นายน้อยเจ้าสำราญ - ตอนที่ 1120 จิตวิญญาณแห่งการต่อสู้
ตอนที่ 1120 จิตวิญญาณแห่งการต่อสู้
ณ ทะเลหยวนตงเต้า
เรือรบทั้งสิบแปดลำพุ่งตรงเข้าไปหาเรือรบกว่าร้อยลำของแกรนด์ดยุกฟิลิป
จากระยะทาง 30 ลี้ ค่อย ๆ ลดเหลือเพียง 20 ลี้
แกรนด์ดยุกฟิลิปยืนอยู่บนเรือธงหนี่หวางห้าว เขาใช้กล้องส่องทางไกลมองดูเรือทั้งสิบแปดลำของศัตรู พลางครุ่นคิดในใจว่าอีกฝ่ายช่างมิรู้ถึงกำลังของตนเอาเสียเลย
พวกเขาควรจะเป็นเหมือนเรือลำอื่น ๆ ก่อนหน้านั้น ที่เมื่อเห็นกองเรือลำมหึมานี้ต่างก็หันหัวเรือหนีเอาชีวิตรอด ทว่าศัตรูในยามนี้กลับมุ่งตรงเข้ามา ดูแล้วช่างมีความอาจหาญดุจวีรบุรุษ ทว่าน่าเสียดายที่พวกเขามิต่างอันใดกับไข่กะเทาะหิน
อืม…ทว่าเรือรบของศัตรูมิมีใบเรืออีกทั้งยังมีควันลอยออกมา เป็นจริงดังข้อมูลที่ได้รับ ฝ่ายศัตรูได้ใช้เครื่องจักรไอน้ำในการขับเคลื่อนเช่นกัน
แล้วเยี่ยงไรเล่า ?
กองเรือรบของตนก็ใช้การขับเคลื่อนเฉกเช่นเดียวกับเรือของศัตรู จากความแข็งแกร่งของปืนใหญ่และประสบการณ์อันโชกโชนในการรบทางทะเล อีกทั้งจำนวนเรือที่มากกว่าศัตรูถึงหกเท่า แกรนด์ดยุกฟิลิปรู้สึกว่าสงครามครานี้ช่างง่ายดายมากยิ่งนัก
เขาวางกล้องส่องทางไกลลงแล้วเดินตรงไปที่หอสังเกตการณ์ เอ่ยกับเสนาธิการโบลล์ว่า “กำจัดพวกมันเสีย ข้าให้เวลาเจ้า 2 เค่อ ข้าจะกลับไปนอนพักสักหน่อย”
โบลล์เองก็รู้สึกว่าสงครามครานี้ช่างง่ายดายมากยิ่งนัก เขาจึงรีบพยักหน้าแล้วตอบว่า “ข้าน้อยจะมิไปรบกวนเวลาพักผ่อนของท่าน เมื่อถึงเวลาอาหารเย็น ข้าน้อยจะเข้าไปรายงานผลของสงครามให้แก่ท่าน”
“อืม…”
แกรนด์ดยุกฟิลิปเดินตรงไปยังห้องโดยสารของเขา ด้านในมีหญิงสาวชาวหลิวคนหนึ่ง นางมีนามว่าจวี๋ฉือเชียนเสวี่ย ช่างเป็นชื่อที่ไพเราะมากยิ่งนัก อีกทั้งนางยังเป็นสตรีที่งดงามและเข้าใจในความต้องการของบุรุษ
เมื่อประตูห้องถูกปิดลง จวี๋ฉือเชียนเสวี่ยก็คุกเข่าลงแล้วช่วยปลดเสื้อผ้าอาภรณ์ของแกรนด์ดยุกฟิลิปออก ฟิลิปลูบไล้ไปที่เรือนร่างของนางเบา ๆ แล้วหัวเราะออกมาเสียงดัง “รอก่อน…เมื่อใดที่กระสุนปืนใหญ่ดังขึ้น เมื่อนั้นจะยิ่งเข้มข้นมากกว่าเดิม”
ณ เรือรบเจียงหนานห้าว จั่วมู่ใช้กล้องส่องทางไกลพิจารณาเรือของศัตรูอย่างละเอียดถี่ถ้วน
เรือรบจำนวนร้อยกว่าลำของศัตรูค่อย ๆ ปรากฏขึ้นจนเด่นชัดในสายตาของเขา พวกมันกำลังลอยอยู่บนผิวน้ำราวกับภูเขาที่โอนเอียงไปมา
เรือรบของศัตรูกำลังแปรแถว รูปร่างของมันคล้ายกับใบพัด ดูเหมือนจะตั้งใจให้เป็นแหขนาดใหญ่โอบล้อมตนเอาไว้
จั่วมู่หัวเราะขึ้นมาทันใด ดูท่าแล้วศัตรูต้องการจะจัดการกองทัพเรือของตนให้สิ้นซาก ช่างตะกละเสียเหลือเกิน มิรู้ว่าฟันของพวกเขาจะแข็งพอกับอาหารจานนี้หรือไม่
