสหาเงินไปทั้งอย่างนั้น ประเทศมั่งคั่งผู้คนอ่อนกำลังมิใช่เรื่องที่ดี หากข้าเห็นแก่เงินทองที่มีอยู่เต็มท้องพระคลัง เกรงว่าคงมิคิดก้าวหน้าเช่นนี้ ข้าคงจะคิดเพียงแค่ว่าจะใช้ชีวิตอย่างฟุ่มเฟือยเยี่ยงไรดี”
“ความเจริญรุ่งเรืองที่แท้จริงของประเทศ ก็คือความมั่งคั่งของราษฎร ! ”
“เมื่อราษฎรต้าเซี่ยมั่งคั่งแล้ว พวกเขาก็จะมีเงินมาจับจ่ายใช้สอยได้มากขึ้น วงจรของธุรกิจก็จะแข็งแรง ประเทศชาติก็จะมีภาษีรายได้ในระยะยาว วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีก็จะสามารถพัฒนาไปได้ ส่วนผลลัพธ์ในกรณีที่ประเทศร่ำรวยแต่ราษฎรยากจน… เป็นภาวะที่เศรษฐกิจทางการตลาดซบเซา ชาวบ้านมิมีเงินจับจ่ายใช้สอย ธุรกิจก็จะล่มสลาย วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีก็จะหยุดชะงักมิก้าวหน้า ต่างก็มิมีเงินแม้แต่จะซื้อข้าว เจ้าลองเอ่ยมาสิว่าผู้ใดจะยังวิจัยได้อย่างสบายใจ”
“เยี่ยงนี้ก็จะกลายเป็นวงจรอุบาทว์ ผลลัพธ์ในตอนท้าย ก็จะเป็นราษฎรที่ลุกขึ้นมาล้มล้าง พลิกล้างราชสำนักที่มั่งคั่งลง ! ”
“เจ้าจงจำเอาไว้ว่า ประเทศมีราษฎรเป็นเจ้าของ ประเทศถูกสร้างขึ้นมาบนรากฐานของราษฎร ราษฎรมั่งคั่ง รากฐานของประเทศก็จะมั่นคง ราษฎรยากจน ประเทศก็จะตกอยู่ในอันตราย”
ดวงตาของเฮ้อซานเตาเบิกกว้างขึ้นมาทันใด เห็นได้ชัดว่าสมองเท่าเมล็ดแตงโมของเขา มิได้คาดคิดถึงผลที่จะตามมา
ไป๋ยู่เหลียนที่ได้ฟังจนเข้าใจแล้ว จึงจ้องมองฟู่เสี่ยวกวนอย่างเงียบ ๆ จากนั้นก็มีรอยยิ้มพึงพอใจปรากฏขึ้นมาบนใบหน้า เขาจ้องมองไปยังมหาสมุทรที่กว้างใหญ่
ตั้งแต่คราแรกที่ได้พบกันที่ซีซาน เขามิเคยคิดเลยว่าคุณชายจากตระกูลเศรษฐีที่ดินที่อยู่ข้างกายผู้นี้จะสามารถมีวันนี้ได้
วันนั้น…ยามที่ดาบเล่มนั้นตวัดลง ฟู่เสี่ยวกวนเพียงขมวดคิ้วเล็กน้อยเท่านั้น เขาเอ่ยว่าเขาสัมผัสจิตสังหารจากดาบเล่มนี้มิได้
จากนั้นเขาก็กลั่นสุราซีซานขึ้นมา ตนถึงได้มาติดตามอยู่ข้างกายเขาดั่งทุกวันนี้
เขาก้าวไปทีละก้าว เรื่องที่ตนทำเพื่อเขาแท้จริงแล้วมีมิมากนัก เรื่องที่สำคัญที่สุดคงเป็นเรื่องการก่อตั้งทหารดาบเทวะขึ้นที่ซีซาน
วิธีการฝึกของทหารดาบเทวะก็มาจากฟู่เสี่ยวกวนเช่นกัน ในยามนั้นตนค่อนข้างประหลาดใจ รู้สึกคาดมิถึงที่คุณชายตระกูลเศรษฐีที่ดินผู้นี้จะเข้าใจวิธีการฝึกที่มหัศจรรย์เยี่ยงนี้
หลังจากนั้นเขาก็ได้ลงหลักปักฐานในราชสำนัก ก้าวหน้าไปทีละก้าว คาดมิถึงเช่นกันว่าเขาจะกลายมาเป็นจักรพรรดิแห่งราชวงศ์อู๋ และคาดมิถึงว่าเขาจะสามารถรวมห้าแคว้นให้เป็นหนึ่งได้ ทั้งยังสร้างประเทศต้าเซี่ยที่รุ่งเรืองและมั่งคงขึ้นมา
นี่คือความสามารถของเขา
ภายในใจของไป๋ยู่เหลียนเคารพฟู่เสี่ยวกวนอย่างถึงที่สุด จนมิอาจมากไปกว่านี้ได้แล้ว
เดิมทีเขาเป็นกังวลมากยิ่งนักที่ฟู่เสี่ยวกวนสร้างผลงานที่ยอดเยี่ยมมากมายขึ้นมาตั้งแต่อายุยังน้อย ครุ่นคิดไปว่านี่จะทำให้เขาทระนงตนหรือไม่ ?
