นายน้อยเจ้าสำราญ - ตอนที่ 1121 สละบัลลังก์
ตอนที่ 1121 สละบัลลังก์
ศึกใหญ่แห่งน่านน้ำหยวนตงเต้ากำลังจะเริ่มต้นขึ้น กองทัพเรือที่สามของฟู่เสี่ยวกวนกำลังแล่นอยู่ในมหาสมุทรอันเวิ้งว้าง
ณ สวนดอกไม้หลังวังหลวง เมืองกวนหยุนที่อยู่ห่างออกไป หยูเวิ่นหวินได้เรียกรวมพลเหล่าพี่สาวน้องสาวอีกครา นางได้เปิดประชุมเล็ก ๆ ขึ้นที่นี่
“สามีเอ่ยเอาไว้ก่อนจะออกเดินทาง คาดว่าการเดินทางครานี้จะใช้เวลานานถึงหนึ่งปีเต็ม เอ่ยได้ว่าช่วงเวลาที่สามีจะกลับมา น่าจะเป็นเดือนเก้าของปีหน้า”
สายตาของหยูเวิ่นหวินกวาดมองสีหน้าเป็นกังวลของพี่น้องทุกคน “จะให้บอกว่ามิต้องเป็นกังวลก็คงทำมิได้ วันนี้ที่เรียกทุกคนมารวมตัวกันมิใช่เพราะกังวลเกี่ยวกับสามี ทว่าเป็นเรื่องเส้นทางของตระกูลเรานับจากนี้”
“สามีได้ตัดสินใจแล้ว ปีหน้าจะเป็นปีที่หนึ่งของแผนพัฒนาห้าปีฉบับที่สองของประเทศต้าเซี่ย สามีได้มอบแผนการนี้ให้กับสามสำนักแล้ว ข้าคิดว่าเดือนเก้าปีหน้าหลังจากที่เขากลับมา อย่างมากที่สุดก็ใช้เวลาอีกครึ่งปีในการสำเร็จแผนพัฒนาห้าปีฉบับที่สองนี้ เอ่ยได้ว่าต้นปีที่สี่ของรัชสมัยต้าเซี่ย เกรงว่าเขาจะประกาศสละราชบัลลังก์”
“ข้าขอมิปิดบังพวกเจ้า สามีได้เขียนราชโองการสืบทอดราชบัลลังก์แล้ว ทว่าข้ามิทราบเนื้อหาด้านในว่าสามีจะสละราชบัลลังก์นี้ให้แก่ผู้ใด”
“เรื่องที่จะสนทนากันในวันนี้ก็คือเรื่องนี้ พวกเราต่างก็เป็นพี่น้องกัน ในยามที่เสด็จแม่จากไปก็ได้กำชับเอาไว้หลายต่อหลายครา ว่าพวกเราจะต้องสามัคคีกัน ห้ามก่อเรื่องทะเลาะภายในวังเป็นอันขาด”
“ดังนั้น มิว่าสามีจะมอบราชบัลลังก์นี้ให้กับลูกของผู้ใด ข้าก็หวังว่าพวกเจ้าจะมิใส่ใจเรื่องนี้”
“สามีจากไป ข้าย่อมติดตามเขาไปอย่างแน่นอน พวกเจ้าก็ทำการตัดสินใจด้วยตนเองเถิด”
“กลุ่มจินเฟิ่งต้าเซี่ย ข้าได้หารือกับชูหลานมาบ้างแล้ว ภายภาคหน้าจะมอบอำนาจให้ตระกูลหลี่เป็นผู้จัดการ เพราะพวกข้ามิทราบว่าสามีจะเดินทางไปยังแห่งหนใด แต่ก็พอจะคาดเดาได้”
ทันใดนั้นซูซูก็นึกถึงวันที่อยู่บนเขาหานซาน คำเอ่ยเหล่านั้นที่ฟู่เสี่ยวกวนเอ่ยตอนอยู่ในเรือนหยุนชิงพรั่งพรูเข้ามาในโสตประสาท