เสนาธิการทหารเรือกองทัพที่หนึ่งฟางจาวหยางเอ่ยขึ้นมาด้วยสีหน้าตึงเครียดว่า “ท่านจั่ว คาดว่าอีกราวครึ่งชั่วยามเรือของศัตรูก็จะเข้ามาในระยะหวังผลของพวกเราแล้ว ! ”
“มิต้องรีบร้อนไป รอให้ฝ่ายศัตรูเข้ามาในระยะที่ห่างจากพวกเรา 90 จั้งแล้วค่อยโจมตี”
“ท่านฟาง สงครามในครานี้วัตถุประสงค์ของพวกเราก็คือการกวาดล้างกองกำลังของศัตรูให้สิ้นซาก เพราะพวกเราจะกำจัดความเย่อหยิ่งของเจ้าเฮ้อซานเตานั่น ! ”
เมื่อฟางจาวหยางได้ยินดังนั้นก็หัวเราะขึ้นมาเบา ๆ จากหยวนตงเต้าเดินทางไปยังเซี่ยเย๋ใช้เวลาเพียง 5 วัน ดังนั้นท่านแม่ทัพทั้งสองจึงมักไปมาหาสู่กันอยู่บ่อย ๆ แม้จะมิเคยซ้อมรบร่วมกันแต่อย่างใด แต่เจ้าเฮ้อซานเตาสารเลวนั่นมักจะเอ่ยว่ากองทัพเรือที่สามถึงจะเป็นกำลังหลักของต้าเซี่ย ส่วนกองทัพที่หนึ่งและกองทัพที่สองเป็นเพียงแค่ไก่อ่อนเท่านั้น !
ผู้ใดจะทนได้กันเล่า ?
ทว่าความสามารถด้านการต่อสู้ของเฮ้อซานเตาสูงส่งมากยิ่งนัก ดังนั้นต้องทำการพิสูจน์ตนเองให้ได้ในสนามรบจริงครานี้
ทหารเรือกองทัพที่หนึ่งทุกนายได้แต่อดทนอดกลั้นเอาไว้ และรอวันที่จะประกาศศักยภาพที่แท้จริงของตนให้แก่ทหารเรือกองทัพที่สามได้เห็นเป็นที่ประจักษ์
ในที่สุดโอกาสนั้นก็มาถึงสักที บัดนี้เป็นเวลาที่ทหารเรือกองทัพที่หนึ่งจะพิสูจน์และกอบกู้ชื่อเสียงของตนกลับมา
“ท่านจั่ว…ข้าได้ยินมาว่าฝ่าบาทจะเสด็จมายังหยวนตงเต้าเยี่ยงนั้นหรือ ? ”
“ใช่…ในครานี้ยังมีงานใหญ่ที่ต้องทำ ! ”
“งานใหญ่อันใดกัน ? ”
“ออกรบระยะไกล ! ”
เมื่อฟางจาวหยางได้ยินดังนั้นก็ตกตะลึงขึ้นมาทันใด “จะเดินทางไปออกรบระยะไกลเยี่ยงนั้นหรือ ? ”
“ใช่ ! พวกเราจะไปโจมตีถึงรังของศัตรู ! ” จั่วมู่สูดหายใจเข้าลึกแล้วเอ่ยต่อว่า
“กองทัพเรือที่สองของเผิงหลางก็กำลังมุ่งหน้ามายังหยวนตงเต้าเช่นกัน ฝ่าบาทกำชับกับพวกเราว่าให้จัดการเรือของศัตรูในเวลาที่สั้นที่สุด หากพบว่ามิอาจสู้ได้ ให้ถอยกลับไปยังหยวนตงเต้าแล้วหลอกล่อให้ศัตรูขึ้นบกให้จงได้…กองทัพที่หนึ่งของเรายังมีอีก 60,000 นายที่มิได้ขึ้นเรือ จากพระประสงค์ของฝ่าบาท เพียงแค่ศัตรูเหล่านั้นกล้าขึ้นมาบนบก ก็ให้พวกเขาจัดการได้ทันที”
“ดูจากแผนการในครานี้ของฝ่าบาทนับว่ายอดเยี่ยมยิ่ง เนื่องจากแผนการนี้จะสามารถรักษาเรือรบเอาไว้ได้ เพียงแต่ว่า…ท่านฟาง พวกเราเป็นทหารเรือ ก็ควรจะกำจัดศัตรูให้เสร็จสิ้นในท้องทะเลอย่างสมเกียรติมิใช่หรือ ? ”
“และมีทางเลือกเดียวก็คือจะต้องล้มล้างศัตรูให้หมดตั้งแต่ในทะเลอย่างมิเหลือซาก จึงจะยืนยันได้ว่ากองทัพเรือที่หนึ่งของพวกเรานั้นมีความสามารถมากเพียงใดในการสู้รบ และพวกเราถึงจะสามารถยืดอกโอ้อวดต่อหน้าเจ้าเฮ้อซานเตานั่นได้!”