เขาจะมิเห็นผู้อื่นอยู่ในสายตาหรือไม่ ?
เขาจะหลงลืมความตั้งใจเดิม แล้วกลายเป็นทรราชหรือไม่ ?
ทว่าสุดท้ายก็มิได้เป็นเช่นนั้น
เขายังคงเป็นคุณชายเศรษฐีที่ดินแห่งหลินเจียงผู้นั้นดังเดิม เขาให้ความสนใจกับชีวิตความเป็นอยู่ของราษฎรมากยิ่งนัก
เขาเคยเอ่ยไว้เมื่อยามที่ยังอาศัยอยู่ในจินหลิงว่า ไพร่ฟ้าค่าสูงหนัก บ้านเมืองรองลงมา ราชาไร้น้ำหนักใด เขาเอ่ยเยี่ยงนี้และยังคงปฏิบัติเช่นนั้นเสมอมา
นี่ย่อมเป็นเรื่องที่ควรค่าให้ปลาบปลื้มใจ ไป๋ยู่เหลียนจึงหัวเราะขึ้นมา นี่เป็นความสุขที่ออกมาจากใจจริง
“เสี่ยวไป๋เอ๋ย เจ้าหัวเราะอันใดกัน ? ”
“ฝ่าบาท ข้าหัวเราะให้กับเรื่องเมื่อปีนั้นที่ซีซาน”
“รู้สึกว่าตอนนั้นมีความสุขเป็นพิเศษเยี่ยงนั้นใช่หรือไม่ ? ”
ไป๋ยู่เหลียนชะงักงันพลางครุ่นคิด ถือว่าเป็นจริงดังนั้น !
เขาในตอนนี้ได้กลายเป็นแม่ทัพใหญ่ของประเทศต้าเซี่ยแล้ว มีสามกองกำลังอยู่ภายใต้การปกครองของเขา แต่หากถามถึงความสุขจากใจจริง ยามที่อยู่ซีซานย่อมมีความสุขมากกว่าโดยแท้จริง
แขวนน้ำเต้าสุราไว้ที่ช่วงเอว แบกดาบเล่มโตไว้บนหลัง ยามที่เบื่อหน่ายก็เหินไปนั่งบนชายคาของเรือนซีซาน มองจันทรากระจ่างพลางดื่มสุรา ช่างเป็นความสบายใจเสียยิ่งกระไร
แล้วตอนนี้เล่า ?
ตอนนี้ต้องมากังวลเกี่ยวกับเรื่องในกองทัพ กังวลเกี่ยวกับผลแพ้ชนะของกองทัพเรือที่หนึ่ง ครุ่นคิดถึงความเสี่ยงที่อาจจะซ่อนอยู่ในการเดินทางสำรวจครานี้
คาดมิถึงว่าท่าทีสบาย ๆ เมื่อปีนั้นได้หายไปโดยมิทันระวัง !
หล่นหายไปตั้งแต่เมื่อใดกัน ?
บางทีอาจจะเป็นตั้งแต่ที่มาถึงเมืองกวนหยุน หรือบางทีอาจจะตั้งแต่ที่กวาดล้างกองโจรของกงเซินจ่างได้ ผู้ใดจะทราบได้กัน
“เมื่อตอนนั้น…มีความสุขเป็นพิเศษโดยแท้จริงพ่ะย่ะค่ะ ! ”
“ข้าเองก็รู้สึกเช่นนั้น ดังนั้น…ข้าจึงอยากหวนกลับไปในอดีต”
ไป๋ยู่เหลียนผงะพลางดึงสายตากลับมา “อดีตได้ผ่านไปแล้ว บัดนี้บนบ่าของพระองค์ได้แบกรับอนาคตของราษฎรนับร้อยล้านชีวิตเอาไว้ ฝ่าบาท… ย้อนกลับไปมิได้แล้วพ่ะย่ะค่ะ และอย่าได้ประสงค์ที่จะกลับไปเลยพ่ะย่ะค่ะ ! ”
ฟู่เสี่ยวกวนหัวเราะน้อย ๆ มิได้โต้แย้งอันใดกับคำเอ่ยของไป๋ยู่เหลียน เขาเพียงเลิกคิ้วขึ้นเล็กน้อย จากนั้นก็เอ่ยออกมาว่า “เจ้าว่ากองทัพเรือที่หนึ่งได้เข้าปะทะกับศัตรูแล้วหรือยัง ? ”