ตำแหน่งรัชทายาทคาดว่าน่าจะตกเป็นของอู๋เทียนซื่อบุตรชายของอู๋หลิงเอ๋อร์ สามียังเอ่ยอีกว่าจะออกเดินทางไกล เพื่อตามหาสถานที่สงบ ๆ และจะใช้ชีวิตเป็นเพียงเศรษฐีที่ดินเท่านั้น
นางมิได้เอ่ยสิ่งเหล่านี้ออกไป เยี่ยงไรก็เกี่ยวข้องกับการสืบทอดราชบัลลังก์ จากนั้นหยูเวิ่นหวินก็ได้เอ่ยต่อว่า
“ตั้งแต่ท่านสามีก้าวออกมาจากหลินเจียง แท้จริงแล้วพวกเราต่างก็ทราบกันดี สิ่งที่เขายังคงคำนึงหาคือช่วงเวลาที่ได้เป็นคุณชายเศรษฐีที่ดินแห่งหลินเจียง”
“ดังนั้นหลังจากที่ท่านสามีเกษียณ คาดว่าจะว่าจ้างผู้เช่าที่นาจำนวนมากอีกครา คาดว่าเขาจะกลับไปเป็นเศรษฐีที่ดินอีกหน เรื่องนี้ข้าอยากจะหารือกับทุกคนสักเล็กน้อย หวางเอ้อ คิดว่าพวกเจ้าคงจะทราบกันดี เขาเคยเป็นผู้เช่าที่นาที่ซีซานของสามีมาก่อน”
“สิ่งที่ข้าคิดไว้ก็คือ จะลองถามหวางเอ้อดีหรือไม่ หากสามีกลับไป เขาจะยินยอมพาอดีตชาวบ้านของซีซานติดตามสามีกลับไปด้วยหรือไม่”
“นอกจากนี้เรื่องความปลอดภัย ไป๋ยู่เหลียนผู้ที่อยู่ข้างกายของท่านสามี บัดนี้เขาได้กลายเป็นแม่ทัพใหญ่ของประเทศต้าเซี่ยแล้ว เกรงว่าหากจากไปจะมิเหมาะสมเท่าใดนัก เยี่ยงนั้นก็ถามหนิงซือเหยียนแทนเถิด บัดนี้เขาก็เป็นปรมาจารย์แล้วเช่นกัน ในอดีตเขาก็ปักใจอยากเป็นยามเฝ้าประตูให้กับสามีมาโดยตลอด”
“สิ่งที่ข้าพอจะคิดได้ก็คร่าว ๆ ประมาณนี้ จากที่ดูแล้วยังเหลือเวลาอีกหนึ่งปี ทว่าช่วงเวลาหนึ่งปีมักจะผ่านไปอย่างรวดเร็ว พวกเราจะต้องทำการเตรียมพร้อมล่วงหน้าก่อนท่านสามีจะเกษียณ”
ต่อจากนี้ สตรีทั้งสิบคนก็สนทนากันอย่างครื้นเครง
สิ่งที่ทำให้ต่งชูหลานอิ่มเอมใจเป็นอย่างมากก็คือ มิมีผู้ใดคิดอยากอยู่ในวังหลวงนี้แม้แต่ผู้เดียว พวกนางยินยอมที่จะติดตามสามีไปด้วย
ชาวยุทธเยี่ยงสวี่ซินเหยียน ซูซูและจางเพ่ยเอ๋อร์ ต่างก็รู้สึกตื่นเต้นมากยิ่งนัก ต่างก็รู้สึกว่าสิ่งที่สามีเลือกนั้นเป็นสิ่งที่ถูกต้อง รู้สึกว่าการที่ครอบครัวใหญ่สามารถใช้ชีวิตได้อย่างผ่อนคลายในสถานที่ที่มิมีผู้ใดรู้จักต่างหาก ถึงจะเป็นสิ่งที่สมบูรณ์แบบที่สุด
…..
…..