ฟางจาวหยางพยักหน้าเบา ๆ หากว่าใช้แผนการหลอกล่อศัตรูขึ้นบกแล้วทำลายล้างศัตรูบนบกล่ะก็ คนแรกที่จะหัวเราะเยาะกองทัพเรือที่หนึ่งของพวกเราก็คงเป็นเจ้าเฮ้อซานเตานั่นอย่างแน่นอน
อีกอย่าง บรรดาทหารเรือกองทัพที่หนึ่ง…พวกเขารู้สึกอึดอัดใจมาโดยตลอด กว่าจะมีศัตรูบุกมาโจมตีได้มิใช่เรื่องง่ายเลย
“ข้าเห็นด้วยกับการเผชิญหน้ากับศัตรู ! ”
“แต่หากว่ามีการสูญเสียอย่างสาหัส พวกเราก็จะต้องรับผิดชอบอย่างหนักเช่นกัน”
“ฝ่าบาทเคยตรัสไว้เช่นนี้มิใช่หรือ ? ในยามคับขันสามารถขัดคำสั่งของฝ่าบาทได้ อีกอย่าง…หากทหารเรือต้องการพัฒนาตนเอง ก็จำต้องผ่านการชำระล้างด้วยเลือดและไฟ”
ฟางจาวหยางทอดมองออกไปยังท้องทะเลอันไกลโพ้น ใบหน้าของเขาพลันเยือกเย็นขึ้นมาทันใด “กลยุทธ์บนกระดาษนั้นไร้ความหมาย พวกเราคือ…กองทัพเรือที่หนึ่งซึ่งเป็นแนวหน้า ทหารเรือกองทัพที่หนึ่งของต้าเซี่ยมีเพียงการทำสงครามเท่านั้นถึงจะทำให้พวกเราเติบโตขึ้นมาได้ และในอนาคตพวกเขาถึงจะแบกรับหน้าที่ปกป้องคุ้มกันประเทศนี้เอาไว้ได้ ! ”
“ยอดเยี่ยม ! ” จั่วมู่ปรบมือเสียยกใหญ่ ดวงตาทั้งสองข้างของเขายังคงเต็มไปด้วยจิตวิญญาณแห่งการต่อสู้ “เช่นนั้นพวกเรามาพิสูจน์ให้เห็นกันว่ากองทัพเรือที่หนึ่งคือผู้พิทักษ์ของต้าเซี่ย ! ”
“จงออกคำสั่งแก่ทหารทุกนาย เรือรบทุกลำจงทำการตรวจสอบกระสุน เตรียมพร้อมยิงตลอดเวลา ! ”
……
ณ โม่โจวห้าวกองเรือรบที่หนึ่ง ผู้บัญชาการทหารกองพลที่สามเฉินฉงซานกำลังยืนอยู่ในห้องห้องบัญชาการบนชั้นสองของเรือรบ
เขาได้รับสัญญาณมาจากเรือธง “มือยิงทุกนายทำการตรวจสอบกระสุนอีกครา ! ”
เขาเดินไปกลางห้องห้องบัญชาการแล้วตะโกนออกมาด้วยเสียงอันดังว่า “พวกเจ้ากลัวหรือไม่ ? ”
“มิกลัว ! ”
บรรดามือยิงทั้งแปดร้อยนายตะโกนออกมาโดยพร้อมเพรียงกัน แต่ละคนดูกระตือรือร้นและเตรียมพร้อมมากยิ่งนัก เฉินฉงซานจึงยกยิ้มขึ้นแล้วเอ่ยว่า “ดี ! นี่จึงจะเป็นทหารที่ข้าฝึกมากับมือ ! ”