ณ กวนหยุนถาย ใต้ต้นสนโบราณ ข้างโต๊ะหมากรุก เสนาบดีอาวุโสทั้งสามได้มารวมตัวกันพลางสนทนาอย่างสบาย ๆ ซึ่งเป็นสิ่งที่พบเห็นได้ยากเช่นกัน
หนานกงอี้หยู่ต้มชาหนึ่งกาแล้วเอ่ยเสียงเรียบว่า “ศึกที่หยวนตงเต้า บัดนี้เกรงว่าได้เริ่มขึ้นแล้ว”
“อือ…หากคำนวณตามเวลา คาดว่าน่าจะปะทะกันแล้ว” จัวอี้สิงพยักหน้าแล้วยังเอ่ยต่ออีกว่า “เยี่ยงไรเสียเกรงว่าบัดนี้ฝ่าบาทก็คงจะเพิ่งเดินทางออกจากเซี่ยเย๋เช่นกัน หวังว่าสงครามครานี้จะจบลงก่อนที่ฝ่าบาทจะเสด็จไปถึง”
เมิ่งฉางผิงจ้องมองไปทางทะเลหมอกและถอนหายใจเบา ๆ “ข้ากลับหวังให้ฝ่าบาทเสด็จกลับมาเร็วยิ่งขึ้น”
“ฝ่าบาททรงเป็นผู้คิดโครงร่างแผนพัฒนาระยะห้าปีฉบับที่สองออกมา ท่านอาวุโสทั้งสอง ถึงแม้พวกเราจะท่องจำโครงร่างนั้นได้จนขึ้นใจแล้ว แต่หากจะให้เอ่ยว่าเข้าใจรายละเอียดอย่างลึกซึ้งแล้วนั้น…ข้ารู้สึกว่ามันลึกซึ้งโดยแท้จริง ! ”
ทันทีที่เมิ่งฉางผิงเอ่ยออกมาเยี่ยงนี้ หนานกงอี้หยู่และจัวอี้สิงก็ผุดรอยยิ้มขมขื่นขึ้นมา
ในช่วงเวลามิกี่เดือนนี้ ฝ่าบาททรงเพียรกับงานปกครองอย่างที่มิเคยเป็นมาก่อน พลังงานครึ่งหนึ่งที่มีอยู่ต่างก็ใช้ไปกับโครงร่างแผนพัฒนาระยะห้าปีฉบับที่สองทั้งหมด
มันซับซ้อนมากยิ่งขึ้น เป็นโครงร่างที่ครอบจักรวาลทับซ้อนกันหลายชั้น !
แท้จริงแล้วได้เสนอถึงแนวคิดผลผลิตรวมของประชากร และได้เสนอถึงมาตรฐานรายได้ของประชากรที่ต้องทำให้ถึงเกณฑ์ มาตรฐานนี้มิสามารถเฉลี่ยได้ จำต้องให้เต้าถายของทุกเขตลงไปปฏิบัติในหมู่บ้านจริง ๆ ฝ่าบาทประสงค์จะทราบว่าแท้จริงแล้วรายได้ของกลุ่มคนที่ยากจนที่สุดของประเทศต้าเซี่ยในปัจจุบันนี้อยู่ที่เท่าใด ต้องทราบจำนวนของคนกลุ่มนี้โดยละเอียด เพราะในตอนประชุมฝ่าบาทตรัสว่าหลังจากที่รวบรวมสถิติออกมาได้แล้ว จะต้องจัดทำเอกสารคนยากจนขึ้นมา และจะต้องมีนโยบายที่เจาะจง เพื่อเพิ่มรายได้ให้แก่คนกลุ่มนี้
ปัจจุบันจำนวนประชากรของต้าเซี่ยมีอยู่สามร้อยกว่าล้านคน นี่คือโครงสร้างที่ใหญ่มากยิ่งนัก เป้าหมายในการทำเรื่องนี้ของฝ่าบาทนั้นง่ายดายเป็นอย่างมาก ในขณะที่ประเทศต้าเซี่ยกำลังพัฒนาไปอย่างรวดเร็ว พระองค์มิสามารถละทิ้งผู้ใดไปได้แม้แต่ผู้เดียว
แท้จริงแล้ว นี่เป็นเรื่องปากท้องของราษฎร เพียงแต่ว่าฝ่าบาททรงผลักดันเรื่องนี้อย่างสุดโต่งก็เท่านั้น
หลังจากนั้นยังมีเรื่องวิทยาศาสตร์… ของสิ่งนี้ทำให้เสนาบดีอาวุโสทั้งสามสับสนไปกันใหญ่
ฝ่าบาทตรัสว่าแผนการพัฒนาระยะห้าปีฉบับที่สอง จะต้องสร้างเครือข่ายคมนาคมของสิ่งที่เรียกว่ารถไฟนั้นขึ้นมา มิได้กำหนดให้สร้างไปจนถึงระดับมณฑล ทว่าเส้นทางหลักแต่ละเส้นทางและแต่ละเขตการปกครองตนเองของประเทศต้าเซี่ยจำต้องสร้างให้แล้วเสร็จ
สิ่งที่เสนาบดีอาวุโสทั้งสามสามารถทำได้มีเพียงให้แต่ละท้องที่ให้ความร่วมมือในการสำรวจภูมิภาคของศูนย์วิจัยวิทยาศาสตร์ วางรางให้อยู่ในทิศทางที่กำหนด ส่วนที่เหลือนั้น…พวกเขาต่างก็มิเข้าใจ
นอกจากนี้ยังมีอีกหลาย ๆ ด้าน รองรับไปถึงด้านการทหาร วัฒนธรรม เศรษฐกิจและด้านอื่น ๆ
มีหลายคราที่หนานกงอี้หยู่มักจะหวนคิดถึงคำถามหนึ่ง ฝ่าบาทพระองค์นี้ เหตุใดสมองของพระองค์ถึงได้เข้าใจสิ่งต่าง ๆ มากมายถึงเพียงนี้ ?
ตอนนั้นจักรพรรดิเหวินทำทุกวิถีทางที่จะสละบัลลังก์ให้แก่ฟู่เสี่ยวกวน จนถึงขั้นสังหารบุตรชายอีกสองคนของตนเองอย่างมินึกเสียดาย หรือจักรพรรดิเหวินจะทราบว่าฟู่เสี่ยวกวนมีความสามารถที่ยิ่งใหญ่เพียงนี้กัน ?
ในตอนนั้นเองจัวอี้สิงก็ได้ยกถ้วยชาขึ้นมา ทันใดนั้นเขาก็หัวเราะออกมา “ข้าอายุมากแล้ว เดิมทีคิดว่าจะสามารถทำงานเพื่อประเทศต้าเซี่ยได้อีกหลายปี ทว่าในช่วงเวลาเหล่านี้ทำให้ข้าต้องมานั่งครุ่นคิดซ้ำไปซ้ำมา ถึงได้รู้สึกว่าข้านั้นมิเหมาะกับการพัฒนาของประเทศต้าเซี่ยแล้ว”
“นโยบายใหม่ที่ฝ่าบาททรงดำเนินการในแต่ละข้อ ต่างก็ต้องมาอธิบายให้พวกเราฟังโดยละเอียด ในบางเรื่องยังต้องอธิบายหลาย ๆ ครา เพราะพระองค์กลัวว่าพวกเราจะมิสามารถเข้าใจได้ แท้จริงแล้วพวกเราก็มิสามารถทำความเข้าใจได้จริง ๆ นั่นแหละ”
“บัดนี้เรือลำใหญ่ที่ชื่อต้าเซี่ยกำลังเร่งความเร็ว ทว่าข้ากลับรู้สึกว่ามิเพียงแต่ตนเองจะมิสามารถเพิ่มความแข็งแกร่งให้กับเรือใหญ่ลำนี้ได้แล้ว กลับไปดึงเชือกเพื่อรั้งมันไว้อีก”
“ดังนั้น…หลังจากที่ฝ่าบาทเสด็จกลับมาแล้ว ข้าจะขอเกษียณ”
ในกลุ่มของเสนาบดีอาวุโสทั้งสาม จัวอี้สิงและหนานกงอี้หยู่มีอายุมากที่สุด หนานกงอี้หยู่ที่ได้ยินดังนั้น ก็นึกอยากเกษียณขึ้นมาเช่นกัน
“ใช่ ! เหมือนกับบทความเยาวชนราชวงศ์หยูกล่าวที่ฝ่าบาททรงประพันธ์ขึ้นมา ประเทศต้าเซี่ยก็เหมือนกับแสงสีแดงแรกแย้มของดวงสุริยา ทว่าพวกเรานั้น…กลับกลายเป็นอาทิตย์อัสดง ดังนั้นพวกเราจะไล่ตามฝีพระบาทของฝ่าบาททันได้เยี่ยงไร ? ”
เขาถอนหายใจออกมายาวเหยียดก่อนจะลุกขึ้นยืน “สมควรถอนตัวให้เหล่าชายหนุ่มพวกนั้นขึ้นมาแทนที่อย่างแท้จริง ไปเถิด…กลับไปวิเคราะห์แผนพัฒนาระยะห้าปีฉบับที่สองกันต่อเถิด ! ”