เขายืนอยู่ตรงกลางพลางเอ่ยว่า “ข้าขอบอกพวกเจ้าเอาไว้ก่อนเลยว่า ทหารบกนั้นมีมากถึง 8 กองทัพ ทว่าพวกเขากลับมิมีโอกาสได้ก่อสงคราม บัดนี้ทหารเรือของพวกเรามีโอกาสแล้ว อีกทั้งโอกาสเช่นนี้ก็มีมิมาก ! ”
“ข้าเชื่อเป็นอย่างยิ่งว่า หากสามารถกำจัดเรือรบ 100 ลำของศัตรูได้ มหาสมุทรอันกว้างใหญ่นี้…เกรงว่าคงยากที่จะเกิดสงครามขึ้นมาอีก”
“อีกอย่างหนึ่ง ข้าจะบอกข่าวดีกับพวกเจ้าทั้งหลาย ! ”
“ฝ่าบาทกำลังเสด็จมาที่หยวนตงเต้า หากว่าสงครามนี้ชนะ…พวกเราก็จะได้ติดตามฝ่าบาทออกเดินทางไปรบระยะไกล เข้าไปโจมตีศัตรูถึงรัง ! ”
คำเอ่ยนี้ถูกส่งต่อไปด้วยเครื่องขยายเสียงจึงได้ยินกันถ้วนทั่วทั้งลำเรือ ทันใดนั้นทหารกว่าสองพันนายก็พากันตื่นเต้นดีใจ
ได้ติดตามฝ่าบาทออกไปรบในระยะไกล นี่เป็นเรื่องที่น่ายินดีมากยิ่งนัก !
เมื่อกลับมาจากสงครามแล้ว โม่โจวห้าวของเราก็จะได้สมญานามว่าเป็นผู้ปกป้องจักรพรรดิที่ยิ่งใหญ่อย่างแท้จริง !
เฉินฉงซานหยุดเอ่ยชั่วครู่ จากนั้นก็เอ่ยต่อว่า “พวกเจ้าทั้งหลายจงจำเอาไว้ ต้องรบชนะเท่านั้นจึงจะมีโอกาสได้ไป หากว่าพ่ายแพ้…”
“หากว่าพวกเราพ่ายแพ้ ข้าขอรับโทษประหารเพื่อเป็นการชดใช้ให้แก่ฝ่าบาท ! ”
“ท่านผู้บัญชาการวางใจได้ โม่โจวห้าวของพวกเราทำงานร่วมกันอย่างสามัคคี พวกเราจะพร้อมใจกันกำจัดศัตรูเพื่อเพิ่มความยิ่งใหญ่ ให้แก่ฝ่าบาท เพิ่มชื่อเสียงและศักยภาพให้แก่ต้าเซี่ย ! ”
“กองเรือที่หนึ่งของเราจะต้องรบชนะเท่านั้น ! ”
“โม่โจวห้าว จะมิมีวันจม ! ”
น้ำเสียงของเหล่าทหารตะโกนกึกก้องลั่นท้องนภา เฉินฉงซานสูดลมหายใจเข้าเฮือกใหญ่ พวกเขาเหล่านี้ล้วนเป็นทหารที่ตนฝึกมาเองกับมือและตนก็เป็นคนพาพวกเขาออกรบด้วยตนเอง
เขามีความเข้าใจในนายทหารทุกนายเป็นอย่างดี และเขาก็มีความคุ้นเคยกับทุกมุมในเรือลำนี้
สิ่งที่เขารอคอยนั่นคือชั่วอึดใจนี้นี่เอง !
“ดี ! ในครานี้โม่โจวห้าวของพวกเราจะต้องทำลายล้างศัตรูให้มากที่สุด เจ้าพวกระยำนั่น พวกเจ้าเตรียมตัวเผชิญหน้ากับข้าเสียโดยดี ! ”